Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2735 แตกหัก

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2735 แตกหัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงสายฟ้านั้นดังขึ้น คล้ายแตรสัญญาณวันโลกาวินาศจะมาเยือน

โลกเริ่มพังถล่ม ฟ้าดินเริ่มแตกระแหง สรรพสิ่งเริ่มโรยรา…

อารยธรรมฝึกปราณเกิดภัยพิบัติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลังปราณของผู้ฝึกปราณเริ่มเสื่อมถอย กายมรรคเริ่มเน่าเปื่อย จิตวิญญาณเริ่มหม่นหมอง สภาวะจิตเริ่มตกต่ำ เจตจำนงเริ่มพังทลาย…

ไม่ว่าพลังปราณจะน่าตะลึงแค่ไหน ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ในมรรคาอมตะ ก็ไม่อาจโชคดีหนีเคราะห์พิบัติเช่นนี้ได้…

จนภายหลังโลกจ่อมจม สรรพสิ่งทรุดทลาย สรรพชีวิตดับสูญ!

ทุกอย่างคืนสู่ความขุ่นมัว จมอยู่กลางความมืดมิดชั่วนิรันดร์…

ดูถึงตรงนี้หลินสวินตกตะลึงจนเหงื่อกาฬโซมกาย ในใจถูกความกลัวอันไม่อาจบรรยายได้เข้าแทนที่

ครู่ใหญ่เขาจึงค่อยๆ สงบลง

สิ่งที่ได้เห็นก่อนหน้านี้ความจริงแล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยอย่างแท้จริงครั้งหนึ่ง ตั้งแต่การถือกำเนิดของยุคก่อนจนถึงการพังทลายของยุคก่อน กาลเวลาไหลเคลื่อน เกิดการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วน

กระทั่งชั่วขณะที่ดับสูญนั้น จึงคืนสู่ความเงียบสงัดนิรันดร์อันมืดมิดเมื่อแรกสุด

ในนี้มีนัยเร้นลับมากมายนัก อย่างการถือกำเนิดของฟ้าดินสรรพสิ่ง การเปลี่ยนผันของโลก ความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของอารยธรรม วิวัฒนาการอันไร้สิ้นสุดของมรรคา…

ล้วนซ่อนนัยเร้นลับมหามรรคไว้ภายใน!

โดยเฉพาะการอุบัติของมรรคาอมตะ ก็เหมือนการแสวงหาที่สั่งสมมาในหมื่นกาล ในที่สุดก็หากุญแจพบ ชักนำโลกไปสู่มหายุคทองอันเปล่งประกายหาใดเทียบ

แต่ทั้งหมดนี้ต่างหายลับไปในที่สุด

หายลับไปในมหาเคราะห์ที่ดุจวันสิ้นโลกครั้งนั้น!

พอนึกถึงภาพการดับสูญที่ได้เห็นแต่ละภาพนั้น ใจหลินสวินก็ยังหลงเหลือความหวาดผวาอยู่

‘เคราะห์มรรคห้าเสื่อมหรือ…’

หลินสวินรำพึงในใจ นึกถึงมารเทพตี้สือ เหวยหมิงจื่อ ทั้งยังนึกถึงวิญญาณระเบียบอู๋ซวงรวมถึงท่านลู่

พวกเขาต่างเคยได้พบกับการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย ดำรงอยู่ท่ามกลางเคราะห์มรรคห้าเสื่อมมาถึงยุคนี้

ครู่ใหญ่หลินสวินเงยมอง ‘ตำรายุคสมัย’ ที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นอีกครั้ง

เขาเพิ่งเข้าใจยามนี้ว่ามรดกอมตะที่ถูกลัทธิแรกกำเนิดมองเป็นมรดกพิทักษ์สำนักนี้ถึงกับไม่ธรรมดาเช่นนี้

หลินสวินเริ่มนั่งสมาธิ

ในสมองนึกย้อนถึงสิ่งที่ได้เห็นและสัมผัสก่อนหน้านี้ ในใจเริ่มครุ่นคิดถึงนัยเร้นลับกับปริศนาที่ซ่อนอยู่ในนั้น ค่อยๆ ลืมตัวตนไปโดยสิ้นเชิง

เวลาผันผ่าน

สิบวันผ่านไป หลินสวินลืมตาขึ้นเงียบๆ

เขาลุกขึ้นยืน ใช้จิตรับรู้แทรกเข้าไปในตำรายุคสมัยอีกครั้ง

ยังเป็นความมืดมิดนั้นเหมือนเดิม ไอแรกกำเนิดขุ่นมัวเริ่มปรากฏ ไอเบาบางและหนาหนักเริ่มแยกกัน สรรพสิ่งเริ่มถือกำเนิด…

การถือกำเนิดของยุคสมัยหนึ่งเหมือนม้วนภาพงามวิไลภาพแล้วภาพเล่า ทั้งยังเหมือนมหากาพย์ที่ทั้งชวนสุขและทุกข์โศกบทหนึ่งสำแดงอยู่ในใจหลินสวินไปทีละชิ้น

แต่ต่างจากครั้งแรก เขาเริ่มสงบใจสัมผัสนัยเร้นลับทั้งปวงที่อยู่ในการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนมรรคาอมตะปรากฏ…

จิตวิญญาณดำดิ่งอยู่ในนั้น ก็เหมือนสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของโลกในกระแสธารแห่งกาลเวลา กระทั่งไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่ผันผ่านไปโดยสิ้นเชิง

จนในที่สุดเสียงสายฟ้าอันน่าสะพรึงนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง มหาเคราะห์โลกาวินาศมาเยือนอีกครา ยุคก่อนก็พังทลายลงไปด้วย

เพียงแต่คราวนี้หลินสวินเตรียมตัวล่วงหน้าไว้ก่อน ใช้พลังทั้งหมดไปสัมผัสและหยั่งรู้

เพราะเขารู้ว่าต่อให้เคราะห์มรรคห้าเสื่อมสามารถทำลายยุคสมัยหนึ่ง แต่กลับมีสิ่งมีชีวิตที่รอดมาได้!

อย่างมารเทพตี้สือ เหวยหมิงจื่อ อู๋ซวง ท่านลู่…

หืม?

ในที่สุดเมื่อยุคก่อนดับสิ้น ชั่วพริบตาที่ทุกอย่างคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง จิตใจหลินสวินก็จับความผิดปกติได้อย่างฉับไว

ในห้วงอากาศมีกลิ่นอายคลุมเครือดุจนิรันดร์แฝงตัวอยู่ในความมืดมิด!

จากนั้นความดำมืดก็มาเยือน ทุกอย่างเงียบสงัดตลอดกาล

แต่ในที่สุดหลินสวินกลับได้รู้ว่าแม้ยุคก่อนจะล่มสลาย แต่กลิ่นอาย ‘นิรันดร์’ จำนวนหนึ่งกลับไม่สลายไปเช่นนั้น ทว่าหลบเร้นฝังตัวอยู่ในความมืด กำลังรอการมาเยือนของยุคสมัยใหม่!

“กลิ่นอายพวกนี้ หรือจะเป็นพลังที่ได้จากระดับนิรันดร์”

หลินสวินพึมพำ

เขาคิดไม่ถึงว่าจะถึงกับหยั่งรู้นัยเร้นลับน่าตะลึงที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้จากตำรายุคสมัยนี้ได้!

‘ถ้าเป็นแบบนี้จะไม่ได้หมายความว่า เผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้าไม่ต้องกลัวภัยคุกคามของยุคสมัยดับสิ้นหรือ’ หลินสวินคิดถึงตรงนี้ในใจยังสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้

ครู่ใหญ่หลินสวินนั่งสมาธิอีกครั้ง เริ่มฝึกปราณ

เคราะห์มรรคห้าเสื่อมกับนัยเร้นลับนิรันดร์อย่างไรก็ห่างไกลเกินไป เขาในตอนนี้ไม่สามารถไปใคร่ครวญได้

เรื่องสำคัญตรงหน้าคือหยั่งรู้นัยเร้นลับของมรรคาอมตะ

การเริ่มขึ้นและความรุ่งเรืองของยุคสมัยหนึ่ง มักหมายความว่ามีมรรคาอมตะอุบัติขึ้น ขอเพียงใคร่ครวญนัยเร้นลับของมัน ครอบครองแก่นแท้ของกุญแจนี้ ก็สามารถทำให้ตนเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง!

ประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปอีกสิบวัน

หลินสวินที่นั่งสมาธิลุกขึ้นอีกครั้ง ใช้จิตรับรู้แทรกเข้าไปในตำรายุคสมัย

นัยเร้นลับหลายอย่างเขามองทะลุแล้ว แต่ก็มีนัยเร้นลับอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคลุมเครือและยากจะใคร่ครวญเช่นเคย

……

เขาตำรา

นอกตำหนักโบราณ

เจี่ยงเยี่ยนั่งหลับตาบนเก้าอี้โยก เอ่ยว่า “พวกเจ้าจากไปตอนนี้จะดีที่สุด”

เหล่าผู้สืบทอดยืนอยู่ตรงนั้นสีหน้าโกรธเคือง พวกเขามาอ่านตำราที่เขาตำรา แต่กลับถูกเจี่ยงเยี่ยขวางไว้ข้างนอก

“หรือหลินสวินจะไม่ออกมาทั้งชาติ ชาตินี้พวกเราจะเข้าไปในตำหนักไม่ได้แล้วหรือ”

มีคนเอ่ยอย่างโมโห

“วางใจได้ ไม่มีทางยืดยาวไปทั้งชาติหรอก”

เจี่ยงเยี่ยยังหลับตาเหมือนเดิม เอ่ยเสียงเรียบว่า “ยิ่งไปกว่านั้นหลินสวินยังอ่านไปเพียงสามเดือนเท่านั้น ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็ออกมาแล้ว”

ในที่สุดผู้สืบทอดเหล่านี้ก็จากไปอย่างจนใจ

เจี่ยงเยี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ความกดดันยังเกิดขึ้นในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

สามเดือนแล้ว

มีผู้สืบทอดสำนักมากมายมายังเขาตำรา หมายจะเข้าไปอ่านตำราในตำหนัก แต่ถูกเจี่ยงเยี่ยปฏิเสธอยู่หน้าประตูทุกครั้งไป

เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้คนใหญ่คนโตมากมาย

ขนาดคนเก่าคนแก่ในหอแรกมายาบางคนยังตำหนิเรื่องนี้

ทว่าเจี่ยงเยี่ยกลับไม่อาจไม่ทำเช่นนี้ ถ้าแค่เข้าตำหนักไปยืมอ่านตำราก็ช่างเถิด แต่ที่ต้องกังวลก็คือ หากมีใครมีเป้าหมายไปทำลายการฝึกปราณของหลินสวิน เช่นนั้นผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงแล้ว

สามเดือนมานี้ภายในลัทธิแรกกำเนิดเกิดเรื่องมากมาย คลื่นใต้น้ำถาโถม ส่วนมากเป็นการพุ่งเป้าไปที่หลินสวิน

เจี่ยงเยี่ยยังเป็นห่วงอย่างอดไม่ได้อยู่บ้าง ว่าตอนหลินสวินออกจากตำหนักที่เก้าและได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสามเดือนนี้ จะส่งผลต่อจิตใจหรือไม่

หลังจากหลินสวินเข้าไปในตำหนักที่เก้าได้ครึ่งปี

เขาตำรามีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งมาเยือน รองหัวหน้าหอแรกนภาฝูเหวินหลี!

“คารวะรองหัวหน้าหอฝู” เจี่ยงเยี่ยที่เอนตัวอยู่บนเก้าอี้โยกยังไม่กล้าละเลย ลุกขึ้นคารวะ

เขาเป็นเพียงผู้อาวุโส อำนาจสู้ฝูเหวินหลีไม่ได้

“หลินสวินคนนี้ยังอ่านตำรายุคสมัยอยู่หรือ”

ฝูเหวินหลีเอ่ยถาม สีหน้าไร้อารมณ์ เขารูปร่างผอมสูง แต่งกายชุดดำทั้งตัว รูปลักษณ์หล่อเหลา ดวงตาทั้งสองปรากฏแสงนิลน่าหวาดผวา

“ขอรับ” เจี่ยงเยี่ยพยักหน้า

ฝูเหวินหลีถามต่อ “เพราะเขา พวกเจ้าหอแรกมายาจึงขวางไม่ให้ผู้สืบทอดคนอื่นมายืมอ่านตำราหรือ”

เจี่ยงเยี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “คิดว่ารองหัวหน้าหอฝูคงรู้ชัด ยามยืมอ่านตำรายุคสมัยห้ามถูกโลกภายนอกรบกวนเป็นอันขาด”

ฝูเหวินหลีหัวเราะหยัน “ในอดีตก็มีหลายคนยืมอ่านตำรานี้ แต่ไม่เคยมีกฎว่าไม่อนุญาตให้คนอื่นมายืมอ่านตำรา เจ้าทำเช่นนี้จะเอากฎระเบียบของสำนักไปไว้ที่ไหน”

เจี่ยงเยี่ยใจหนักอึ้ง ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายจงใจมาซักไซ้หาความ!

ฝูเหวินหลีมีฐานะเป็นรองหัวหน้าหอแรกนภา ดูแลเรื่องกฎและการลงโทษ ถ้าอีกฝ่ายมาเอาความกับเรื่องนี้ เช่นนั้นย่อมรับมือยากหาใดเทียบ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสหอแรกมายาอย่างตนเขาต้านทานได้แน่

“ข้าให้โอกาสเจ้าได้กลับตัวครั้งหนึ่ง แต่เจ้าอย่ามาขวางจะดีที่สุด”

ขณะพูดฝูเหวินหลีก็ก้าวเท้าหมายจะเข้าไปในตำหนัก

“รองหัวหน้าหอฝูช้าก่อน!”

เจี่ยงเยี่ยเงยหน้าขวับ เอ่ยว่า “หน้าที่ของข้าคือดูแลเขาตำรา ต่อให้เป็นรองหัวหน้าหอเช่นท่านก็ไม่อาจบุกรุกที่นี่ได้ตามใจชอบ!”

เขาสวมชุดเขียวผมขาว สีหน้าสงบนิ่ง มองตรงไปที่ฝูเหวินหลี ไม่คิดจะถอยสักก้าว

แววเย็นชาวาบผ่านในดวงตาฝูเหวินหลี กล่าวว่า “ไม่รู้จักรับน้ำใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่ามาว่าข้าที่ทำโทษเจ้าตามกฎสำนักก็แล้วกัน!”

อานุภาพกดข่มน่าครั่นคร้ามแผ่กระจายจากตัวเขา ทำให้เจี่ยงเยี่ยยังหน้าเปลี่ยนสี

แต่เขายังไม่ถอยเช่นเคย เอ่ยว่า “รองหัวหน้าหอฝูเข้าใจผิดแล้ว กฎในเขาตำรามีหอแรกมายาของข้าเป็นผู้ชี้ขาด ถ้าอยากให้ข้าถอยก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องมีคำสั่งของหอแรกมายาของข้าด้วยถึงทำได้”

กลับเห็นว่าฝูเหวินหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าพูดเองนะ”

เมื่อเสียงพูดเงียบลง ใต้เขาตำราก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่งกายชุดสีชาดทั้งตัว เอวคาดเข็มขัดหยก สวมเกี้ยวประดับโหร ใบหน้าดุจหยกวิลาศ สง่างามผิดธรรมดา

ถึงกับเป็นรองหัวหน้าหอแรกมายาชือเวิน!

“เจี่ยงเยี่ย ยังไม่ถอยไปอีก” ทันทีที่ชือเวินมาถึงก็เอ่ยเสียงไม่พอใจ

เจี่ยงเยี่ยยิ่งหนักใจ รองหัวหน้าหอสองคนมาเยือนพร้อมกัน เรื่องนี้ยิ่งไม่สู้ดีแล้ว

ก็ในตอนนี้เองเสียงอันน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังขึ้น “ที่เขาตำรามีข้ารับผิดชอบมาตลอด ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าชือเวินยื่นมือเข้ามาแทรกได้”

ขวับ!

ห้วงอากาศเกิดคลื่นสะเทือน ตู๋กูยงปรากฏตัวออกมา กวาดมองชือเวินอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง

เจี่ยงเยี่ยพลันเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ชือเวินนิ่วหน้าเอ่ย “พี่ตู๋กู ที่นี่ก็ไม่มีคนนอก ข้าถามเจ้าแค่ประโยคเดียว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเข้ามาเกี่ยวด้วย อย่าลืมเสียล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าตระกูลตู๋กูยังครองอาณาเขตในน่านฟ้าที่เจ็ดอยู่!”

นี่เป็นการข่มขู่อย่างไม่ต้องสงสัย

ตู๋กูยงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “อย่าบีบข้าเลย หาไม่ข้าอาจจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ผลลัพธ์พวกเจ้าชั่งน้ำหนักเอาเอง”

ชือเวินสีหน้าขรึมลง หันมองฝูเหวินหลีที่อยู่อีกด้าน

“ตู๋กูยง จำคำที่เจ้าพูดวันนี้ไว้” ฝูเหวินหลีชำเลืองมองตู๋กูยงคราหนึ่งแล้วจึงหันหลังจากไป

ชือเวินก็จากไปด้วยกัน

นี่ทำให้เจี่ยงเยี่ยประหลาดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ มาด้วยท่าทางกราดเกรี้ยว ตอนนี้กลับจากไปทั้งแบบนี้หรือ

ตู๋กูยงแววตาเย็นชา เอ่ยว่า “พวกเขาไม่ได้คิดมาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้า แต่ต้องการใช้เรื่องนี้หยั่งท่าทีของข้า ตอนนี้พวกเขารู้จุดยืนของข้าแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องอยู่ต่ออีก”

“นี่ไม่ได้หมายความว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปพวกเขาจะมองท่านเป็นศัตรูไปแล้วหรือ” เจี่ยงเยี่ยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

“ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องแตกหักกันอยู่ดี ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรอก”

ตู๋กูยงเอ่ยเรียบๆ “เจ้าแค่ดูแลที่นี่ดีๆ ก็พอ ต่อให้พวกเขาเหิมเกริมแค่ไหนก็ไม่กล้าเหยียบย่ำก้าวข้ามกฎระเบียบของสำนักในตอนนี้หรอก”

พูดจบเงาร่างของเขาก็หายลับไปกลางอากาศ

เจี่ยงเยี่ยยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

เพียงเพราะหลินสวินจะทะลวงระดับ สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดเช่นนี้หรือ

แล้วพวกฝูเหวินหลียังหวาดกลัวอะไรอยู่

เจี่ยงเยี่ยพอสัมผัสได้กลายๆ ว่ามรรคาอมตะที่หลินสวินแสวงหานี้ พิเศษจนทำให้คนใหญ่คนโตที่ซ่อนอยู่ในที่ลับอย่างฝูเหวินหลี ชือเวินยังนั่งไม่ติด หมายจะขัดขวางทุกอย่าง!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด