Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2788 เพี๊ยะๆๆ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2788 เพี๊ยะๆๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2788 เพี๊ยะๆๆ

เขตหวงห้ามที่เจ็ด

ห้วงอากาศปั่นป่วนที่แหลกละเอียดเปลี่ยนเป็นพายุโหมซัดกระหน่ำ

ห่างออกไปพวกฉินจิงเทียนหยุดเท้า สีหน้าอึมครึม ด้วยระดับของพวกเขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปในห้วงอากาศปั่นป่วนแถบนั้น

ก่อนหน้านี้ยามพวกเขาไล่ตามมาถึงที่แห่งนี้ ก็เห็นหลินสวินกับเสวียนเฟยหลิงซ่อนตัวในเตากระบี่แล้วพุ่งเข้าไปในห้วงอากาศปั่นป่วนพอดี เพียงพริบตาก็หายลับไป

“บัดซบ!”

ในใจฉินจิงเทียนเต็มไปด้วยความเดือดดาล

“คนผู้นี้จะตายในนั้นหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของพวกเราไม่นับว่าล้มเหลวหรือ”

ฉินจิงเหวินมุ่นคิ้วกล่าว

“ไม่มีทาง”

ฉินจิงเลวี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “หากรู้ว่าต้องตาย พวกเขาย่อมเลือกสู้กับพวกเราสุดชีวิตแน่ แต่พวกเขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น นี่พิสูจน์ว่าพวกเขามั่นใจว่าต้านทานแรงโจมตีของห้วงอากาศปั่นป่วนได้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ฉินจิงเทียนกับฉินจิงเหวินได้ยินดังนี้ก็สงบลง

“จิงเหวิน เจ้าไปบริเวณที่เซ่าเหมิ่งสิ้นชีพ ใช้พลังระเบียบย้อนดูว่าเจอข้อมูลที่มีประโยชน์จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้หรือไม่”

ฉินจิงเทียนตัดสินใจ “จิงเลวี่ย เจ้าส่งข่าวกลับเผ่า แจ้งเรื่องกับหัวหน้าเผ่า ทั้งให้เขาส่งกำลังมาที่นี่ ปิดทางเข้าของเขตหวงห้ามที่เจ็ดนี้ทั้งหมด”

“ส่วนข้าจะคอยดูแลอยู่ที่นี่”

“ได้”

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยรับคำสั่งจากไป

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม

เงาร่างของฉินจิงเหวินหวนกลับมา กล่าวว่า “ตอนเซ่าเหมิ่งมีชีวิตอยู่เคยถามฐานะของคนผู้นั้น เขาชื่อว่าหลินสวิน เป็นเหลนของลั่วทงเทียน ครั้งนี้มาแดนเทพต้าฉินเพื่อช่วยสามีภรรยาลั่วชิงสวินที่ติดอยู่ในแดนผนึกเรืองแสงจริงๆ”

“หลินสวิน…”

ฉินจิงเทียนจำชื่อนี้ไว้เงียบๆ

คืนวันนั้นฉินจิงเลวี่ยก็กลับมา ทั้งพาผู้แข็งแกร่งกลุ่มใหญ่มาด้วย ล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่เก้าแห่งที่อยู่ใต้อาณัติเผ่าเทพต้าฉิน

‘หัวหน้าเผ่าบอกว่าไม่อาจเคลื่อนกำลังคนในตระกูลได้มากนัก ไม่อย่างนั้นจะมีโอกาสดึงดูดความสนใจของสามเผ่าเทพชั้นยอดนั่น ดังนั้นจึงระดมพลผู้แข็งแกร่งในเก้าขุมอำนาจที่เป็นบริวารของตระกูลเรามา’

ฉินจิงเลวี่ยสื่อจิตกล่าว ‘เก้าขุมอำนาจใหญ่นี้ต่างส่งผู้แข็งแกร่งระดับจอมยุทธ์ด่านแรกมาหนึ่งคน และนำคนในตระกูลมาสามร้อยคน ปัจจุบันปิดทางเข้าเขตหวงห้ามที่เจ็ดไว้หมดแล้ว’

เมื่อฟังจบฉินจิงเทียนวางใจลงไม่น้อย กล่าวว่า ‘ปล่อยข่าวออกไปหรือยัง’

ฉินจิงเลวี่ยยิ้มกล่าว ‘เพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นลมและการดึงดูดความสนใจของโลกภายนอก ข้ากระจายข่าวออกไปแล้วว่าพวกเราทำเช่นนี้เพื่อจับศัตรูคนหนึ่งในเขตหวงห้ามที่เจ็ด ทั้งบอกเหตุผลที่ไม่อาจโจมตีได้ เชื่อว่าต่อให้คนภายนอกรู้ก็ไม่มีทางนึกถึงเรื่องที่พวกเรากำลังทำได้’

‘เช่นนั้นก็ดี’

ฉินจิงเทียนพยักหน้า

ฉินจิงเลวี่ยเอ่ยถาม ‘หากเจ้าหมอนี่ไม่ออกมา พวกเราจะรออยู่ที่นี่ไปตลอดหรือ’

‘ข้าเฝ้าสังเกตที่นี่อยู่ครู่ใหญ่ ตำแหน่งของคลื่นอากาศแถบนี้ไม่แน่นอน ในแต่ละช่วงเวลาจะเกิดการเปลี่ยนแปลง’

ฉินจิงเทียนชี้ไปยังจุดที่ห่างไกล ‘จากการคาดเดาของข้า ไม่เกินครึ่งปีพวกเราก็มีโอกาสหลบเลี่ยงห้วงอากาศปั่นป่วนนี้ เข้าไปยังจุดที่เจ้าหมอนี่หายไป’

‘ครึ่งปี… เกรงว่าคงทำให้หลินสวินนั่นฟื้นฟูมรรควิถีกลับมาโดยสมบูรณ์แล้ว…’

ฉินจิงเลวี่ยขมวดคิ้วไม่หยุด

‘ต่อให้แข็งแกร่งก็แข็งแกร่งไปไม่ถึงไหน ไม่เห็นหรือว่าไพ่ตายของเจ้าหมอนี่คือพลังเจตจำนงของระดับจอมยุทธ์ด่านสามคนหนึ่ง นี่ก็หมายความว่ามรรควิถีของหมอนี่ไม่มีทางบรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ด่านสามแน่’

ฉินจิงเทียนเอ่ยเรียบๆ

ฉินจิงเลวี่ยพยักหน้าพลางกล่าว ‘ก็ถูก หากพลังปราณของหมอนี่บรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ด่านสาม ย่อมไม่มีทางได้รับแรงกดดันและต่อต้านจากกฎระเบียบฟ้าดินแน่ สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าความสามารถของหมอนี่ ถ้าแข็งแกร่งที่สุดก็สูสีกับพวกเรา’

ถ้าแข็งแกร่งที่สุดแค่ระดับจอมยุทธ์ด่านสอง ยังมีอะไรน่าหวาดกลัวอีก

บนสะเก็ดดาวรกร้างวังเวง ทิวเขาสลับทับซ้อน

หลินสวินนั่งขัดสมาธิ สงบจิตหยั่งรู้กฎระเบียบฟ้าดิน

แม้มรสุมอากาศนั้นจะน่ากลัว แต่กลับไม่อาจทำลายเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ทำให้หลินสวินผ่านมรสุมอากาศได้อย่างไร้อันตราย มาถึงส่วนลึกของเขตหวงห้ามที่เจ็ดนี้

ที่นี่มีสะเก็ดดาวรกร้างแตกหักกระจายอยู่มากมาย มืดมิดเงียบสงัด

รูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิงกลับไปในป้ายคำสั่งแล้ว

อาจเพราะได้รับแรงกระตุ้นจากความรู้สึกวิกฤติอย่างเด่นชัด ตอนนี้ยามหลินสวินหยั่งรู้ สภาวะจิตกับการรับรู้ล้วนจดจ่อเป็นประวัติการณ์ กระจ่างว่างเปล่า

แค่เจ็ดวันกลิ่นอายบนตัวเขาก็ฟื้นคืนถึงระดับจักรพรรดิด่านแรก!

เมื่อเขาหยั่งรู้และสัมผัสต่อเนื่อง ก็เข้าใจกฎระเบียบฟ้าดินในแดนเทพต้าฉินนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

การที่สามารถสร้างอารยธรรมยุคสมัยได้ใหม่ทั้งหมด พิสูจน์ว่ากฎระเบียบฟ้าดินของแดนเทพต้าฉินนี้ไม่ธรรมดาเพียงใด ระหว่างหยั่งรู้ยังนำพาความเข้าใจและประโยชน์มากมายที่ไม่เคยมีมาก่อนมาให้หลินสวินด้วย

นี่คือความรู้สึกที่อัศจรรย์ยิ่งอย่างหนึ่ง

ไม่ใช่การฝึกปราณใหม่อีกครั้ง แต่การหยั่งรู้ที่ได้รับกลับมากกว่าการฝึกปราณใหม่

เวลาสองสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในแต่ละช่วงเวลา กลิ่นอายบนตัวหลินสวินแทบจะยกระดับขึ้นขั้นหนึ่ง…

ครึ่งปีให้หลัง

ฉินจิงเทียนที่เฝ้ารออย่างร้อนรนหาใดเปรียบเผยสีหน้ายินดีทันที ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พลางกล่าว “ไปได้!”

เวลาครึ่งปี มรสุมอากาศที่ห่างไกลเคลื่อนตัวไปมากแล้ว พอจะทำให้พวกเขาตัดผ่านเข้าไปตรงจุดที่หลินสวินหายไปเมื่อตอนนั้นได้

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยสบตากันวูบหนึ่ง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

“ไป ครั้งนี้ข้าอยากดูนักว่าหมอนี่จะหนีไปได้ถึงไหน! จำไว้ อีกเดี๋ยวยามลงมือ อย่าปล่อยโอกาสให้รูปจำลองเจตจำนงนั่นหนีได้ ต้องปลิดชีพในคราเดียว รีบสู้รีบจบ!”

ฉินจิงเทียนกระเหี้ยนกระหือรือ พุ่งห่างออกไปก่อน

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยตามหลังเขาไปติดๆ

พวกเขาล้วนเรียกไพ่ตายที่แข็งแกร่งมาไว้ในมือแล้ว มีระฆังมรรคสีเขียวลอยคว้าง มีคทาหยกสมปรารถนาสาดแสงสว่างไสววิจิตรงดงาม และมีกระบี่มรรคแผ่แสงสีเงินใสเย็นเล่มหนึ่ง

ทุกอย่างล้วนประทับกลิ่นอายต้องห้ามน่ากลัว นั่นคือพลังระเบียบพิทักษ์เผ่าของเผ่าเทพต้าฉิน สามารถสร้างภัยคุกคามต่อระดับจอมยุทธ์ด่านสามได้

ตอนนี้นำมาจัดการรูปจำลองเจตจำนงของระดับจอมยุทธ์ด่านสามคนหนึ่งย่อมมากเกินพอ

ความจริงแล้วกวาดสายตามองทั่วแดนเทพต้าฉิน คนที่มีสิทธิ์ทำให้พวกเขาผู้อาวุโสสามคนลงมือพร้อมกันเดิมก็มีน้อยนัก

ถ้าจะพูดให้ถูกคือพวกเขาไม่เคยออกศึกเช่นนี้มานานแล้ว

เหตุผลนั้นง่ายมาก แดนเทพต้าฉินนี้เป็นอาณาเขตของพวกเขาตระกูลฉิน ในใต้หล้านี้พวกเขาก็คือ ‘เทพ’ ในสายตาสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสน!

ใครจะกล้ากินดีหมีหัวใจเสือมาหาเรื่องพวกเขา

ก็มีแค่เผ่าเทพชั้นยอดในโลกยุคสมัยอื่นที่กดข่มพวกเขาได้

แต่อย่างน้อยในแดนเทพต้าฉิน พวกเขาก็คือขุมอำนาจที่ประหนึ่งสรวงสวรรค์!

“อยู่ตรงนั้น!”

ไม่นานจิตรับรู้ของพวกฉินจิงเทียนก็เห็นสะเก็ดดาวรกร้างหนึ่ง ร่างหลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น

พวกเขาไอสังหารพรั่งพรูทันที

แกร๊ง!

ระฆังมรรคสีเขียวในมือฉินจิงเทียนดังก้อง คลื่นเสียงมากมายสะท้อนออกไปเหมือนเปลวไฟลุกโชน แผ่กระจายไปยังจุดที่ห่างไกล

ทุกหนแห่งที่คลื่นเสียงนั้นเคลื่อนผ่าน สะเก็ดดาวมากมายที่กระจายอยู่ในนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านหายไปโดยไร้สุ้มเสียง ห้วงอากาศล้วนถูกหลอม เผยให้เห็นรอยแยกและหลุมดำชวนประหวั่น

เวลานี้หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิยืนขึ้น ก่อนหายไปกลางอากาศกะทันหัน

สะเก็ดดาวที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ดับสลายกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาที่เขาจากไป

กลางอากาศชายเสื้อหลินสวินพลิ้วไหว นัยน์ตาดำลุ่มลึกเยียบเย็น ด้านหลังเขาวงแหวนเทพอมตะหมุนวนเนิบช้า ชักนำให้เกิดคลื่นกฎเกณฑ์อมตะลึกลับยากหยั่งถึง

ตอนนี้ความสามารถของเขาฟื้นคืนสู่ระดับสูงสุดแล้ว ทั้งพัฒนาขึ้นอีกขั้นพร้อมการฟื้นฟูพลัง บรรลุถึงขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์!

แต่สำหรับพวกฉินจิงเทียนที่อยู่ห่างไป กลิ่นอายเช่นนี้ไม่ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามโดยสิ้นเชิง

“มรรควิถีระดับจอมยุทธ์ด่านแรก ดูท่าว่าก่อนหน้านี้พวกเราคงประเมินเขาสูงไป”

ฉินจิงเลวี่ยเอ่ยเรียบๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าอย่างมากหลินสวินก็แข็งแกร่งได้แค่ระดับจอมยุทธ์ด่านสอง แต่เห็นชัดว่าหลินสวินไม่ใช่ เขามีมรรควิถีแค่ระดับจอมยุทธ์ด่านแรกเท่านั้น

“เจ้าหนุ่ม รีบเรียกรูปจำลองเจตจำนงนั่นออกมาเถอะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสแล้ว”

ฉินจิงเทียนเอ่ยปากเย็นชา

ไพ่ตายในมือพวกเขา ไม่ได้นำมาเพื่อต่อกรกับหลินสวิน

“จัดการพวกเจ้าสามคน ข้าลุยเองก็พอ”

หลินสวินพูดพลางพุ่งตัวไปกลางอากาศ กระตุ้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งบุกสังหาร

ตูม!

ห้วงอากาศแถบนี้สั่นสะเทือน แสงมรรคนับหมื่นแสนไหลวน ทำให้อานุภาพหลินสวินชวนตะลึงยิ่ง

แต่ภาพนี้กลับทำให้พวกฉินจิงเทียนผิดคาด ไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ ระดับจอมยุทธ์ด่านแรกคนหนึ่งทำไมถึงกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้

“อย่าฆ่าเขา จับเป็น”

ฉินจิงเทียนพูดพลางตลบแขนเสื้อ ยื่นมือไปคว้าตัวหลินสวิน เรียบง่ายตรงไปตรงมา อานุภาพก็แข็งแกร่งถึงขีดสุด

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยไม่ขยับ แต่ล้วนเตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลา

รอเมื่อหลินสวินยืนหยัดไม่อยู่จนใช้รูปจำลองเจตจำนงนั่นค่อยลงมือ

กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว พวกเขาไม่สนใจหลินสวินโดยสิ้นเชิง ทั้งคร้านจะใช้ไพ่ตายในมือกับหลินสวิน สิ่งที่พวกเขาสนใจมีแค่รูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิง

แต่การดูถูกและประมาทเช่นนี้กลับมอบโอกาสให้หลินสวิน!

เขาไม่คิดเก็บงำไว้เช่นกัน ตัดสินใจรีบสู้รีบจบ

เพราะโอกาสมีแค่ครั้งเดียว!

หากอีกฝ่ายระวังตัว คิดฆ่าให้ตายก็ต้องเปลืองแรงไปบ้าง

หลินสวินไม่อยากเสียเวลา

เขายังไม่แน่ใจว่าในเขตหวงห้ามที่เจ็ดนี้มีศัตรูกี่คนกันแน่

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือรีบสู้สีบจบ!

ฟุ่บ!

พริบตาที่ฉินจิงเทียนลงมือ แสงแห่งกาลเวลาขาวโพลนแถบหนึ่งพลันแผ่กระจาย

อภินิหารหยุดเวลา!

ฟ้าดินพลันหยุดนิ่ง

ขณะเดียวกันคมประกายสายหนึ่งวาดกวาดออกมาจากปลายนิ้วหลินสวิน

กาลเวลาที่นี่ราวกับถูกเฉือนตัด ภาพทุกอย่างล้วนเสื่อมถอยและพังทลาย กฎเกณฑ์กาลเวลาที่กระจายอยู่กลางฟ้าดินยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ปั่นป่วนโดยสมบูรณ์

อภินิหารต้องห้ามขั้นสาม… ดาบกาลเวลา!

เมื่อเงาแสงทั้งหมดจางหายไป

ฉินจิงเทียนที่อยู่ห่างไกลยังมีท่าทางยื่นมือไปคว้า แต่พลังที่ปล่อยออกมากลับเหมือนราชันระดับอมตะเคราะห์ ไม่มีภัยคุกคามแม้แต่น้อย

ฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยล้วนยืนไม่ขยับ เตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ

แต่รูปร่างของพวกเขากับฉินจิงเทียนกลับเปลี่ยนไปด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ เพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์สามคน

ส่วนมรรควิถีของพวกเขาก็ร่วงจากระดับจอมยุทธ์ด่านสองที่ทัดเทียมขั้นดับเทพ ไปเป็นระดับหกประสานที่เท่ากับระดับอมตะเคราะห์!

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในชั่วประกายไฟกระทบหิน

เมื่อเจอเหตุไม่คาดฝันนี้กะทันหันก็ทำให้พวกเขาอึ้งงันอยู่ตรงนั้น สีหน้าถูกความตื่นตระหนกและงุนงงเข้ามาแทนช้าๆ ทั้งตัวสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้

“เป็นไปได้อย่างไร?!”

ฉินจิงเทียนร้องเสียงหลง คลุ้มคลั่งปานพังทลาย

“ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”

ฉินจิงเหวินพึมพำ อกสั่นขวัญหาย

“พลังแห่งกาลเวลา นี่คือ… พลังต้องห้ามในตำนานที่ซ่อนอยู่ในยอดสมบัติชิ้นนั้น…”

มีเพียงฉินจิงเลวี่ยที่ดูใจเย็น แต่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หน้าซีดเซียวราวกับสีดิน

เขาเหมือนรู้ว่าสิ่งที่หลินสวินสำแดงเป็นพลังระดับใด แต่กลับยากจะเชื่อและยากยอมรับ

หากเปลี่ยนเป็นใครก็ตามย้อนกลับไปเป็นเด็กกะทันหัน สูญเสียมรรควิถีแทบทั้งตัว เกรงว่าคงยากจะรับการโจมตีเช่นนี้ได้

เหี้ยมโหดนัก!

พลังปราณยิ่งสูงก็ยิ่งยากแบกรับค่าตอบแทนเช่นนี้!

ตอนนั้นอวี่เฟิงจื่อผู้สืบทอดลัทธิฌานก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้พวกฉินจิงเทียนสามคนก็เช่นกัน

ไม่รู้ว่าหลินสวินก้าวเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายื่นมือตบหน้าเยาว์วัยเหมือนเด็กหนุ่มของฉินจิงเทียนเบาๆ พลางกล่าว

“หากพวกเจ้าลงดาบสังหารทันที ทั้งหมดนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างราบรื่นเช่นนี้… แน่นอนว่าพวกเจ้าคงคิดไม่ถึง ว่าคนที่พวกเจ้าดูถูกอย่างข้าจะครอบครองพลังนี้ได้อย่างไร จนกระทั่ง… พวกเจ้าคิดแก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว”

เพี๊ยะๆๆ!

ฝ่ามือตบลงบนหน้าของฉินจิงเทียนครั้งแล้วครั้งเล่า แทรกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาผ่อนคลาย ทำให้ฉินจิงเทียนรู้สึกได้ถึงความหยามเหยียดที่ไม่เคยมีมาก่อน

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด