Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2792 ติดกับแล้ว

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2792 ติดกับแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2792 ติดกับแล้ว

ตั้งแต่เหยียบย่างมรรคาอมตะ การต่อสู้ของหลินสวินกับผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพมีน้อยจนนับนิ้วได้

ที่สังหารจอมยุทธ์ที่เทียบได้กับขั้นดับเทพสามคนอย่างพวกฉินจิงเทียนในเขตหวงห้ามที่เจ็ดก่อนหน้านี้ ก็ใช้อภินิหารหยุดเวลาและดาบกาลเวลาเอาชนะอีกฝ่ายได้ในคราเดียว

และตอนนี้ เมื่อเขาใช้กายมรรคทั้งห้า ก็ระเบิดจอมยุทธ์ที่เทียบได้กับขั้นดับเทพคนหนึ่ง หากเหตุการณ์นี้ถูกคนลัทธิแรกกำเนิดเห็นเข้าก็ไม่รู้จะคิดเช่นไร

ตูม!

การต่อสู้ยังดำเนินอยู่ ขณะที่สังหารจอมยุทธ์ที่เทียบได้กับขั้นดับเทพผู้นั้น ร่างต้นของหลินสวินก็สังหารคู่ต่อสู้อีกหลายคน

เขาในตอนนี้แข็งกร้าวมากจริงๆ เคลื่อนกวาดอย่างแข็งแกร่งเกินต้านทาน ไร้ศัตรูใดเทียบเทียมได้

ณ ที่นั้นเลือดสดๆ สาดกระเซ็น เสียงร้องแหลมน่าหวาดหวั่นเริ่มดังขึ้น

การต่อสู้เช่นนี้ ในแดนเทพต้าฉินยังเรียกได้ว่าหายาก จอมยุทธ์ที่เทียบได้กับขั้นอายุขัยเทียมฟ้าหลายสิบคน กลับต้านการโจมตีของคนผู้เดียวไม่ได้ หากกระจายออกไปย่อมสะเทือนทั้งใต้หล้า

“พวกเจ้าถอยไปเถอะ”

ทันใดนั้นเสียงเย็นชาเรียบเฉยเสียงหนึ่งก็ดังก้องไปทั้งฟ้า

แทบจะในขณะเดียวกัน อานุภาพน่าครั่นคร้ามไม่อาจบรรยายก็ม้วนตลบมาเหมือนเมฆทะมึนทับเมือง

ร่างหลินสวินพลันหนาวสะท้าน เงยหน้าขึ้นทันควัน

ก็พบว่าหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณไกลลิบมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ผมยาวสีเทาทิ้งตัวลงมาระสะโพก ใบหน้าหล่อเหลาดูเหมือนชายหนุ่ม ดวงตาทั้งสองดุจหุบเหวเปลวเพลิง มีลำแสงชวนพรั่นพรึงไหววูบ

เขาแต่งกายชุดหยกทั้งตัว แม้ยืนอยู่ง่ายๆ แต่อานุภาพบนตัวกลับแผ่ขยายไปทั้งเมือง ปกคลุมทั่วฟ้า!

เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับจอมยุทธ์ด่านสามแห่งเผ่าเทพต้าฉิน ฉินเวิ่นจาง!

สิบกว่าคนที่เหลืออยู่ในสนามรบต่างหนีหายไปในทันที

หลินสวินไม่ได้ไล่ตามไป

คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกที่ไม่สลักสำคัญ

ครั้งนี้จะออกจากแดนเทพต้าฉินได้หรือไม่ ภัยคุกคามใหญ่ยิ่งที่สุดก็คือชายหนุ่มชุดหยกที่อยู่ไกลๆ ผู้นั้นพวกน่ากลัวที่มีมรรควิถีเทียบเท่าขั้นหลุดพ้นผู้หนึ่ง!

คนเช่นนี้ หากอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดยังเรียกได้ว่าเป็นพวกรุ่นอาวุโส เทียบกับผู้อาวุโสในสามหอบางคนได้อย่างสูสี

ถ้าว่ากันด้วยพลังปราณ ยังถือว่าเป็นรุ่นเดียวกับรองหัวหน้าสามหอ!

แต่ขั้นหลุดพ้นก็มีข้อแตกต่าง อย่างน้อยรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิดต่างบรรลุขั้นสัมบูรณ์ของระดับขั้นนี้มานานแล้ว รากฐานหนาแน่นจนน่ากลัว

หลินสวินไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดหยกที่อยู่ไกลๆ ผู้นั้นมีความสำเร็จเทียบกับขั้นหลุดพ้นสูงส่งปานไหนกันแน่ แต่นี่ก็สามารถคุกคามเขาถึงชีวิตได้แล้ว!

ในเมืองเงียบสงัดลงอีกครั้ง ถนนหนทางแตกระแหง ตึกรามบ้านช่องพังถล่ม มีแต่ภาพดุจซากปรักหักพังเต็มไปหมด กลิ่นคาวเลือดยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ

“รู้ดีว่าที่นี่มีไอสังหารซุกซ่อนอยู่ทั่ว กลับยังกล้าบุกเข้ามาตามลำพัง ยอดเยี่ยม เทียบกับตาทวดของเจ้าแล้ว เจ้าสง่างามไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย”

หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ฉินเวิ่นจางเอ่ยปากแช่มช้า ดวงตาทั้งสองประเมินหลินสวิน อานุภาพไร้รูปข่มให้หลินสวินยังรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก

ขั้นหลุดพ้น พลังระดับนี้น่ากลัวเกินไป!

ต่อให้ตอนนี้มีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ ต่อให้เหยียบย่างมรรคายอดอมตะแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ห่างกันสองขั้นใหญ่

ทว่าหลินสวินไม่ได้ถอยหลัง กลับสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วก้าวไปข้างหน้า บนถนนดั่งซากปรักหักพังนั้นทีละก้าว

ฉินเวิ่นจางนิ่วหน้าเอ่ยว่า “ไยต้องรนหาที่ตาย ที่ที่พ่อแม่เจ้าติดอยู่มีจอมยุทธ์ด่านสามแปดคนบัญชาการ ต่อให้เจ้าไป จะไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายหรือ”

หลินสวินเดินไปเบื้องหน้าทีละก้าว ไม่ได้หยุดลง กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้มีคนผู้หนึ่งชื่อว่าฉินเซ่าเหมิง ก็พูดพล่ามไร้สาระเหมือนกับเจ้า ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่รู้ชัดถึงไพ่ตายของข้า จึงไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า”

เขาหยุดไปแล้วแสยะยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าพูดให้น่าฟังหน่อยคือรอบคอบ พูดให้ระคายหูก็คือขี้ขลาด”

ขี้ขลาด!

ฉินเวิ่นจางสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา

เขาชี้นิ้วออกไป

ตูม!

พลังดัชนีสายหนึ่งเท่านั้น กลับบดขยี้เวิ้งฟ้า ทลายห้วงอากาศ

หลินสวินไม่ได้หลบหนี ภายใต้การโจมตีนี้เขาไม่มีโอกาสหลบอยู่แล้ว พลังดัชนีนั้นปกคลุมทั่วทิศ จะหนีก็หนีไม่พ้น จะหลบก็หลบไม่ได้

ครั้นจะไปสู้ซึ่งหน้า ก็ย่อมเป็นดั่งมดเขย่าต้นไม้ ตั๊กแตนขวางรถ จะถูกบดขยี้ให้วอดวายได้ง่ายๆ!

นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างขั้นอายุขัยเทียมฟ้ากับขั้นหลุดพ้น ประหนึ่งมีปราการสวรรค์ขวางกั้น ไม่อาจใช้วิธีใดทดแทนได้

แต่หลินสวินไม่ได้ถอย

เบื้องหน้าเขารูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิงปรากฏขึ้น แกว่งหมัดซัดออกมา

ตูม!

เมืองเทพเมฆาโรยที่กว้างใหญ่ยังสั่นสะเทือนรุนแรงไปด้วย คล้ายจะถูกซัดให้จมลง

ในฝุ่นควันที่ลอยกระจาย ฉินเวิ่นจางเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนเจ้าจะหนีไปเขตหวงห้ามที่เจ็ดครั้งที่แล้ว สิ่งที่เจ้าใช้เอาชีวิตรอดก็คือไพ่ตายนี้กระมัง”

เขาไม่ประหลาดใจสักนิด

ขณะพูดนิ้วโป้งกับนิ้วชี้จีบเข้าหากันเบาๆ ปราณกระบี่สายหนึ่งฟันออกไป

ฟุ่บ!

ฟ้าดินคล้ายถูกตัดออก ยามเจตกระบี่น่าหวาดหวั่นนั้นฟันลงมา ก็มีเสียงดุจเหล่าเทพสรรเสริญดังก้อง

“บุกเข้าไป”

เสวียนเฟยหลิงสะบัดแขนเสื้อแล้วชกหมัดออกไปอีกครา

หมัดกับกระบี่เข้าปะทะ เจตกระบี่น่าหวาดหวั่นนั้นทลายลงทุกกระเบียดกลางห้วงอากาศ นี่ทำให้ฉินเวิ่นจางนัยน์ตาหดรัด

ในฐานะระดับจอมยุทธ์ด่านสาม ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเปี่ยมด้วยอานุภาพที่สามารถหลุดพ้นจากกฎระเบียบมหามรรค ทำลายสรรพสิ่งในจักรวาลได้

ภายใต้อานุภาพเช่นนี้ ต่อให้ทำเพียงดีดนิ้วยังสามารถบดขยี้พวกที่อยู่ต่ำกว่าระดับจอมยุทธ์ด่านสามได้อย่างง่ายดาย

ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ฉินเวิ่นจางไม่ได้ลงมือ ก็เพราะรู้ว่าหลินสวินยังมีไพ่ตายอยู่ในมืออีก

แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าพลังของรูปจำลองเจตจำนงกลับถึงขั้นต้านการโจมตีของตนได้สองครั้ง!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของรูปจำลองเจตจำนงนี้ย่อมมีปราณระดับจอมยุทธ์ด่านสาม แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ

แต่ยังดีที่เป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น

ไอสังหารในดวงตาฉินเวิ่นจางฉายวาบ

ชิ้ง!

กระบี่บินงามตระการเล่มหนึ่งโฉบพุ่ง ความแกร่งกล้าของกลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้ฟ้าดินยังหม่นหมอง สรรพสิ่งหมื่นชีวิตถึงขั้นมีสัญญาณโรยราดับสลาย

นี่เป็นพลังที่ไม่อาจคาดคิดได้ เหนือกว่าความรู้ตวามเข้าใจของหลินสวิน!

“ไป!”

ฉินเวิ่นจางสะบัดแขนเสื้อ กระบี่บินพลันหายลับไปกลางอากาศ

ขณะเดียวกันเงาร่างของเสวียนเฟยหลิงก็พุ่งไปทันใด

ด้านหลินสวินใช้อภินิหารหยุดเวลาในเวลานี้

วู้ม

ชั่วพริบตานั้นกระบี่บินงามตระการเล่มนั้นก็หยุดนิ่งอยู่ที่หว่างคิ้วของหลินสวิน อีกเพียงสามชุ่นก็จะฟันเขาออกเป็นสองท่อนได้ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งยังน่าสะพรึงเป็นที่สุด

แต่ก็ในชั่วพริบตานี้เอง…

เวลาเดียวกับที่เงาร่างหลินสวินพุ่งถอยไปรอยแยกห้วงอากาศขนาดมหึมารอยหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า แผ่กลิ่นอายน่าหวาดผวา คล้ายหลุมดำที่อยู่ในส่วนลึกของฟ้าดารา

ประตูเนรเทศ!

การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องล้วนเกิดขึ้นในพริบตาเดียว

ยามฉินเวิ่นจางตอบสนอง ก็พบว่าขณะที่ ‘กระบี่บินเจินหลง’ ที่เขาหล่อเลี้ยงมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุดฟันลงไป คล้ายสูญเสียอานุภาพทั้งหมด หายลับไปในประตูรอยแยกพิสดารนั้นอย่างเงียบเชียบ

เหมือนกับส่งถึงประตู…

ฉินเวิ่นจางเพียงรู้สึกว่าจิตวิญญาณเจ็บแปลบ การเชื่อมต่อกับกระบี่บินเจินหลงตัดขาดลงโดยสิ้นเชิง หน้าเปลี่ยนสีทันใด โกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด

สมควรตาย!!!

ภาพที่ผิดปกตินี้เล่นงานเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ถึงขั้นงุนงงอยู่บ้าง ด้วยประสบการณ์ฝึกปราณมานับปีไม่ถ้วนของเขายังไม่อาจเข้าใจได้ว่านี่เป็นพลังเช่นไร

เสวียนเฟยหลิงไม่ให้โอกาสฉินเวิ่นจางได้ตั้งสติ ฉวยโอกาสเพียงชั่วพริบตาเข้าโจมตี

ปราณกระบี่สุดหยั่งสายหนึ่งฟันลงมาจากฝ่ามือเสวียนเฟยหลิง

เมื่อการโจมตีนี้ฟันลงมา รูปจำลองเจตจำนงของเขาถึงขั้นจางลงไปมาก เห็นชัดว่าอานุภาพที่มีอยู่ในกระบี่นี้แข็งแกร่งยิ่ง พลังที่ใช้ไปก็มหาศาล

แต่ถึงอย่างไรฉินเวิ่นจางก็เป็นจอมยุทธ์ที่เทียบได้กลับขั้นหลุดพ้นผู้หนึ่ง ในช่วงเวลาสำคัญนี้พลันหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง พลังขับเคลื่อนทั้งร่างพุ่งทะยานขึ้นช่วงใหญ่ในฉับพลัน

“รวม!”

เบื้องหน้าเขาควบรวมเป็นโล่แสงสีทองที่กลมเกลี้ยงเปล่งประกายอันหนึ่ง สาดแสงเจิดจ้า

ตูม!

กระบี่และโล่เข้าปะทะ สาดกระแสแสงมรรคอันน่าครั่นคร้ามออกมา ฟ้าดินยังสั่นไหวรุนแรง เมืองใหญ่ทั้งเมืองเกิดรอยแยกเหมือนใยแมงมุมนับไม่ถ้วน

ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่ตั้งอยู่ที่นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่ออกไปสู่โลกภายนอกเพียงแห่งเดียว ในเมืองจึงถูกวางกระบวนผนึกโบราณไว้มากมาย เกรงคงถูกซัดจนทลายลงไปนานแล้ว

ปึง!

เงาร่างของฉินเวิ่นจางกระเด็นถอยหลังออกไป ปากมีเลือดหลั่งริน

ต่อให้ได้สติกลับมาทันที แต่อย่างไรก็เป็นฝ่ายที่ถูกเล่นงาน ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บในการโจมตีนี้

และเพราะไม่อาจสังหารฉินเวิ่นจางได้ในกระบี่เดียว เสวียนเฟยหลิงที่อยู่ไกลออกไม่อาจเสียดายได้ ก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณพร้อมกับหลินสวินที่คว้าโอกาสนี้มา

“พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก จานกระบวนที่เปิดกระบวนนี้อยู่ในมือข้า”

ไกลออกไปฉินเวิ่นจางเอ่ยปากอย่างเย็นชา จานกระบวนขาวเปล่งปลั่งคล้ายกระดองเต่าชิ้นหนึ่งลอยออกมาจากมือ “อยากได้ก็มาเอาไป!”

ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ หลินสวินประเมินรอบทิศแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส อย่างมากหนึ่งเค่อข้าจะเปิดใช้กระบวนนี้ได้”

“หนึ่งเค่อหรือ ได้”

เสวียนเฟยหลิงขยับตัวในทันที แขนเสื้อพัดกระพือ “ถึงอย่างไรก็เป็นรูปจำลองเจตจำนง ก่อนสลายไปข้าจะช่วยเจ้าซื้อเวลา”

เงาร่างของเขาเปลี่ยนเป็นจางลงไปมาก แต่อานุภาพยังคงอหังการและโอหังเช่นเดิม

‘ผู้อาวุโส หรือไม่ก็ฆ่าเจ้าเฒ่านี่ด้วยกัน!’

หลินสวินสื่อจิตเอ่ย แววดุร้ายฉายวาบในแววตา

‘ตอนนี้ดาบกาลเวลาของเจ้าทำอะไรขั้นหลุดพ้นไม่ได้ อย่าพูดเหลวไหล รีบเคลื่อนไหว!’

เสวียนเฟยหลิงเพิ่งสื่อจิตจบ

ฟุ่บ!

ฉินเวิ่นจางที่อยู่ไกลออกไปก็โจมตีมาแล้ว เห็นชัดว่าเขาไม่คิดจะให้โอกาสหลินสวินแต่อย่างใด

“หึ ข้าแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนง แต่ถ้าอยากจะขวางเจ้าไว้หนึ่งเค่อก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก!”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะหยัน เสวียนเฟยหลิงก้าวไปข้างหน้า ชกหนึ่งหมัดออกไปทันที

ตูม!

เงาร่างฉินเวิ่นจางชะงัก อานุภาพที่เขาปลดปล่อยออกมาถูกพลังหมัดอันน่าครั่นคร้ามกวาดทำลาย ทั้งตัวถูกซัดถอยโซซัดโซเซออกไป

“ถ้าร่างต้นของเจ้าอยู่ เกรงว่าข้าคงหนีเอาชีวิตรอดไปนานแล้ว แต่อาศัยพลังรูปจำลองเจตจำนงของเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าจะยันไว้ได้ไม่ถึงเค่ออยู่แล้ว!”

ขณะพูดฉินเวิ่นจางก็บุกมาอีกครั้ง กลิ่นอายน่าสะพรึงทะลวงไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

ปึง! ปึง! ปึง!

เขาถูกซัดถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ละครั้งดูคล้ายยับเยิน ทว่าความจริงไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าไร

กลับกันรูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิงค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ ตามพลังที่ใช้ไป ไม่ได้ควบรวมแน่นเหมือนก่อนหน้านี้ เริ่มเป็นภาพมายาพร่าเลือนขึ้นมา

“ฮ่าๆๆ นี่ยังไม่ถึงครึ่งเค่อก็จะทนไม่ไหวแล้วหรือ”

ฉินเวิ่นจางแหงนหน้าหัวเราะร่า

เขาดูออกแล้วว่ารูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิงกำลังจะสลายไป!

แต่เสวียนเฟยหลิงกลับเผยสีหน้าเวทนาคล้ายมองดูคนโง่เขลา ถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “บอกว่าหนึ่งเค่อ เจ้ายังเชื่อจริงๆ หรือ”

ฉินเวิ่นจางอึ้งไป

ก็เป็นตอนนี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณนั้นพลันเปล่งแสง!

“แย่แล้ว!”

ฉินเวิ่นจางสีหน้าไม่น่าดูหาใดเทียบทันใด ตระหนักได้ว่าตนติดกับแล้ว เขาไม่ลังเลแต่อย่างใด กระโจนไปข้างหน้าทันที

“หลีกไป!”

เขาแกว่งหมัดโจมตี

“มาได้จังหวะ!”

บัดนี้รูปจำลองเจตจำนงของเสวียนเฟยหลิงพลันระเบิดออกเหมือนเพลิงผลาญ

ตูม!

หากมองจากไกลๆ ในเมืองเทพเมฆาโรยราวกับมีดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งระเบิดออก กระแสทำลายล้างอันบ้าคลั่งไร้สิ้นสุดพลันพุ่งออกมา น้ำทะเลที่อยู่ใกล้ๆ ระเหยไปสิ้นในชั่วพริบตา ส่วนเวิ้งฟ้าก็เหมือนมีไฟลุกโชนขนาดใหญ่แผ่ขยายออกไปสามพันลี้ ล้วนสาดแสงจ้าบาดตาทั้งสิ้น

ภาพเช่นนั้นน่าตกตะลึงยิ่งยวด!

ในเมือง มองเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณว่างเปล่าไร้คน ฉินเวิ่นจางที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั้งร่างไหม้ดำ เสื้อผ้าขาดวิ่น ยับเยินถึงขีดสุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป คำรามออกมาอย่างกราดเกรี้ยวหาใดเทียบ

“อ๊ากกก!!!”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด