Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2772 ทลายผลาญใจ สลายโลกบงกช

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2772 ทลายผลาญใจ สลายโลกบงกช at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2772 ทลายผลาญใจ สลายโลกบงกช

พื้นที่สามจั้ง

ระยะห่างใกล้ยิ่ง

แต่พร้อมๆ กับเสียงท่องธรรมของอวี่เฟิงจื่อดังขึ้น บัวดอกหนึ่งเบ่งบานในพื้นที่สามจั้งนี้ เริ่มแรกเล็กเหมือนกำปั้น เมื่อกลีบดอกบานออกทีละกลีบ ชั่วพริบตาราวกับกลายเป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง

กลีบดอกไม้สี่สิบเก้ากลีบแฝงประกายสีงดงาม โปร่งแสงกลมมน

มองลงมาจากฟ้า ดอกบัวนี้เหมือนจักระเทพที่กลมมนอย่างที่สุดวงหนึ่ง

บงกชก่อเกิดวัฏจักร!

เมื่อปรากฏออกมา บัวดอกนี้หมุนวนเอื่อยๆ พลังที่มหัศจรรย์คลุมเครือคละคลุ้งขึ้นมาจากใจกลางดอกบัวนั่นโดยพลัน

หลินสวินสัมผัสถึงอันตรายในทันใด แต่ไม่รอเขาหลบหลีก ร่างก็ถูกพลังที่คลุมเครือมหัศจรรย์ปกคลุม ภาพตรงหน้าพร่ามัวขึ้นมาทันที

ชั่วพริบตาก็เหมือนจมสู่วัฏจักร

ในความมืด ประตูที่ปิดสนิทสี่สิบเก้าบานเปิดออกตามลำดับ

“พี่หลิน ที่นี่คือโลกบงกชผลาญใจ ควบรวมขึ้นจากพรสวรรค์ ‘จิตฌานเก้าช่องทาง’ ของข้า ผสานกับมรรควิถีและกฎเกณฑ์ทั้งชีวิต ภายในมีสี่สิบเก้าประตูบงกช หลังประตูทุกบานล้วนเป็นโลกวัฏจักรแห่งหนึ่ง”

เสียงที่สงบนิ่งของอวี่เฟิงจื่อดังขึ้นในความมืด “นี่คือวิชาก้นหีบของข้า ใช้จำนวนสี่สิบเก้าสะท้อนมรรควิถีของข้า มั่นใจว่าเหนือกว่าคนระดับเดียวกันส่วนใหญ่บนมรรคาอมตะแล้ว”

“ทว่าบางทีโชคชะตาอาจกำหนดทุกอย่างไว้แล้ว จนกระทั่งข้ารู้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้า จึงพบว่ามรรคาของเรามีความคล้ายคลึงกัน”

“มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่เก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง เจ้าเป็นผู้สืบทอดลำดับที่ห้าสิบของคีรีดวงกมล ถูกมองเป็นหนึ่งบัวที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเผ้าคอย ดั่งคำว่า ‘หนึ่ง’ ในรอดพ้นเพียงหนึ่ง”

“ส่วนข้าวิวัฒน์มหามรรคสี่สิบเก้า ข้าก็คือ ‘รอดพ้นเพียงหนึ่ง’ ในมหามรรคของตน”

“เจ้าว่าน่าสนใจมากหรือไม่ นี่ยังเป็นจุดประสงค์ที่ข้ามาลัทธิแรกกำเนิดครั้งนี้ ก็เพื่อจะเทียบสูงต่ำกับพี่หลินบนมรรคา”

“หากมรรคาอมตะมี ‘ยอด’ ที่ว่าจริงๆ เช่นนั้นก็ถูกกำหนดให้มีได้เพียงหนึ่งเดียว”

อวี่เฟิงจื่อพูดถึงตอนสุดท้าย ก็เจือความแน่วแน่ถึงที่สุดแล้ว

การชิงชัยในมหามรรค ชิงชัยกันเพียง ‘ยอด’ เท่านั้น!

“ใช่หรือ แต่ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องรอดพ้นเพียงหนึ่งอะไร ตั้งแต่ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ อาจารย์ของข้าเจ้าแห่งคีรีดวงกมลไม่เคยให้คำชี้แนะใดๆ กับข้า หากข้าเป็นผู้สืบทอดที่เขารอคอยมาหมื่นกาล นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าไขว่คว้ามาด้วยมหามรรคของข้า ไม่เกี่ยวกับว่าข้าเป็น ‘รอดพ้นเพียงหนึ่ง’ หรือไม่”

หลินสวินพูดเรียบๆ “บังเอิญก็ดี ฟ้าลิขิตก็ช่าง เจ้าถูกกำหนดให้ไม่เหมือนข้า และข้าก็ถูกกำหนดให้ไม่มีทางเหมือนเจ้า แต่ประโยคสุดท้ายเจ้าพูดถูก หากบนโลกนี้มีมรรคายอดอมตะ เช่นนั้นก็ถูกกำหนดให้มีได้เพียงหนึ่งเดียว”

อวี่เฟิงจื่อเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นตัดสินสูงต่ำในตอนนี้ก็พอ”

หลินสวินยิ้ม เสริมประโยคหนึ่ง “เจ้าบอกว่าเจ้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้สามพันหกร้อยกว่าปีแล้ว แต่ข้าฝึกปราณมายังไม่ถึงสองร้อยปีด้วยซ้ำ”

อวี่เฟิงจื่อเงียบไป ก็ไม่รู้ว่ากระทบกระเทือนจิตใจหรือเกิดความคิดอื่นๆ เพราะประโยคนี้ของหลินสวิน

สรุปคือเขานิ่งเงียบไปแล้ว

หลินสวินก็ไม่สนใจ ผลักประตูบงกชบานที่อยู่ใกล้ที่สุดออก

เขาดูออกนานแล้ว ว่าประตูบงกชสี่สิบเก้าบานนี้ก็เหมือนระบบรากสี่สิบเก้าสายของโลกบงกชผลาญใจ มีเพียงโจมตีมันให้ทลาย จึงจะสามารถหลุดพ้นจากที่แห่งนี้ได้

ภาพตรงหน้าพร่ามัว โลกที่มืดครึ้มแห่งหนึ่งปรากฏออกมา

“ที่แห่งนี้คือเทวพิมาน หนึ่งในหกโลกโลกียะ ข้าใช้มรรคของข้าหลอมออกมา ภายในมียักษาแปดสิบล้านตน หากหลงอยู่ภายใน มรรควิถีแห่งตนจะถูกตัดออกหนึ่งระดับใหญ่”

เสียงของอวี่เฟิงจื่อดังขึ้นอีกครั้ง “นอกจากนี้ในโลกวัฏจักรอื่นๆ อีกสี่สิบแปดโลก ล้วนมีนัยเร้นลับซ่อนอยู่ ขอเพียงถูกขัง มรรควิถีก็จะถูกตัดออก”

“ดูออกว่าเจ้าเชื่อมั่นในไพ่ก้นหีบของตนมาก แต่ตอนนี้… ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะคุยกับเจ้า”

หลินสวินว่าพลางซัดหมัดหนึ่งไปยังท้องฟ้า

ตูม!

ในเทวพิมานที่มืดมิดนี้ ฟ้าดินสั่นไหว เสียงของอวี่เฟิงจื่อหยุดชะงักไปโดยพลัน

ทว่าไม่ทันไรเงาร่างยักษ์ร้ายที่ส่องแสงสว่างจ้าทั้งร่างจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นแน่นขนัด กลบโลกแห่งนี้เหมือนกระแสน้ำ

ท้องฟ้ามืดครึ้มถูกส่องสว่าง เรืองรองไร้จำกัด

ยักษาแปดสิบล้าน!

จำนวนนั่นทำให้คนสิ้นหวังจริงๆ

สิ่งที่ทำคนอกสั่นขวัญหนียิ่งกว่าคือ รูปลักษณ์ของยักษาแต่ละตน กลับกลายเป็นเงาร่างชายหญิงแก่เด็กที่หลากหลาย

ยามสายตาหลินสวินมองไป นัยน์ตาก็อดหดรัดลงไม่ได้

เพราะยักษาเหล่านั้นถึงกับกลายเป็นคนที่เขาคุ้นเคยที่สุด มีศัตรู มีญาติมิตร และมีคนที่พบกันโดยบังเอิญ…

พวกนักโทษในคุกใต้เหมือง ชาวบ้านและเด็กๆ หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ศัตรูและญาติมิตรที่พบเจอตลอดทางในจักรวรรดิจื่อเย่า…

ดินแดนรกร้างโบราณ ทางเดินโบราณฟ้าดารา โลกมืด แดนเจินหลง แดนหงส์เซียน แหล่งสถานคุนหลุน แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แดนใหญ่พันศึก…

สถานที่ที่เขาเคยไปก่อนหน้านี้ คนที่เคยพบเจอล้วนถูกยักษาเหล่านั้นแปรสภาพออกมา

ถึงขั้นที่ยังมีพวกจ้าวจิ่งเซวียน ลู่ป๋อหยา ลั่วชิงสวินปรากฏออกมา!

และตอนนี้พวกเขาล้วนกลายเป็นกระแสน้ำที่ปกคลุมฟ้าดิน โจมตีเข้าใส่หลินสวิน

ภาพนี้น่าทึ่งและน่าสะพรึงเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย

“ใจมีคติ ล้วนสะท้อนใจข้า ใจกระเพื่อมไหว กลับต้องเกิดเคราะห์สังหาร วิชาเยี่ยมยอดเช่นนี้ไม่ธรรมดามาก”

หลินสวินทอดถอนใจชื่นชม ไม่หวงคำชมต่ออวี่เฟิงจื่อ

ถัดจากนั้นดวงตาเขาสงบนิ่งไร้คลื่น พุ่งตัวเข้าไป

ตูม โครม!

ร่างของเขากลายเป็นหุบเหวพาดขวางกลางฟ้าดิน ม้วนตัวไปข้างหน้า ทุกที่ที่ผ่าน เงาร่างเหล่ายักษาแน่นขนัดถูกบดขยี้แหลกละเอียด กลายเป็นแสงธรรมลอยกระจายงดงาม

ถ้าเป็นคนอื่น เห็นคนคุ้นเคยมากมายในอดีตพุ่งมา เกรงว่าคงเกิดความไหวหวั่นในสภาวะจิตไปแล้ว

หากเจอคนที่รักใคร่ คนที่ใกล้ชิดสนิทสนม คนที่ชิงชัง…

ย่อมเกิดความไหวหวั่นในสภาวะจิตได้ง่ายที่สุด

และขอเพียงแค่สภาวะจิตเกิดช่องโหว่แม้เพียงน้อยนิด เทวพิมานนี้ก็จะกลายเป็นนรกที่น่ากลัวที่สุด ดำเนินการโจมตีถึงชีวิตต่อผู้ที่ถูกขังอยู่ภายใน

น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผลกับหลินสวิน

ในเมื่อมองทะลุความเร้นลับภายใน เขาย่อมไม่มีทางติดกับ

ใบหน้าที่คุ้นเคยอะไร ในสายตาเขาล้วนเป็นของปลอมเท่านั้น

ตูม โครม!

ก็เห็นเขาพุ่งตัวตลอดทาง ทุกที่ที่ผ่านเงาร่างนับไม่ถ้วนสลายไป กลายเป็นแสงธรรมสาดกระเซ็น

ไม่กี่พริบตาเท่านั้น ฟ้าดินผืนนี้ก็เริ่มเหี่ยวเฉาและแตกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็ทรุดทลายลงตรงหน้าหลินสวินทั้งหมดพร้อมเสียงดังโครมคราม

ยังคงเป็นโลกที่มืดมนนั่น แต่กลับเหลือเพียงประตูบงกชที่ปิดสนิทสี่สิบแปดบาน

“หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

หลินสวินเอ่ยกับตนเอง ขณะพูดก็ก้าวเท้าผลักประตูบงกชบานที่สองแล้ว ดูเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลายราวกับเดินเล่นในสวน ไร้เกรงกลัว ไร้กังวล

เพียงครู่เดียว

ประตูบงกชบานที่สองสลายไปราวกับฟองสบู่ สะท้อนเงาร่างของหลินสวินออกมา

เขาไม่ได้ชักช้า เข้าสู่ประตูบงกชบานที่สาม

ส่วนอวี่เฟิงจื่อที่เห็นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ ใบหน้าอันหล่อเหลาที่นิ่งสงบไร้คลื่นอารมณ์ค่อยๆ เผยแววครัดเคร่งขึ้นมาน้อยๆ

……

มองจากโลกภายนอก

บนลานมรรคเปิดสวรรค์ ดอกบัวกลมมนงดงามพร่างพราวดอกหนึ่งกำลังหมุนวนช้าๆ สาดแสงธรรมที่คลุมเครือและลึกลับออกมา

ส่วนเงาร่างของหลินสวินกลับหายไปตรงใจกลางดอกบัวนั่น

อวี่เฟิงจื่อยืนนิ่งอยู่ข้างดอกบัว

ทุกคนนอกลานมรรคล้วนประหลาดใจ ส่วนใหญ่มองความเร้นลับภายในไม่ออก

แต่ในสายตาของคนใหญ่คนโตเหล่านั้น ภาพที่ดูเหมือนนิ่งสงบนี้ ความจริงอันตรายและน่ากลัวกว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้เสียอีก!

นี่คือการประชันระหว่างมหามรรคของแต่ละคน!

“นี่คือโลกบงกชผลาญใจ ภายในมีสี่สิบเก้าโลกวัฏจักร สามารถตัดระดับมรรควิถีได้…”

บนแท่นพิธี จอมมุนีชื่อเย่ใบหน้าเจือรอยยิ้ม อธิบายความลึกลับและปริศนาของโลกบงกชผลาญใจให้ทุกคนรอบข้าง คนใหญ่คนโตเหล่านั้นฟังแล้วถึงกับสูดหายใจสะท้าน อึ้งงันไม่หยุด

อภินิหารเช่นนี้น่าเหลือเชื่อจริงๆ!

“นี่ไม่ใช่หมายความว่าหลินสวินที่ถูกขังไว้ภายใน เป็นไปได้สูงว่าอาจถูกตัดระดับ ทำให้มรรควิถีถูกทำลายจนไม่สามารถฟื้นคืนได้หรือ”

มีคนอดถามไม่ได้

ประโยคเดียวดึงดูดความสนใจของทุกคน

แม้แต่คนใหญ่คนโตอย่างเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงที่อยู่ไม่ไกล ในใจยังล้วนบีบรัด

“ไม่ผิด”

ชื่อเย่พยักหน้า สีหน้าเวทนา “หวังเพียงว่าหลินสวินคนนี้แม้หลงทางจะยังรู้จักย้อนกลับ กลับหลังกลับเข้าฝั่ง รีบยอมแพ้โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะถูกตัดระดับปราณจริงๆ”

พวกเสวียนเฟยหลิงสีหน้าอึมครึมทันใด

ยามมองดูคนใหญ่คนโตที่มีความแค้นกับหลินสวินเหล่านั้น แต่ละคนแววตาวาบประกาย เผยสีหน้าแฝงความตื่นเต้นและรอคอยรางๆ

พวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นต่างรู้สึกยินดีขึ้นมาระลอกหนึ่ง

หากหลินสวินถูกตัดระดับปราณ ยังจะมียอดอมตะอะไรให้พูดถึงอีก

และยังจะมีการคุกคามอะไรได้

“ตัดระดับมรรควิถีหรือ”

“บนโลกนี้มีอภินิหารเช่นนี้ได้อย่างไร”

“แย่แล้ว รองผู้ดูแลหลินมีอันตรายแล้ว!”

ยามทุกคนในลัทธิแรกกำเนิดรู้ถึงความน่ากลัวของโลกบงกชผลาญใจ แต่ละคนสีหน้าล้วนเปลี่ยนไป หัวใจแขวนลอย

บนลานมรรคเปิดสวรรค์ห้ามฆ่าคน แต่กลับไม่มีกำหนดว่าห้ามตัดระดับมรรควิถี!

และขอเพียงหลินสวินประสบเคราะห์ครั้งนี้ ระดับปราณลดลง เช่นนั้นความสำเร็จและบารมีทั้งหมดที่เขาครอบครองมาถึงตอนนี้ก็ต้องตกต่ำลงอย่างหนัก!

คิดถึงตรงนี้ สายตามากมายที่มองไปยังอวี่เฟิงจื่อล้วนแฝงความเดือดดาล ชิงชันจนกัดฟันกรอด

ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน

อวี่เฟิงจื่อในตอนนี้สีหน้ากลับค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น

เปรี๊ยะ!

ดอกบัวงามดอกนั้นพลันส่งเสียงระเบิดออกมา หนึ่งในกลีบดอกสี่สิบเก้ากลีบแตกละเอียดกะทันหันในชั่วขณะนี้ ขาดไปหนึ่งกลีบ

“นี่…”

ชื่อเย่ที่สีหน้าแฝงความเวทนานัยน์ตาหดรัด

แทบจะในเวลาเดียวกัน ทุกคนในที่นี้ล้วนสังเกตเห็นความผิดปกติ

เปรี๊ยะ!

ไม่รอพวกเขาเข้าใจ ก็มีกลีบดอกไม้อีกกลีบระเบิดออก สลายเป็นละอองแสง

สีหน้าของอวี่เฟิงจื่อก็ยิ่งเคร่งเครียด

“คงไม่ใช่ว่า… หลินสวินกำลังทลายออกมากระมัง!”

มีคนพึมพำ

ประโยคเดียวทำให้สีหน้าของคนใหญ่คนโตไม่น้อยบนแท่นพิธีต่างอึมครึมลง ความตื่นเต้นและรอคอยในใจถูกความกังวลที่พูดไม่ออกอย่างหนึ่งเข้าแทนที่

พวกเขาไม่อยากเห็นหลินสวินหลุดออกมาหรอกนะ!

แน่นอนว่าพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นก็เป็นเช่นนี้

แต่สถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามความคิดของพวกเขา ในเวลาหลังจากนั้น บนลานมรรคเปิดสวรรค์กลีบดอกไม้ของบัวดอกนั้นแตกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงแตกเปรี๊ยะๆๆ ออกมา

นั่นเหมือนดั่งเสียงตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า สะบัดใส่ใบหน้าของเหล่าคนใหญ่คนโตที่มองหลินสวินเป็นศัตรูอย่างรุนแรง ทำให้สีหน้าของพวกเขามืดทะมึนและไม่น่าดู

ย้อนกลับไปมองอวี่เฟิงจื่ออีกครา จีวรขาวหิมะโบกสะบัด เม้มริมฝีปากแน่น บนใบหน้าหล่อเหลาไม่อาจรักษาความนิ่งสงบได้ เปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่แน่นอน

มองเห็นกลีบดอกแต่ละกลีบเหี่ยวเฉาระเบิดเป็นเสี่ยงๆ สองมือที่อยู่ในแขนเสื้อของเขากำแน่น เส้นเลือดบนหลังมือนูนออกมา

เขากำลังควบคุมอารมณ์สั่นไหวในใจอย่างสุดกำลัง

โลกบงกชผลาญใจคืออภินิหารพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหามรรคทั้งชีวิตเขา และเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงนัยเร้นลับสูงสุดที่เขาแสวงหาออกมาได้ในมรรคาอมตะ

อภินิหารนี้เคยทำให้เฒ่าดึกดำบรรพ์ลัทธิฌานมากมายทอดถอนใจและตกตะลึง!

ก่อนได้ยินเรื่องของหลินสวิน อวี่เฟิงจื่อไม่เคยคิดจะเอาชนะ และไม่เคยต้องการวัดฝีมือกับคนในระดับเดียวกัน

ไม่ใช่เพราะเย่อหยิ่ง เพียงแค่เพราะยืนอยู่สูงเกินไป!

แต่ตอนนี้มหามรรคที่เขาภาคภูมิใจและมั่นใจที่สุด กลับมีสัญญาณจะถูกโจมตีพ่ายแพ้อยู่รางๆ

สำหรับอวี่เฟิงจื่อ นี่ไม่ต่างจากการโจมตีหนักหน่วงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

ยามเห็นบัวหลากสีสันดอกนั้นกลายเป็นรูพรุนมากมาย เห็นกลีบดอกที่เหลือเพียงไม่กี่กลีบค่อยๆ อับแสงลง

อวี่เฟิงจื่อเหมือนมองเห็นมหามรรคของตนเปลี่ยนเป็นมีรูพรุนมากมาย มืดมนไร้แสงขึ้นมา ภายในใจเกิดความเดือดดาลและอึ้งงันที่พูดไม่ออก

เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

ข้าใช้มรรคข้าวิวัฒน์สี่สิบเก้า มีหนึ่งรอดเพียงข้า แต่เหตุใดจึงสู้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลนั่นไม่ได้

เปรี๊ยะ!

ตอนที่กลีบดอกไม้กลีบสุดท้ายร่วงโรยพังทลาย อวี่เฟิงจื่อกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งอย่างควบคุมไม่อยู่อีกต่อไป ใบหน้าหล่อเหลาขาวซีด ในดวงตาเต็มไปด้วยความเสียใจ ไม่จำยอม และผิดหวัง

และในเวลาเดียวกัน

เสียงตูมดังขึ้นคราหนึ่ง ใจกลางดอกบัวที่โล้นเลี่ยงนั่นระเบิดออก เงาร่างสะดุดตาผ่าเผยสายหนึ่งพุ่งออกมา สะท้อนอยู่ในสายตาของทุกคนในที่นี้

ทุกคนล้วนสั่นสะท้าน!

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด