Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2978 เพียงสะบัดแขนเสื้อ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2978 เพียงสะบัดแขนเสื้อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2978 เพียงสะบัดแขนเสื้อ

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มชุดเขียวโอหังเหนือเหล่าผู้กล้า หยิ่งผยองผงาดง้ำ เสวียนจิ่วอิ้นอดแปลกใจไม่ได้ “เจ้าหมอนี่เป็นใคร ดูจองหองยิ่งนัก”

หลินสวินยิ้มออกมา “พี่น้องของข้า จินตู๋อี ข้าเรียกเขาว่าเจ้าคางคก ทายาทเผ่าคางคกทองสามขา จำศีลอยู่ในทะเลกลืนวิญญาณนี้มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ครั้งแรกที่ข้ามาทะเลกลืนวิญญาณนี้ตอนเด็กได้ต่อยตีกับเขาจนรู้จัก ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เริ่มท่องใต้หล้าพร้อมข้า”

นัยน์ตาเขาฉายแววหวนความหลัง ปีนั้นเขาก็เพิ่งรู้จักจ้าวจิ่งเซวียน ติดตามนางกับเพื่อนร่วมสำนักของนางมาสำรวจแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ทะเลกลืนวิญญาณนี้

ตอนนั้นทุกคนกำลังรุ่งโรจน์ โดดเด่นเป็นสง่า

ชั่วพริบตาก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว

“มิน่าล่ะ”

เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มขึ้นมา พี่น้องที่หลินสวินคบหาจะธรรมดาได้อย่างไร

“จินตู๋อี ดูเหมือนว่าพวกเจ้าสำนักยุทธ์ก่อเกิดก็นั่งไม่ติดแล้ว มิฉะนั้นทำไมเจ้าต้องกระโดดออกมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้”

ชายผมดำชุดแดงนั่นกล่าวเย็นชา

พวกเขาระดับอมตะของเจ็ดขุมอำนาจใหญ่รวมตัวกัน มีกันถึงสิบกว่าคน ยามนี้ยืนอยู่กลางอากาศ ปิดล้อมรอบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หมื่นจั้ง พลังขับเคลื่อนบนตัวมุ่งเป้าไปที่จินตู๋อี

จินตู๋อีกล่าวเย็นชา “น่าขัน ข้าว่าพวกเจ้าต่างหากที่นั่งไม่ติด ถึงได้ตัดสินใจร่วมมือกันทุ่มสุดตัวในวันนี้กระมัง”

ชายผมดำชุดแดงแค่นเสียงเย็นชา “สุดท้ายเรื่องราวก็ต้องสะสาง”

จินตู๋อีพลันยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงมีข้อเสนอ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเราสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จำเป็น มิสู้มาพนันกันเป็นอย่างไร”

“พนันอะไร”

ชายผมดำชุดแดงเลิกคิ้วกล่าว

จินตู๋อีพูดโดยไม่ต้องคิด “พวกเจ้าเจ็ดขุมอำนาจใหญ่เลือกคนมาสามคน สำนักยุทธ์ก่อเกิดของข้าเลือกคนมาสามคน ทำการต่อสู้กันสามรอบ หากสำนักยุทธ์ก่อเกิดของข้าชนะ พวกเจ้าต้องจากที่นี่ไปทันที หากสำนักยุทธ์ก่อเกิดของข้าแพ้ ย่อมไม่ขวางภารกิจสำรวจแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าอีก”

พวกชายผมดำชุดแดงลังเลอยู่บ้างทันที

พวกเขาย่อมรู้ชัดเป็นธรรมดาว่าการไปโจมตีแดนลับดวงกมลเต็มกำลัง บางทีสุดท้ายอาจได้ชัยชนะ แต่ต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างไม่อาจประเมิน

“ดูท่าว่าสำนักยุทธ์ก่อเกิดคงรู้สึกถึงภัยคุกคามเช่นกัน ใกล้จะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว มิฉะนั้นทำไมต้องใช้แผนประนีประนอมเช่นนี้”

เสวียนจิ่วอิ้นถอนใจเบาๆ

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ สีหน้าราบเรียบ

“ทำไม ไม่กล้าพนันหรือ”

เมื่อเห็นว่าเนิ่นนานก็ไม่มีคนตอบ จินตู๋อีอดขมวดคิ้วไม่ได้

กลับเห็นชายผมดำชุดแดงยิ้มเย็นขึ้นมาทันที “ในสถานการณ์ตอนนี้พวกข้าล้วนเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทำไมต้องพนันด้วย”

จินตู๋อีสีหน้าขรึมลง “อยากสู้กันจนตายไปข้างจริงหรือ”

“สู้กันจนตายไปข้าง? ไม่ เป็นพวกเจ้าสำนักยุทธ์ก่อเกิดต้องสิ้นชื่อในวันนี้!”

มีคนกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม

“เจ้าหมอนี่เจตนาใช้การพนันมาปกป้องสำนักยุทธ์ก่อเกิด ทุกท่านอย่าถูกหลอกเชียว”

มีคนยิ้มบางพลางกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นยังลังเลอะไรอยู่ ลงมือฆ่าเจ้าเดรัจฉานนี่ก่อน!”

มีคนลงมือทันใด เหวี่ยงกระบองยาวสีดำเล่มหนึ่ง เคลื่อนผ่านห้วงอากาศโจมตีไปทางจินตู๋อี

“ลงมือ!”

เกือบจะเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะคนอื่นในที่นั้นก็ออกโจมตีอย่างห้าวหาญ

เหล่าผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ห่างไกลล้วนสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้ ระดับอมตะพวกนี้จัดการยากดังคาด บอกว่าจะลงมือก็ลงมือ!

ตูม… โครม…

ฟ้าดินแถบนี้ปั่นป่วน แสงมรรคอมตะโหมทำลายดั่งลมกาฬวาต แสงเจิดจรัสไหลวนแทรกสลับกับศาสตรามรรคที่อานุภาพเกินคาดเดาราวกระแสน้ำ แผ่คลุมไปทางจินตู๋อีคนเดียว ไอรีนโนเวล

“เช่นนั้นก็สู้กันจนตายไปข้าง ข้าจะรอพวกเจ้าที่แดนลับดวงกมล!”

กลับเห็นจินตู๋อีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พุ่งตัวเตรียมจากไป

เขามีมรรควิถีแค่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้า มั่นใจว่าใช้พลังของตัวเองจัดการคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันได้สองสามคน แต่เผชิญหน้ากับการร่วมมือกันโจมตีของระดับอมตะสิบกว่าคนนี้คงต้านไม่อยู่แน่

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจถอยกลับแดนลับดวงกมลก่อน

แต่เมื่อเขาเพิ่งเตรียมตัวจากไป เสียงตูมพลันดังสนั่น ห้วงอากาศใกล้เคียงปรากฏพลังระเบียบเหมือนใยแมงมุมนับไม่ถ้วน กลายเป็นตาข่ายบดบังฟ้า ผนึกห้วงอากาศใกล้ทางเข้าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้

ทางถอยของจินตู๋อีถูกผนึกไปด้วย ทำให้เงาร่างของเขาชะงักไป ไม่อาจปลีกตัวหนีจากพลังระเบียบที่พันธนาการนั้นได้ทันที!

“ฮ่าๆๆ ติดกับเองยังไม่รู้ตัว รอสังหารเจ้าแล้วพวกเราค่อยไปเหยียบทำลายสำนักยุทธ์ก่อเกิด!”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะลำพอง ระดับอมตะสิบกว่าคนผนึกกำลังพุ่งเข้ามาแล้ว

ตูม!

แสงมรรคชวนประหวั่นทะยานเข้ามา

จินตู๋อีกัดฟัน ผมยาวแผ่สยาย ตัดสินใจสู้สุดชีวิตแล้ว “คิดว่าข้ากลัวพวกเจ้าหรือ ต่อให้ตายก็ต้องลากพวกเจ้าไปปรโลกด้วย!”

ในช่วงเวลาคับขันนี้จินตู๋อีรู้สึกเพียงตัวเบาโหวง ถูกคว้าไปกลางอากาศ หายไปตรงทางเข้าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่น

ตูม!

เหล่ากำลังพลและศาสตรามรรคที่ล้อมโจมตีเข้ามานั้นพลันคว้าน้ำเหลว แค่ก่อให้เกิดคลื่นพลังทำลายล้างแถบหนึ่งแผ่กระจายไปกลางฟ้าดิน

“นี่…”

“คนล่ะ”

“บัดซบ! พลังระเบียบตระกูลข้าล้วนถูกทำลายแล้ว”

“ใครช่วยเขาไปกันแน่”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ทำให้เหล่าระดับอมตะนั้นไม่ทันตั้งตัว แปลกใจสงสัยไม่หยุด

ไม่ใช่แค่พวกเขา ผู้แข็งแกร่งของเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ รวมถึงเหล่าผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ห่างไปก็ล้วนตกตะลึงตาค้าง นี่มันเรื่องอะไรกัน

ตัวจินตู๋อียังมึนงงไปพักหนึ่ง เขาเพียงรู้สึกว่าเบื้องหน้าพลันฝ้าฟาง ถูกพาตัวไปอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนนี้เมื่อได้สติกลับมา ก็เห็นว่าตนอยู่เหนือพื้นน้ำใกล้เคียงแห่งหนึ่ง

จากนั้นเขาก็เบิกตากว้าง แทบกระโดดตัวลอยขึ้นมา “พี่… พี่ใหญ่?”

“ทำไม เพิ่งผ่านไปร้อยกว่าปีก็ไม่รู้จักข้าแล้วหรือ” หลินสวินยิ้ม ก่อนหน้านี้แน่นอนว่าเป็นเขาลงมือ

บนใบหน้าหล่อเหลาของจินตู๋อีเผยความยินดีปรีดา ตื่นเต้นจนหัวเราะเสียงดัง “เป็นเจ้าจริงๆ โอ๊ย ข้าไม่ได้ฝันไปกระมัง”

เขาพูดพลางตบต้นขาตัวเอง เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงต้นขาแล้วจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตาในที่สุด

เห็นเจ้าคางคกตื่นเต้นจนเสียอาการเช่นนี้ ในใจหลินสวินไม่วายม้วนซัด เขาตบบ่าเจ้าคางคกเอ่ยว่า “ข้ารู้สถานการณ์หมดแล้ว เรื่องต่อจากนี้ให้ข้าจัดการเถอะ”

เจ้าคางคกพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าว “นั่นเป็นถึงเฒ่าระยำระดับอมตะสิบกว่าคน ข้าสู้กับเจ้าด้วย!”

เสวียนจิ่วอิ้นอดกล่าวไม่ได้ “พี่ชาย พวกเราคอยดูละครอยู่ด้านข้างก็พอ หรือเจ้าไม่อยากเห็นว่าหลายปีนี้พี่ใหญ่ของเจ้ามีพลังต่อสู้แข็งแกร่งถึงระดับใดกันแน่”

เจ้าคางคกอึ้งงัน

เวลานี้ระดับอมตะสิบกว่าคนนั้นพบร่องรอยของเจ้าคางคกแล้ว นัยน์ตาพากันมองมาทางนี้ สีหน้าต่างอึมครึมลง

มีคนขมวดคิ้วตวาด “พวกเจ้าเป็นใคร ถึงกับกล้าเข้ามายุ่งในบุญคุณความแค้นของพวกเรากับสำนักยุทธ์ก่อเกิด เบื่อจะมีชีวิตแล้วหรือ”

นัยน์ตาพวกเขากวาดมองพวกหลินสวิน ซย่าจื้อ เสวียนจิ่วอิ้น พบว่าหน้าตาท่าทางแปลกหน้ายิ่ง แต่กลิ่นอายระดับอมตะที่แผ่ออกมาจากตัวหลินสวินกลับทำให้พวกเขาเครียดขมึงไม่หยุด

เหล่าผู้แข็งแกร่งเจ็ดขุมอำนาจใหญ่และผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ห่างไปพากันมองมาทางนี้ สีหน้าเจือความแปลกใจสงสัย คล้ายไม่กล้าเชื่อว่ายังมีคนนอกกล้าเข้ามายุ่งในสถานการณ์เช่นนี้ด้วย

“เหอะๆ”

เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความเวทนา เขาคร้านจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายแล้ว

“หลายปีนี้พวกเราสำนักยุทธ์ก่อเกิดเคยบาดเจ็บล้มตายหรือไม่”

หลินสวินกลับเอ่ยถามลอยๆ

จินตู๋อีส่ายศีรษะ “ไม่เคย หลายปีนี้ทุกคนเฝ้าอยู่ในแดนลับดวงกมลตลอด มีการคุ้มครองจากแดนลับดวงกมล ตอนนี้ยังไม่มีใครประสบเคราะห์”

หลินสวินผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ทันที เผยรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ดี”

เห็นพวกเขาพูดคุยเหมือนรอบข้างไร้ผู้คน มองข้ามทุกคนในที่นั้นไปตรงๆ สีหน้าของเหล่าระดับอมตะอึมครึมยิ่งกว่าเดิมแล้ว

“เจ้าเป็นใคร ไม่กลัวประสบเคราะห์ที่นี่จริงหรือ”

ชายผมดำชุดแดงกล่าวเยียบเย็น ไอสังหารโหมกระหน่ำ อานุภาพน่ากลัวแผ่กระจายมาทางนี้

หลินสวินกวาดสายตามองพวกเขาพลางกล่าว “สิ่งที่พวกเจ้าควรยินดีคือตระกูลหลินของข้าไม่เกิดเรื่องบาดเจ็บล้มตายใดๆ มิฉะนั้นวันนี้เกรงว่าคงไม่อาจปล่อยพวกเจ้าไปได้แล้ว”

“สามหาว! ข้าอยากดูนักว่าเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงกล้าป่าวประกาศเช่นนี้!”

ชายชราห้าวหาญหาใดเปรียบคนหนึ่งตวาดลั่น ซัดประทับมรรคสีทองในมือไปกลางอากาศ

ตูม!

ประทับมรรคสีทองตัดผ่านอากาศ อานุภาพที่ปล่อยออกมาทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน น้ำทะเลม้วนซัดพลุ่งพล่าน พลังนั้นทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนขวัญหนีดีฝ่อ

กลับเห็นเงาร่างหลินสวินไม่ขยับ ประทับมรรคสีทองพลันหยุดห่างจากเขาไปสิบจั้ง ไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้เพียงคืบ ราวกับชนกำแพงที่ไม่อาจสั่นคลอน

ปัง!

จากนั้นประทับมรรคสีทองนี้ก็ระเบิดออกกลางอากาศ ละอองแสงโปรยปรายทั่วฟ้า

ศาสตรามรรคอมตะชิ้นหนึ่งถูกทำลายเช่นนี้!

ภาพแปลกประหลาดชวนประหวั่นนี้ทำให้จินตู๋อีตกตะลึงอ้าปากค้าง สิ่งนี้ล้มล้างความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง

ห่างออกไปเมื่อประทับมรรคสีทองแตกระเบิด ชายชราน่าเกรงขามผู้นั้นถูกพลังสะท้อนกลับจนกระอักเลือดออกมาทันที ระดับอมตะคนอื่นที่อยู่ใกล้เขาล้วนหน้าเปลี่ยนสี ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ

“ลงมือพร้อมกัน!”

ชายผมดำชุดแดงที่เป็นผู้นำแทบจะตวาดลั่นตามจิตใต้สำนึก

“ฆ่า!”

พวกเขาลงมือพร้อมกัน ใช้ศาสตรามรรค ปลดปล่อยวิชามรรค โคจรมรรควิถีอมตะทั้งตัวเต็มกำลัง พากันหันปลายหอกจ่อใส่หลินสวินคนเดียว

ตูม…

ฟ้าพลิกดินตลบ สุริยันจันทราหม่นแสง

พลังอมตะชวนประหวั่นนั้นทำให้ผู้ชมนับไม่ถ้วนที่อยู่ใกล้ส่งเสียงร้องแหลม แตกตื่นถอยร่น

“รนหาที่ตาย”

มุมปากหลินสวินโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชา ยื่นมือออกไปคว้าทันใด

วิชามรรคนานัปการที่พุ่งเข้ามานั้นถูกคว้าขยี้เต็มแรงเหมือนกระดาษเปื่อยทันที ละอองแสงงดงามตระการตาเปล่งประกาย ส่องสะท้อนฟ้าดิน

ปังๆๆ!

ศาสตรามรรคอมตะทุกชิ้นถูกบดขยี้ตามไปด้วย กระถางหยก กระบี่มรรค ทวนศึก ดาบขออะไร… กลายเป็นเศษเหล็กซากทองแดงภายใต้กรงเล็บนี้ทั้งสิ้น เศษหินดินทรายลอยล่องไปทั่ว

ระดับอมตะสิบกว่าคนนั้นติดร่างแห ล้วนกระอักเลือด หน้าเปลี่ยนสีไปหมด ขวัญหนีดีฝ่อ

พลังกรงเล็บเดียวกำราบพลังของพวกเขาดุจผ่าลำไผ่!

นี่ทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงภัยคุกคามร้ายแรง รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา รู้ว่าครั้งนี้เตะถูกแผ่นเหล็กเข้าแล้ว

“นี่…”

จินตู๋อีตาลายจนรู้สึกว่าสมองไม่ทำงานแล้ว นี่ต้องมีมรรควิถีน่ากลัวเพียงใดจึงทำถึงขั้นนี้ได้อย่างเรียบง่ายสบายๆ

น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

ฟ้าดินเงียบสงัดไร้สรรพเสียง เหล่าผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ห่างออกไปล้วนถูกทำให้ตกตะลึงเหม่อลอย การโจมตีนี้เหมือนหัตถ์สวรรค์มาเยือนโลก ทรงพลังไร้คู่ต่อกร!

เมื่อมองไปทางหลินสวินอีกครั้ง ทุกสายตาล้วนเจือความตื่นตระหนก

เขาเป็นใคร

ทั้งมีอานุภาพร้ายกาจระดับใด

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดนี้ หลินสวินเอ่ยราบเรียบ “หากฆ่าพวกเจ้าคงน่าเสียดายไปหน่อย ช่างเถิด ไว้ชีวิตพวกเจ้าเพื่อเป็นหินลับดาบของสำนักยุทธ์ก่อเกิดในภายหน้าก็ดี”

ขณะกล่าวแขนเสื้อเขาสะบัดโบก

ก็เห็น…

ระดับอมตะสิบกว่าคนที่อยู่ห่างไกลถูกผนึกกลางอากาศเหมือนแมลงวัน ไม่มีแรงขยับเขยื้อน จากนั้นก็กลายเป็นแสงสายหนึ่งพร้อมกัน ผลุบหายไปในแขนเสื้อที่สะบัดโบกของหลินสวิน

ผู้แข็งแกร่งเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ที่รวมกันแล้วมีมากนับพันนั้นต่างรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันมืดมัว ร่างกายลอยขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หายไปในแขนเสื้อของหลินสวินดุจกระแสน้ำ

เพียงพริบตาทุกคนในเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ราวระเหยหายไปจากโลก ไม่เหลือร่องรอยใดแม้แต่น้อย!

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด