Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2905 ผู้มาเยือนจากเผ่าเทพ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2905 ผู้มาเยือนจากเผ่าเทพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2905 ผู้มาเยือนจากเผ่าเทพ

ตู๋กูโยวหรันยกจอกเหล้าลุกขึ้น ริมฝีปากเผยรอยยิ้ม ดวงตาคู่งามมองหยวนชิงเหิงพร้อมพูดว่า “พี่ชิงเหิงเกรงใจเกินไปแล้ว”

กล่าวพลางดื่มหมดในคราเดียว

หยวนชิงเหิงเองก็ดื่มเหล้าในจอกจนหมด ถามด้วยท่าทางราวกับไม่ใส่ใจ “น้องสาวกับรองหัวหน้าหอสนิทสนมกันขนาดนี้ หรือว่าต้องใจกันจะผูกสัมพันธ์คู่บำเพ็ญ”

ตู๋กูโยวหรันชะงักไป จากนั้นยิ้มพูด “ไม่ถึงกับต้องใจกัน แต่ก็นับว่าเป็นสหายสนิทที่คุยกันรู้เรื่อง ภายหน้าจะมีวาสนาอยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ต้องดูชะตาฟ้าลิขิตแล้ว”

หยวนชิงเหิงเผยสีหน้าขออภัยทันที เอ่ยว่า “ที่แท้น้องสาวยังไม่ได้ครองคู่กับรองหัวหน้าหอหลิน ข้าคิดมากไปเอง น้องสาวโปรดอย่าถือสา”

ตู๋กูโยวหรันยิ้มตาหยีพูด “เรื่องเล็กแค่นี้ข้าไม่ใส่ใจหรอก เชื่อว่าหลินสวินเองก็คงไม่ใส่ใจ”

ดวงตาของหยวนชิงเหิงเกิดการเปลี่ยนแปลงละเอียดอ่อน กลับไปที่นั่งของตนเอง

ทั้งสองเหมือนพูดคุยกันอย่างสบายๆ

ทว่าภายใต้การลอบสังเกตของหลินสวิน กลับสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าบรรยากาศระหว่างผู้หญิงทั้งสองคนผิดปกติ เหมือนกำลังลอบประชันกันอย่างไรอย่างนั้น เขาอดปวดหัวไม่ได้

อย่างเช่นประเด็นสำคัญที่หยวนชิงเหิงพูด อยู่ที่ว่าตู๋กูโยวหรันกับตนไม่ได้อยู่ด้วยกัน

เช่นนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ก็จะรู้ว่าระหว่างตู๋กูโยวหรันกับเขาไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมอะไรกัน

แต่ตู๋กูโยวหรันเองก็ไม่ได้โง่ โต้ตอบโดยการเรียกชื่อเขาโดยตรง พลันทำให้แววตาของหยวนชิงเหิงเกิดการเปลี่ยนแปลงละเอียดอ่อนทันที

ถึงอย่างไรทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนเรียกเขาว่า ‘รองหัวหน้าหอหลิน’

แต่ตู๋กูโยวหรันกลับเรียกชื่อโดยตรง หากไม่ใช่คนที่สนิทกัน ใครจะกล้าเรียกเช่นนี้

ภายนอกคุยกันอย่างสนุกสนาม แต่ลอบทิ่มแทงอยู่ภายใน ผู้ชายคนไหนสัมผัสถึงความเร้นลับภายในเกรงว่าคงล้วนหวาดหวั่น

หลินสวินก้มหน้าก้มตาดื่มสุรา ถือซะว่าตนไม่ได้สังเกตเห็นทั้งหมดนี้

บางคราวการแกล้งเลอะเลือนก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง

หลังจากตู๋กูโยวหรันนั่งลง มองหลินสวินที่ก้มหน้าก้มตาดื่มแวบหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก

เพียงแต่ในใจกลับเกิดความเศร้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ไม่ไกลนักหยวนชิงเหิงเองก็ก้มหน้าดื่มกับตัวเอง เยาะเย้ยตนเองในใจ ‘นี่ตนเป็นอะไร ไปถือสาตู๋กูโยวหรันนั่นโดยไม่มีเหตุผลทำไม’

สายตาของนางไหลเคลื่อน เหลือบมองหลินสวินที่นั่งเคียงข้างตู๋กูโยวหรันปราดหนึ่งแล้วเก็บสายตากลับมา

บุคคลระดับตำนานที่โดดเด่นอย่างมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าต้องดึงดูดความสนใจของผู้หญิง

บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้

หลินสวินในตอนนี้คือตำนานคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

……

พลบค่ำวันนั้น

หลังจากกายมรรคไม้เขียวของหลินสวินกลับมาก็ไม่ได้ล่าช้าอีก พาหยวนชิวอู้ที่จัดแจงคนทั้งตระกูลเรียบร้อยแล้วไปจากเขตแดนดาราเร้นฟ้า

หนึ่งวันหลังจากนั้น

หลินสวินพาคนตระกูลตู๋กูและคนตระกูลหยวนมาถึงแดนแรกเริ่ม ระหว่างทางไม่ได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นอีก

จากนั้นรองหัวหน้าหอทั้งสองอย่างตู๋กูยงและหยวนอู่เทียนออกหน้าด้วยตัวเอง จัดที่ทางให้คนตระกูลตน

ส่วนหลินสวินกลับถ้ำสถิตของตนโดยตรง

ไม่กี่วันหลังจากนั้น รองหัวหน้าหอทั้งสี่อย่างฟางเต้าผิง อวี๋สิ่ง ถงเจาอวิ๋น จางเชียนซี และผู้อาวุโส ผู้ดูแลในสำนักต่างทยอยกลับมา

ยามย้อนกลับมาล้วนพาขุมอำนาจตระกูลส่วนหนึ่งกลับมาด้วย

แดนแรกเริ่มยิ่งใหญ่มาก กว้างใหญ่ไพศาล สามารถรองรับการอยู่อาศัยของตระกูลเหล่านี้ได้อย่างเหลือเฟือ

เจ็ดวันหลังจากนั้น

หลินสวินได้รับข่าวว่าขุมอำนาจตระกูลเบื้องหลังคนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้น ล้วนย้ายมาแดนแรกเริ่มทั้งหมดแล้ว จากนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าสิบยักษ์ใหญ่อมตะจะข่มขู่ด้วยเรื่องนี้อีก

นี่ย่อมเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง

และในน่านฟ้าที่เจ็ด เมื่อขุมอำนาจชั้นยอดที่สุดอย่างตระกูลตู๋กู ตระกูลหยวนโยกย้ายถิ่นฐาน ไม่นานก็กลายเป็นที่จับตามองของทั่วหล้า

จากนั้นข่าวที่สี่ตระกูลตงหวงล่มสลายก็กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ทั่วหล้าแตกตื่น เกิดคลื่นลมไม่รู้เท่าไร

ว่ากันว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายต่างถูไม้ถูมือ เริ่มลองไปยึดครองถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่เดิมทีตระกูลตู๋กูและตระกูลหยวนตั้งอยู่ สถานการณ์ทั่วหล้าก็เกิดการสั่นคลอนไปด้วย

สิ่งที่ควรแก่การพูดถึงคือการชำระล้างที่เกิดขึ้นในลัทธิแรกกำเนิดไม่เคยรั่วไหล ไม่เช่นนั้นทั่วหล้าคงวุ่นวายอลม่านไม่เหลือสภาพ

แต่ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือคนใหญ่คนโตคนอื่นๆ ของลัทธิแรกกำเนิด ต่างรู้ดีว่าข่าวนี้ไม่อาจปิดบังได้นาน…

“รองหัวหน้าหอหลิน พรุ่งนี้ถึงคราวท่านไปแสดงมรรคที่เก้ายอดเขาแล้ว”

วันนี้ยามหลินสวินกำลังทำสมาธิ ผู้สืบทอดคนหนึ่งมารายงาน

“ข้ารู้แล้ว”

หลินสวินลืมตาขึ้นแล้วตอบรับลวกๆ

ทุกเดือนจะมีการแสดงมรรคเก้ายอดเขาหนึ่งครั้ง ถึงตอนนั้นรองหัวหน้าหอจะพลัดกันไปแสดงมรรคที่เก้ายอดเขา

เช้าวันถัดมาหลินสวินออกจากถ้ำสถิต

การแสดงมรรคเก้ายอดเขาครั้งนี้จัดขึ้นที่ยอดเขาที่สาม ยามหลินสวินไปถึง บนลานมรรคขนาดใหญ่ของยอดเขามีเงาร่างมากมายนั่งอยู่ก่อนแล้ว

เป็นผู้สืบทอดเก้ายอดเขาแทบจะทั้งหมด มีนับพันคน

และบริเวณนอกลานมรรคก็มีเงาร่างยืนอยู่อย่างหนาแน่น มีผู้อาวุโสยอดเขาต่างๆ มีศิษย์และผู้ดูแลในสามหอ

เมื่อเห็นเงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้น ในลานพลันเกิดความฮือฮาระลอกหนึ่ง

“คารวะรองหัวหน้าหอหลิน”

“คารวะผู้อาวุโสหลิน”

ทันใดนั้นเสียงทักทายเช่นนี้ดังขึ้นเป็นคลื่นไม่ขาดสาย สีหน้าของผู้สืบทอดเก้ายอดเขาเหล่านั้นล้วนแฝงความตื่นเต้นและเคารพ

แม้แต่คนใหญ่คนโตอย่างผู้นำยอดเขา ผู้ดูแล ผู้อาวุโสยังมาต้อนรับโดยพร้อมเพรียง

ในลัทธิแรกกำเนิดตอนนี้ หลินสวินเป็นยักษ์ใหญ่ระดับตำนานอย่างไร้ข้อกังขา ผลงานการต่อสู้และชื่อเสียงของเขาฝังลึกในใจผู้คนนานแล้ว

“เหตุใดคนเยอะขนาดนี้”

หลินสวินอดถามไม่ได้

ฉวี่จิ้งฉือผู้นำยอดเขาที่สามตอบพร้อมรอยยิ้ม “พวกเขารู้ว่าครั้งนี้รองหัวหน้าหอหลินจะมาแสดงมรรคเก้ายอดเขา จึงล้วนมารออยู่นานแล้ว”

“พวกนั้นเล่า”

สายตาของหลินสวินมองไปไกลๆ มีใบหน้าคุ้นเคยมากมาย อย่างเช่นผู้แข็งแกร่งตระกูลตู๋กู ตระกูลหยวน

และมีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ที่ไม่เคยเห็นมากมายเช่นกัน

ฉวี่จิ้งฉืออธิบาย “ผู้แข็งแกร่งของแต่ละตระกูลเองก็ได้ยินข่าวนี้ จึงขอมาฟังรองหัวหน้าหอหลินแสดงมรรคเป็นพิเศษ แต่จำนวนจำกัด ทุกตระกูลอย่างมากก็ส่งมาได้เพียงแค่สิบคน นี่คือกฎที่รองหัวหน้าหอฟางกำหนดไว้”

หลินสวินถึงได้เข้าใจในยามนี้

เขาเดินตรงเข้ามานั่งบนเบาะรองนั่งกลางลานมรรค

พริบตานี้บรรยากาศทั่วลานพลันเคร่งขรึม เปลี่ยนเป็นเงียบสงบขึ้นมา ทุกสายตาล้วนรวมอยู่ที่หลินสวินโดยพร้อมเพรียง

หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง เสียงทรงพลังกึกก้องทั่วลาน

“ข้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้สามร้อยปีกว่า ต่อสู้มาทั้งชีวิต มหามรรคที่บำเพ็ญล้วนเคี่ยวกรำและหยั่งรู้ด้วยตัวเอง วันนี้ก๋ขอใช้โอกาสการแสดงมรรคครั้งนี้แลกเปลี่ยนข้อคิดกับทุกท่านสักหน่อย ไม่ถึงกับถ่ายทอดวิชา แต่หวังว่าจะสามารถคลี่คลายข้อสงสัยให้กับทุกท่านได้”

คำพูดนี้ดังขึ้นในที่นั้นอย่างชัดเจน ทันใดนั้นทุกคนต่างอึ้งงัน แต่ละคนเผยสีหน้ายากจะเชื่อ

จนถึงตอนนี้พวกเขาถึงรู้ว่าหลินสวินฝึกปราณมาเพียงแค่สามร้อยกว่าปีเท่านั้น!

อายุเช่นนี้ อ่อนเยาว์เกินไปแล้ว!

ในบรรดาศิษย์เก้ายอดเขาในที่นี้ คนที่อายุมากกว่าเขามีถมไป

แต่หลินสวินในตอนนี้เป็นขั้นหลุดพ้น เป็นรองหัวหน้าหอคนหนึ่งของลัทธิแรกกำเนิด!

เทียบกับเขาแล้ว ต่อให้เป็นเป็นปีศาจที่โดดเด่นแค่ไหนเกรงว่าก็ต้องก้มหน้าอย่างละอาย

หลินสวินคิดไม่ถึงว่าคำพูดง่ายๆ ประโยคเดียวของตน ก็ทำให้ในที่นั้นเกิดความสั่นไหวขนาดนี้แล้ว

เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ใคร่ครวญครู่หนึ่งแลวเริ่มอธิบายนัยเร้นลับมหามรรคบางส่วน

ชั่วขณะหนึ่งเสียงของหลินสวินก้องสะท้อนกลางฟ้าดิน ทุกคำดุจสัทครรลองมหามรรค กึกก้องทรงพลัง

ไม่ทันไรจิตใจของทุกคนในที่นั้นต่างจมดิ่งอยู่กับการรับฟัง

สิ่งที่หลินสวินอธิบาย คือนัยเร้นลับบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกปราณ ด้วยระดับของเขาในตอนนี้ ยามอธิบาย คำพูดออกจากปาก วิชาตามออกมา มหามรรคปรากฏ

คำพูดที่เหมือนธรรมดา แต่เมื่อเข้าหูของผู้ฝึกปราณที่ระดับพลังแตกต่างกันแล้ว กลับเกิดแก่นอัศจรรย์ที่แตกต่างกันไป

พร้อมๆ กับเวลาที่ล่วงเลยไป มีคนเผยสีหน้าราวกับเมามาย มีคนขมวดคิ้วขื่นขม มีคนเกาหัวอย่างงุนงง มีคนยินดีปรีดา มีคนเผยรอยยิ้ม มีคน…

เวลาผ่านไปเงียบๆ โดยไม่ทันรู้ตัว สองสามหลายชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลินสวินได้พูดสิ่งที่ตนจะพูดทั้งหมดแล้ว

ในที่นั้นเงียบสงบ ทุกคนยังคงดื่มด่ำอยู่ในการหยั่งรู้ที่แตกต่างกัน

หลินสวินลุกขึ้นเคลื่อนตัวออกไปไกลๆ

เขาจะจากไปแล้ว

“รองหัวหน้าหอหลิน ขอบคุณมาก”

ตอนที่หลินสวินเดินผ่านศิษย์คนหนึ่ง อีกฝ่ายก็พลันลุกขึ้นคารวะ

หลินสวินจำได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคือกู่อวี๋เจียน

หลังหลินสวินเพิ่งเข้าลัทธิแรกกำเนิดได้ไม่นาน เคยได้รับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการล่า ‘จิตชั่วร้าย’

และก็เป็นตอนนั้นที่เขาได้เจอกับกู่อวี๋เจียนซึ่งถูกหนานป๋อหงผู้นำยอดเขาที่สามให้ร้าย และขังในแดนบาป

ไม่นานมานี้หลังการชำระล้างในลัทธิแรกกำเนิดสิ้นสุดลง หลินสวินก็ได้ส่งเถาเหลิ่งไปแดนบาป ช่วยกู่อวี๋เจียนกลับมา

ตอนนี้กู่อวี๋เจียนยังคงฝึกปราณในยอดเขาที่สาม เพียงแต่ผู้นำยอดเขาเปลี่ยนเป็นฉวี่จิ้งฉือแล้ว

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”

หลินสวินตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “ลัทธิแรกกำเนิดตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลังจากนี้ตั้งใจฝึกปราณอยู่ที่นี่ก็พอ”

กู่อวี๋เจียนพยักหน้า

หลินสวินไม่ได้เสียเวลา พลันทะยานตัวจากไป

……

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

“หลินสวิน ไปกับข้าหน่อย”

วันนี้เสวียนเฟยหลิงมาหาหลินสวินด้วยตัวเอง

หลินสวินตอบสนองทันที เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส หรือคนของตระกูลเหวินและตระกูลชางมาแล้ว”

“ใช่”

เสวียนเฟยหลิงกล่าว “พวกเขารออยู่ที่ทะเลหมื่นดารานอกแดนแรกเริ่มของพวกเรา”

กล่าวพลางเขาพลันทะยานตัวไปข้างหน้า

หลินสวินตามไปติดๆ

ทะเลหมื่นดารา

บนผิวทะเลสีครามกว้างใหญ่มีเงาร่างสองร่างยืนอยู่กลางอากาศ

คนหนึ่งเป็นเฒ่าชราผมขาว สวมชุดดำมีสง่าราศี เท้าเหยียบบนม้วนภาพภูผาธารา

อีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่สะพายกระบี่ยาว รูปลักษณ์หยาบกระด้าง เผ้าผมหนวดเครายุ่งเหยิง ร่างกายดุจเทือกเขาดึกดำบรรพ์ ให้ความรู้สึกไม่อาจสั่นคลอนแก่ผู้คน

ยามเห็นเสวียนเฟยหลิงและหลินสวินปรากฏตัว

สายตาของเฒ่าชราชุดดำและชายกลางคนแบกดาบต่างมองไป

ชั่วขณะหนึ่งเหมือนฟ้าดินสงัดเงียบ กลิ่นอายกดข่มอันน่ากลัวแผ่ออกมา

เสวียนเฟยหลิงกลับเหมือนไม่รู้สึก แนะนำพร้อมรอยยิ้ม “ท่านนี้คือสหายยุทธ์เหวินปาจี๋แห่งเผ่าเทพตระกูลเหวิน ท่านนี้คือสหายยุทธ์ชางเจิ้นคุนแห่งตระกูลชาง ล้วนเป็นขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ ห่างจากแจ้งมรรคนิรันดร์เพียงก้าวเดียว”艾琳小說

“หลินสวิน คารวะสหายยุทธ์ทั้งสอง” หลินสวินพยักหน้าเล็กน้อย

แม้เขายังหนุ่ม แต่ตอนนี้เป็นรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิดแล้ว ยามเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับนี้ ย่อมไม่นับว่าตนเป็นคนรุ่นหลังอีกต่อไป

แววตาของเฒ่าชราชุดดำเหวินปาจี๋ลุ่มลึก จ้องหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลยอดเยี่ยมมากดังคาด ข้าได้ยินว่าตอนนี้พลังต่อสู้ของเจ้าสามารถกำราบขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ได้แล้ว หากเป็นเช่นนี้จริง เกรงว่าบุตรเทพชั้นยอดที่สุดในน่านฟ้าที่เก้าคงเทียบเจ้าไม่ได้”

“สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว” หลินสวินท่าทางสงบนิ่ง

กลับเห็นชายกลางคนเอ่ยปากอย่างเย็นเยียบ “ข้าไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีมรรคายอดอมตะจริงๆ ไม่สู้เจ้ามาแลกเปลี่ยนกับข้าสักหน่อยเป็นอย่างไร”

แววตาคุกคาม บีบคั้นผู้คน!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด