Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1453 เส้นทางลำเลียงกระดูกขาว

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1453 เส้นทางลำเลียงกระดูกขาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นั่นก็คือทางเข้าป่าต้นหม่อน”

หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น จ้าวซิงเย่พาหลินสวินไปปรากฏตัวในหุบเขาใหญ่ที่รกร้างไม่เหลือสภาพแห่งหนึ่ง ตรงสุดขอบหุบเขาถูกหมอกสีเทาหนาปกคลุม

จ้าวซิงเย่มองตรงนั้นพร้อมพูดเสี่ยงเบา “สิบกว่าปีที่แล้วพวกจักรพรรดิก็ได้เข้าไปข้างในแล้ว นอกจากนี้ผู้ยิ่งใหญ่ฝั่งค่ายพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่าก็เข้าไปด้วย”

หลินสวินมองทัศนียภาพตรงสุดขอบหุบเขา และพบว่าไม่เหมือนตอนนั้นแล้วจริงๆ

ปีนั้นตอนที่เขามา แม้จะมีหมอกเหมือนกันแต่กลับน้อยมาก ไม่ถึงกับอันตราย

ทว่าตอนนี้ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าก็ทำให้หลินสวินรู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่ปะทะหน้าเข้ามา

ในนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส ข้าควรไปรวมตัวกับพวกจักรพรรดิอย่างไร”

“ถือป้ายคำสั่งนี้ไว้ ตามกลิ่นอายของมันไป”

จ้าวซิงเย่เตรียมพร้อมมานานแล้ว ยื่นป้ายหยกสีทองที่สลักลายมรรคลึกลับให้หลินสวิน “ต้องระวังตัว จำไว้!”

หลินสวินพยักหน้า จากนั้นถามว่า “พวกจักรพรรดิ… เป็นระดับใดกันแน่ขอรับ”

คำถามนี้เขาคาดเดาอยู่หลายครั้งและเคยถามคนจำนวนไม่น้อย ที่น่าเสียดายคือ จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้

“กึ่งจักรพรรดิ”

จ้าวซิงเย่พ่นสองคำนี้ออกมาเบาๆ แต่กลับสร้างความตื่นตะลึง ทำให้ในใจหลินสวินสะท้านขึ้นมาโดยพลัน อึ้งงันอยู่ตรงนั้น

กึ่งจักรพรรดิ!

พลังของสองคำนี้สามารถทำให้อริยะทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก!

“แม้แต่เฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างจ้าวไท่ไหลก็เป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งหรือ”

หลินสวินอดถามไม่ได้ ราวกับยากจะเชื่อ

จ้าวซิงเย่อดยิ้มไม่ได้ เอ่ยว่า “เจ้ายากจะเชื่อก็ปกติ ในจักรวรรดิถูกกฎระเบียบฟ้าดินจำกัด อย่าว่าแต่กึ่งจักรพรรดิ แม้แต่ราชันอริยะก็ทำอะไรไม่ได้ พลังปราณในตัวถูกกดข่ม”

“จักรวรรดิเหมือนสระน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง กึ่งจักรพรรดิราวกับมังกรยักษ์ หากอยากอยู่รอดในสระน้ำก็ทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นปลาตัวหนึ่ง”

“แต่พูดอย่างเคร่งครัด จักรวรรดิก็ไม่ใช่สระน้ำเล็ก เจ้าหวนกลับจักรวรรดิคราวนี้คงจะรับรู้แล้วว่า พร้อมๆ กับการเกิดฟ้าดินแปรผันฉับพลัน กฎระเบียบฟ้าดินก็แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

“สรุปแล้วพวกจักรพรรดิเต็มใจอยู่ที่จักรวรรดิ ก็เพื่อการมาเยือนของฟ้าดินแปรผันฉับพลันในครั้งนี้ คว้าจุดเปลี่ยนใหญ่นี้เอาไว้!”

จนถึงตอนนี้หลินสวินฝืนสงบลงได้บ้างแล้ว ยิ้มขื่นพูดว่า “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจักรวรรดิถึงกับสุดยอดขนาดนี้”

พอคิดๆ ดู สถานที่ห่างไกลซึ่งถูกดินแดนรกร้างโบราณมองว่าเป็นโลกชั้นล่าง กลับมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับกึ่งจักรพรรดิคนแล้วคนเล่าซ่อนอยู่ นี่หากเผยแพร่เข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณใครจะกล้าเชื่อ

“ไม่เพียงจักรวรรดิของเรา ค่ายพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่าก็เช่นกัน”

จ้าวซิงเย่พูดเรียบๆ “ดินแดนรกร้างโบราณไม่ธรรมดามาก ลึกลับงดงามและกว้างใหญ่ไพศาล แข็งแกร่งกว่าโลกชั้นล่างเป็นร้อยเท่าพันเท่า แต่ในดินแดนรกร้างโบราณไม่มีแดนบ่อเกิดแรกกำเนิดอย่างแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาลหรอกนะ”

“นี่ต่างหากที่เป็นเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกชั้นล่าง”

พูดถึงตรงนี้จ้าวซิงเย่มองหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าเหตุใดลู่ป๋อหยาจึงเลือกจะอยู่ที่นี่”

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด “เพราะโลกชั้นล่างไม่ธรรมดามากเช่นนั้นหรือขอรับ”

จ้าวซิงเย่พยักหน้า “เมื่อก่อนข้าเองก็ไม่เข้าใจ แต่ตั้งแต่บรรลุอริยะ พอหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาจึงพบว่าโลกชั้นล่างไม่ธรรมดามากจริงๆ รออีกหน่อยเจ้าบรรลุอริยะก็จะเข้าใจเอง ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์”

หลินสวินขานรับว่าอืม เก็บความคิด เคลื่อนสายตามองไปยังทางเข้าป่าต้นหม่อนที่ห่างออกไป พร้อมพูดว่า “ผู้อาวุโส ขอลาขอรับ”

พูดจบเขาก็เดินตรงไป

“จำไว้ว่าต้องระวังผู้แข็งแกร่งจากอีกสองค่ายทัพด้วย ในช่วงหลายวันมานี้ข้าหาร่องรอยศัตรูในสมรภูมิกระหายเลือดมาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้เบาะแสอะไรเลย ข้าสงสัยว่าหนิวเจิ้นอวี่และพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬพากำลังคนของพวกเขาเข้าไปในป่าต้นหม่อนด้วย”

จ้าวซิงเย่เตือน

หลินสวินอดหันกลับไปไม่ได้ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านไม่อยากรู้หรือว่าจุดเปลี่ยนใหญ่ที่จะปะทุขึ้นในป่าต้นหม่อนในครั้งนี้คืออะไร”

จ้าวซิงเย่ส่ายหน้า “จุดเปลี่ยนใหญ่ระดับนั้นข้าเอื้อมไม่ถึง สู้อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดต่อ คอยคุ้มกันพวกคนหนุ่มของจักรวรรดิดีกว่า”

หลินสวินประสานหมัดกล่าว “ช่างเป็นบุญของจักรวรรดิที่มีผู้อาวุโส”

“รีบไปเถอะ”

จ้าวซิงเย่ยิ้ม โบกมือพูด

หลินสวินไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น พลันหมุนตัวก้าวเข้าไปในส่วนลึกของหมอกหนานั่น

……

ทันทีที่เข้าไปในฟ้าดินที่หมอกแผ่คลุมนั่น หลินสวินเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน พลังขับเคลื่อนรอบตัวโคจร สีหน้าแม้จะนิ่งสงบ ทั้งร่างกลับเหมือนธนูที่ถูกง้างจนตึง

ในหมอกหนาสีเทามีพลังที่แปลกประหลาดอย่างมากกำจัดพลังจิตการรับรู้ สัมผัสได้เพียงบริเวณในระยะพันจั้งเท่านั้น

หลินสวินจำต้องระวังขึ้นมา

เขาไม่ลืมที่เฒ่าโดดเดี่ยวเคยพูด ในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ไม่เพียงแค่มีอริยะ แต่ยังมีมหาอริยะ ราชันอริยะและกึ่งจักรพรรดิ!

และหลังจากฟังคำอธิบายของจ้าวซิงเย่ ทำให้หลินสวินมั่นใจว่ามีกึ่งจักรพรรดิออกโรงจริงๆ และไม่ใช่แค่คนเดียว…

นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว

หากไม่ใช่เพื่อคว้าโอกาสในการทลายเคราะห์มรรคตัดขาด หลินสวินก็ไม่มีทางเหยียบเข้าที่แห่งนี้แม้แต่ครึ่งก้าว

นี่ก็คือหนทางแสวงมรรค

ไม่ว่าจะในจักรวรรดิหรือในดินแดนรกร้างโบราณ ชื่อของหลินสวินก็เรียกได้ว่าเลื่องลือไปทั่วหล้าแล้ว โดดเด่นสะดุดตา ถูกผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่เชิดชู

แต่เบื้องหลังความสำเร็จและเกียรติยศทั้งหมดนี้ กลับเป็นความพยายามและทุ่มเทที่นับไม่ถ้วน!

ก็เหมือนการเข่นฆ่าสิบปีในแดนมกุฎ น่าเวทนาเพียงใด

เหมือนป่าต้นหม่อนที่อยู่ตรงหน้า ทอดสายตามองในคนบรรดาคนรุ่นเดียวกัน จะมีใครกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงเหมือนเขา

ชิ้ง!

ดาบหักโฉบออกมา เตรียมพร้อมลงมือ

ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามถูกหลินสวินสะพายไว้กลางหลัง ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นการป้องกันและระวังภัยอย่างหนึ่ง

วู้ม…

ในมือป้ายหยกสีทองที่จ้าวซิงเย่ให้พรั่งพรูคลื่นแปลกประหลาดออกมา ชี้ไปข้างหน้า หลินสวินเดินหน้าเงียบๆ สีหน้าระแวง

ฟ้าดินเงียบกริบเต็มไปด้วยหมอกสีเทา ความเงีบยเชียบปานนี้ทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง

สองชั่วยามหลังจากนั้น

ในหมอกที่อยู่ห่างออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงร้องแหลมเศร้ารันทดดันขึ้นระลอกหนึ่ง

หลินสวินหยุดเท้าโดยพลัน สีหน้าสับสน ตำแหน่งที่กรีดร้องนั่นเป็นที่ที่เขากำลังจะเดินหน้าไปพอดี

แต่สุดท้ายหลินสวินตัดสินใจอ้อมไป

ยอมหนี แต่ก็ไม่ยอมเอาตัวไปเสี่ยง

พูดเป็นเล่น หากเจออริยะแท้คนหนึ่งยังพอว่า แต่ถ้าหากเจอการดำรงอยู่อันน่าสะพรึงกลัวที่เหนือกว่ามหาอริยะ นั่นเป็นการรนหาที่ตายโดยสมบูรณ์

หลินสวินอ้อมเป็นวงกลมใหญ่ เดินเป็นพันลี้จึงเคลื่อนไหวตามที่ป้ายหยกสีทองชี้อีกครั้ง

แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็มืดมนลง

เพราะภายใต้การชี้ทางของป้ายหยกสีทอง เขากลับทำได้เพียงอ้อมาที่เดิมอีกครั้งจึงจะสามารถเดินหน้าได้

“อ้อมไม่ได้จริงๆ หรือ”

หลินสวินเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็กัดฟัน ตัดสินใจไปดูสักหน่อย

ไม่นานเนินเขาใหญ่ที่เหมือนหลอมจากหินเหล็กลูกหนึ่ง ปรากฏท่ามกลางหมอกหนาสีเทา

หลินสวินก้าวขึ้นไป จนกระทั่งไปถึงยอดเขาจึงพบเส้นทางลำเลียงกระดูกขาวหนาใหญ่เส้นหนึ่งพาดอยู่บนหน้าผา เชื่อมไปยังส่วนลึกของหมอกหนาสีเทา

เส้นทางลำเลียงกระดูกขาวนั่นเชื่อมต่อจากกระดูกสัตว์ใหญ่แต่ละท่อน สามารถเดินได้คนเดียวเท่านั้น ล่องลอยอยู่เหนือหน้าผาหมอก ยามที่ลมภูเขาพัดผ่าน เส้นทางลำเลียงกระดูกขาวถึงกับส่ายไปมา ส่งเสียงดังกร๊อกแกร๊ก

สายตาของหลินสวินกวาดมองรอบๆ แล้วก้มมองป้ายหยกสีทองในมือ หลังจากมั่นใจว่าอยากเดินหน้าต่อ ก็ต้องเดินบนเส้นทางลำเลียงกระดูกขาวที่อยู่ตรงหน้านี้

สวบ!

หลินสวินดีดนิ้ว ยิงก้อนหินก้อนหนึ่งไปในอากาศเหนือเหวลึก แต่เพิ่งจะไปถึงครึ่งทางก้อนหินนั้นก็แตกสลาย

ในเวลาเดียวกันค้างคาวสีเลือดฝูงหนึ่งพุ่งออกจากส่วนลึกของหมอกกลางอากาศ ส่งเสียงหวัดหวิวโหดเหี้ยมเย็นเยียบ

ค้างคาวทุกตัวล้วนมีขนาดราวหินโม่ ปีกแดงดุจเลือด เขี้ยวแหลมคม กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมา ยิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด

พวกมันปรากฏตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน พุ่งสังหารใส่หลินสวิน มองจากระยะไกลเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว น่ากลัวถึงขีดสุด

ฟุ่บ!

หลินสวินถอยหนีอย่างไม่ลังเล ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเหนือความคาดหมายคือ ค้างคาวสีเลือดเหล่านั้นกลับหยุดอยู่ตรงหน้าเส้นทางลำเลียงกระดูกขาว

ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาสีแดงก่ำจ้องหลินสวิน ในปากส่งเสียงร้องแหลมอย่างที่สุดออกมา เหมือนผีที่ดุร้ายกำลังร่ำไห้อย่างไรอย่างนั้น

พวกมันดูเหมือนอยากฆ่าหลินสวินให้ตายแทบไม่ไหวแล้ว แต่กลับไม่กล้าออกจากเส้นทางลำเลียงกระดูกขาว ลอดผ่านมายังบริเวณเหวลึก

หลินสวินสบายใจขึ้นเล็กน้อย เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเสียงร้องแหลมที่ได้ยินเมื่อครู่นี้มาจากค้างคาวสีเลือดที่เหี้ยมโหดเหล่านี้

‘นายท่าน นี่คือค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือด กินวิญญาณผู้แข็งแกร่งและไอพิฆาตเป็นอาหาร อุปนิสัยดุร้ายและกระหายเลือดที่สุด ถูกมองว่าเป็น ‘สัตว์ร้ายอัปมงคล’ ตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้ว เป็นที่เกลียดชังของเทพผี’

เสี่ยวอิ๋นส่งเสียง ‘ดูกลิ่นอายของพวกมัน จะต้องเคยกัดกินวิญญาณของอริยะอย่างแน่นอน ถึงมีไอดุดันที่เหี้ยมโหดระดับนี้ได้’

หลินสวินขมวดคิ้วทันที เขาเองก็สังเกตเห็นว่าค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดแต่ละตัวล้วนแข็งแกร่งเหลือเชื่อ ด้อยกว่าอริยะเทียมที่เขาเคยเจอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หากอยู่ในโลกภายนอก ค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดเช่นนี้เพียงพอจะเป็นราชันผู้คุมอำนาจ สร้างวิบัติภัย ทำให้ราชันระดับอมตะเคราะห์ขวัญหนีดีฝ่อแน่

แต่ที่นี่กลับปรากฏกันเป็นฝูง!

“ดูเหมือนว่า ถ้าอยากจะข้ามเส้นทางลำเลียงกระดูกขาวสายนี้ ก็ทำได้เพียงฆ่าพวกมันก่อน”

ประกายเย็นเยียบพวยพุ่งในดวงตาดำของหลินสวิน

ตอนที่ออกจากแดนมกุฎเขาเคยสังหารอริยะเทียม ตอนนั้นเขายังเป็นแค่ผู้ฝึกปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ฆ่าอย่างยากลำบากมาก

แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าแล้ว แม้เจออริยะเทียมก็ไม่กลัวอีกต่อไป!

ชิ้ง!

ดาบหักที่เตรียมพร้อมจะเคลื่อนไหวอยู่ก่อนพุ่งออกมา ในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็ขยับ เลือดลมรอบกายกู่ก้อง แสงมรรคเก้าพิสุทธิ์ไหลออกจากผิว เปลี่ยนเป็นเหวลึกแห่งหนึ่ง

ในจุดชีพจรในร่างกายของเขา ปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันสายคำรามกึกก้อง!

พรวด!

ทันใดนั้นค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดที่อยู่หน้าสุดหนีไม่ทัน ถูกประกายอันแหลมคมของดาบหักฉีกร่างระเบิดทันใด

ค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดฝูงนั้นตื่นตระหนก ออกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ในปากส่งเสียงคำรามเหี้ยมโหดอย่างที่สุด สั่นสะเทือนกลางฟ้าดิน

คลื่นเสียงสีเลือดสั่นไหวทันตาเห็น แผ่พุ่งกระจายออกไป

“เฉือน!”

หลินสวินไม่หลีกไม่หนี ว่องไวอย่างที่สุด เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งเข้าไปในฝูงค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือด ดาบหักสะบัดไปทั่วราวกับสายฟ้า

และรอบตัวเขา แสงมรรคเก้าพิสุทธิ์ที่เปลี่ยนเป็นหุบเหวขนาดใหญ่ก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง

ครืนโครมๆ…

ทันใดนั้นการต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้น นองเลือดรุนแรง

มองจากไกลๆ ทั้งร่างของหลินสวินเหมือนดาบที่แหลมคม พุ่งขึ้นเส้นทางลำเลียงกระดูกขาว ทุกที่ที่ผ่านค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดเหล่านั้นหากไม่ถูกดาบหักเฉือนสังหาร ก็ถูกแสงมรรคเก้าพิสุทธิ์บดขยี้จนแหลกละเอียด คาวเลือดที่เข้มข้นและเสียงร้องโหยหวนรุนแรงก็แพร่กระจายอย่างไม่ขาดสาย

ภาพการณ์นองเลือด น่าสะพรึงกลัว!

……………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1453 เส้นทางลำเลียงกระดูกขาว

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1453 เส้นทางลำเลียงกระดูกขาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นั่นก็คือทางเข้าป่าต้นหม่อน”

หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น จ้าวซิงเย่พาหลินสวินไปปรากฏตัวในหุบเขาใหญ่ที่รกร้างไม่เหลือสภาพแห่งหนึ่ง ตรงสุดขอบหุบเขาถูกหมอกสีเทาหนาปกคลุม

จ้าวซิงเย่มองตรงนั้นพร้อมพูดเสี่ยงเบา “สิบกว่าปีที่แล้วพวกจักรพรรดิก็ได้เข้าไปข้างในแล้ว นอกจากนี้ผู้ยิ่งใหญ่ฝั่งค่ายพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่าก็เข้าไปด้วย”

หลินสวินมองทัศนียภาพตรงสุดขอบหุบเขา และพบว่าไม่เหมือนตอนนั้นแล้วจริงๆ

ปีนั้นตอนที่เขามา แม้จะมีหมอกเหมือนกันแต่กลับน้อยมาก ไม่ถึงกับอันตราย

ทว่าตอนนี้ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าก็ทำให้หลินสวินรู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่ปะทะหน้าเข้ามา

ในนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส ข้าควรไปรวมตัวกับพวกจักรพรรดิอย่างไร”

“ถือป้ายคำสั่งนี้ไว้ ตามกลิ่นอายของมันไป”

จ้าวซิงเย่เตรียมพร้อมมานานแล้ว ยื่นป้ายหยกสีทองที่สลักลายมรรคลึกลับให้หลินสวิน “ต้องระวังตัว จำไว้!”

หลินสวินพยักหน้า จากนั้นถามว่า “พวกจักรพรรดิ… เป็นระดับใดกันแน่ขอรับ”

คำถามนี้เขาคาดเดาอยู่หลายครั้งและเคยถามคนจำนวนไม่น้อย ที่น่าเสียดายคือ จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้

“กึ่งจักรพรรดิ”

จ้าวซิงเย่พ่นสองคำนี้ออกมาเบาๆ แต่กลับสร้างความตื่นตะลึง ทำให้ในใจหลินสวินสะท้านขึ้นมาโดยพลัน อึ้งงันอยู่ตรงนั้น

กึ่งจักรพรรดิ!

พลังของสองคำนี้สามารถทำให้อริยะทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก!

“แม้แต่เฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างจ้าวไท่ไหลก็เป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งหรือ”

หลินสวินอดถามไม่ได้ ราวกับยากจะเชื่อ

จ้าวซิงเย่อดยิ้มไม่ได้ เอ่ยว่า “เจ้ายากจะเชื่อก็ปกติ ในจักรวรรดิถูกกฎระเบียบฟ้าดินจำกัด อย่าว่าแต่กึ่งจักรพรรดิ แม้แต่ราชันอริยะก็ทำอะไรไม่ได้ พลังปราณในตัวถูกกดข่ม”

“จักรวรรดิเหมือนสระน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง กึ่งจักรพรรดิราวกับมังกรยักษ์ หากอยากอยู่รอดในสระน้ำก็ทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นปลาตัวหนึ่ง”

“แต่พูดอย่างเคร่งครัด จักรวรรดิก็ไม่ใช่สระน้ำเล็ก เจ้าหวนกลับจักรวรรดิคราวนี้คงจะรับรู้แล้วว่า พร้อมๆ กับการเกิดฟ้าดินแปรผันฉับพลัน กฎระเบียบฟ้าดินก็แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

“สรุปแล้วพวกจักรพรรดิเต็มใจอยู่ที่จักรวรรดิ ก็เพื่อการมาเยือนของฟ้าดินแปรผันฉับพลันในครั้งนี้ คว้าจุดเปลี่ยนใหญ่นี้เอาไว้!”

จนถึงตอนนี้หลินสวินฝืนสงบลงได้บ้างแล้ว ยิ้มขื่นพูดว่า “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจักรวรรดิถึงกับสุดยอดขนาดนี้”

พอคิดๆ ดู สถานที่ห่างไกลซึ่งถูกดินแดนรกร้างโบราณมองว่าเป็นโลกชั้นล่าง กลับมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับกึ่งจักรพรรดิคนแล้วคนเล่าซ่อนอยู่ นี่หากเผยแพร่เข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณใครจะกล้าเชื่อ

“ไม่เพียงจักรวรรดิของเรา ค่ายพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่าก็เช่นกัน”

จ้าวซิงเย่พูดเรียบๆ “ดินแดนรกร้างโบราณไม่ธรรมดามาก ลึกลับงดงามและกว้างใหญ่ไพศาล แข็งแกร่งกว่าโลกชั้นล่างเป็นร้อยเท่าพันเท่า แต่ในดินแดนรกร้างโบราณไม่มีแดนบ่อเกิดแรกกำเนิดอย่างแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาลหรอกนะ”

“นี่ต่างหากที่เป็นเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกชั้นล่าง”

พูดถึงตรงนี้จ้าวซิงเย่มองหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าเหตุใดลู่ป๋อหยาจึงเลือกจะอยู่ที่นี่”

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด “เพราะโลกชั้นล่างไม่ธรรมดามากเช่นนั้นหรือขอรับ”

จ้าวซิงเย่พยักหน้า “เมื่อก่อนข้าเองก็ไม่เข้าใจ แต่ตั้งแต่บรรลุอริยะ พอหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาจึงพบว่าโลกชั้นล่างไม่ธรรมดามากจริงๆ รออีกหน่อยเจ้าบรรลุอริยะก็จะเข้าใจเอง ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์”

หลินสวินขานรับว่าอืม เก็บความคิด เคลื่อนสายตามองไปยังทางเข้าป่าต้นหม่อนที่ห่างออกไป พร้อมพูดว่า “ผู้อาวุโส ขอลาขอรับ”

พูดจบเขาก็เดินตรงไป

“จำไว้ว่าต้องระวังผู้แข็งแกร่งจากอีกสองค่ายทัพด้วย ในช่วงหลายวันมานี้ข้าหาร่องรอยศัตรูในสมรภูมิกระหายเลือดมาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้เบาะแสอะไรเลย ข้าสงสัยว่าหนิวเจิ้นอวี่และพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬพากำลังคนของพวกเขาเข้าไปในป่าต้นหม่อนด้วย”

จ้าวซิงเย่เตือน

หลินสวินอดหันกลับไปไม่ได้ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านไม่อยากรู้หรือว่าจุดเปลี่ยนใหญ่ที่จะปะทุขึ้นในป่าต้นหม่อนในครั้งนี้คืออะไร”

จ้าวซิงเย่ส่ายหน้า “จุดเปลี่ยนใหญ่ระดับนั้นข้าเอื้อมไม่ถึง สู้อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดต่อ คอยคุ้มกันพวกคนหนุ่มของจักรวรรดิดีกว่า”

หลินสวินประสานหมัดกล่าว “ช่างเป็นบุญของจักรวรรดิที่มีผู้อาวุโส”

“รีบไปเถอะ”

จ้าวซิงเย่ยิ้ม โบกมือพูด

หลินสวินไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น พลันหมุนตัวก้าวเข้าไปในส่วนลึกของหมอกหนานั่น

……

ทันทีที่เข้าไปในฟ้าดินที่หมอกแผ่คลุมนั่น หลินสวินเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน พลังขับเคลื่อนรอบตัวโคจร สีหน้าแม้จะนิ่งสงบ ทั้งร่างกลับเหมือนธนูที่ถูกง้างจนตึง

ในหมอกหนาสีเทามีพลังที่แปลกประหลาดอย่างมากกำจัดพลังจิตการรับรู้ สัมผัสได้เพียงบริเวณในระยะพันจั้งเท่านั้น

หลินสวินจำต้องระวังขึ้นมา

เขาไม่ลืมที่เฒ่าโดดเดี่ยวเคยพูด ในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ไม่เพียงแค่มีอริยะ แต่ยังมีมหาอริยะ ราชันอริยะและกึ่งจักรพรรดิ!

และหลังจากฟังคำอธิบายของจ้าวซิงเย่ ทำให้หลินสวินมั่นใจว่ามีกึ่งจักรพรรดิออกโรงจริงๆ และไม่ใช่แค่คนเดียว…

นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว

หากไม่ใช่เพื่อคว้าโอกาสในการทลายเคราะห์มรรคตัดขาด หลินสวินก็ไม่มีทางเหยียบเข้าที่แห่งนี้แม้แต่ครึ่งก้าว

นี่ก็คือหนทางแสวงมรรค

ไม่ว่าจะในจักรวรรดิหรือในดินแดนรกร้างโบราณ ชื่อของหลินสวินก็เรียกได้ว่าเลื่องลือไปทั่วหล้าแล้ว โดดเด่นสะดุดตา ถูกผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่เชิดชู

แต่เบื้องหลังความสำเร็จและเกียรติยศทั้งหมดนี้ กลับเป็นความพยายามและทุ่มเทที่นับไม่ถ้วน!

ก็เหมือนการเข่นฆ่าสิบปีในแดนมกุฎ น่าเวทนาเพียงใด

เหมือนป่าต้นหม่อนที่อยู่ตรงหน้า ทอดสายตามองในคนบรรดาคนรุ่นเดียวกัน จะมีใครกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงเหมือนเขา

ชิ้ง!

ดาบหักโฉบออกมา เตรียมพร้อมลงมือ

ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามถูกหลินสวินสะพายไว้กลางหลัง ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นการป้องกันและระวังภัยอย่างหนึ่ง

วู้ม…

ในมือป้ายหยกสีทองที่จ้าวซิงเย่ให้พรั่งพรูคลื่นแปลกประหลาดออกมา ชี้ไปข้างหน้า หลินสวินเดินหน้าเงียบๆ สีหน้าระแวง

ฟ้าดินเงียบกริบเต็มไปด้วยหมอกสีเทา ความเงีบยเชียบปานนี้ทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง

สองชั่วยามหลังจากนั้น

ในหมอกที่อยู่ห่างออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงร้องแหลมเศร้ารันทดดันขึ้นระลอกหนึ่ง

หลินสวินหยุดเท้าโดยพลัน สีหน้าสับสน ตำแหน่งที่กรีดร้องนั่นเป็นที่ที่เขากำลังจะเดินหน้าไปพอดี

แต่สุดท้ายหลินสวินตัดสินใจอ้อมไป

ยอมหนี แต่ก็ไม่ยอมเอาตัวไปเสี่ยง

พูดเป็นเล่น หากเจออริยะแท้คนหนึ่งยังพอว่า แต่ถ้าหากเจอการดำรงอยู่อันน่าสะพรึงกลัวที่เหนือกว่ามหาอริยะ นั่นเป็นการรนหาที่ตายโดยสมบูรณ์

หลินสวินอ้อมเป็นวงกลมใหญ่ เดินเป็นพันลี้จึงเคลื่อนไหวตามที่ป้ายหยกสีทองชี้อีกครั้ง

แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็มืดมนลง

เพราะภายใต้การชี้ทางของป้ายหยกสีทอง เขากลับทำได้เพียงอ้อมาที่เดิมอีกครั้งจึงจะสามารถเดินหน้าได้

“อ้อมไม่ได้จริงๆ หรือ”

หลินสวินเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็กัดฟัน ตัดสินใจไปดูสักหน่อย

ไม่นานเนินเขาใหญ่ที่เหมือนหลอมจากหินเหล็กลูกหนึ่ง ปรากฏท่ามกลางหมอกหนาสีเทา

หลินสวินก้าวขึ้นไป จนกระทั่งไปถึงยอดเขาจึงพบเส้นทางลำเลียงกระดูกขาวหนาใหญ่เส้นหนึ่งพาดอยู่บนหน้าผา เชื่อมไปยังส่วนลึกของหมอกหนาสีเทา

เส้นทางลำเลียงกระดูกขาวนั่นเชื่อมต่อจากกระดูกสัตว์ใหญ่แต่ละท่อน สามารถเดินได้คนเดียวเท่านั้น ล่องลอยอยู่เหนือหน้าผาหมอก ยามที่ลมภูเขาพัดผ่าน เส้นทางลำเลียงกระดูกขาวถึงกับส่ายไปมา ส่งเสียงดังกร๊อกแกร๊ก

สายตาของหลินสวินกวาดมองรอบๆ แล้วก้มมองป้ายหยกสีทองในมือ หลังจากมั่นใจว่าอยากเดินหน้าต่อ ก็ต้องเดินบนเส้นทางลำเลียงกระดูกขาวที่อยู่ตรงหน้านี้

สวบ!

หลินสวินดีดนิ้ว ยิงก้อนหินก้อนหนึ่งไปในอากาศเหนือเหวลึก แต่เพิ่งจะไปถึงครึ่งทางก้อนหินนั้นก็แตกสลาย

ในเวลาเดียวกันค้างคาวสีเลือดฝูงหนึ่งพุ่งออกจากส่วนลึกของหมอกกลางอากาศ ส่งเสียงหวัดหวิวโหดเหี้ยมเย็นเยียบ

ค้างคาวทุกตัวล้วนมีขนาดราวหินโม่ ปีกแดงดุจเลือด เขี้ยวแหลมคม กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมา ยิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด

พวกมันปรากฏตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน พุ่งสังหารใส่หลินสวิน มองจากระยะไกลเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว น่ากลัวถึงขีดสุด

ฟุ่บ!

หลินสวินถอยหนีอย่างไม่ลังเล ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเหนือความคาดหมายคือ ค้างคาวสีเลือดเหล่านั้นกลับหยุดอยู่ตรงหน้าเส้นทางลำเลียงกระดูกขาว

ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาสีแดงก่ำจ้องหลินสวิน ในปากส่งเสียงร้องแหลมอย่างที่สุดออกมา เหมือนผีที่ดุร้ายกำลังร่ำไห้อย่างไรอย่างนั้น

พวกมันดูเหมือนอยากฆ่าหลินสวินให้ตายแทบไม่ไหวแล้ว แต่กลับไม่กล้าออกจากเส้นทางลำเลียงกระดูกขาว ลอดผ่านมายังบริเวณเหวลึก

หลินสวินสบายใจขึ้นเล็กน้อย เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเสียงร้องแหลมที่ได้ยินเมื่อครู่นี้มาจากค้างคาวสีเลือดที่เหี้ยมโหดเหล่านี้

‘นายท่าน นี่คือค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือด กินวิญญาณผู้แข็งแกร่งและไอพิฆาตเป็นอาหาร อุปนิสัยดุร้ายและกระหายเลือดที่สุด ถูกมองว่าเป็น ‘สัตว์ร้ายอัปมงคล’ ตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้ว เป็นที่เกลียดชังของเทพผี’

เสี่ยวอิ๋นส่งเสียง ‘ดูกลิ่นอายของพวกมัน จะต้องเคยกัดกินวิญญาณของอริยะอย่างแน่นอน ถึงมีไอดุดันที่เหี้ยมโหดระดับนี้ได้’

หลินสวินขมวดคิ้วทันที เขาเองก็สังเกตเห็นว่าค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดแต่ละตัวล้วนแข็งแกร่งเหลือเชื่อ ด้อยกว่าอริยะเทียมที่เขาเคยเจอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หากอยู่ในโลกภายนอก ค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดเช่นนี้เพียงพอจะเป็นราชันผู้คุมอำนาจ สร้างวิบัติภัย ทำให้ราชันระดับอมตะเคราะห์ขวัญหนีดีฝ่อแน่

แต่ที่นี่กลับปรากฏกันเป็นฝูง!

“ดูเหมือนว่า ถ้าอยากจะข้ามเส้นทางลำเลียงกระดูกขาวสายนี้ ก็ทำได้เพียงฆ่าพวกมันก่อน”

ประกายเย็นเยียบพวยพุ่งในดวงตาดำของหลินสวิน

ตอนที่ออกจากแดนมกุฎเขาเคยสังหารอริยะเทียม ตอนนั้นเขายังเป็นแค่ผู้ฝึกปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ฆ่าอย่างยากลำบากมาก

แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าแล้ว แม้เจออริยะเทียมก็ไม่กลัวอีกต่อไป!

ชิ้ง!

ดาบหักที่เตรียมพร้อมจะเคลื่อนไหวอยู่ก่อนพุ่งออกมา ในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็ขยับ เลือดลมรอบกายกู่ก้อง แสงมรรคเก้าพิสุทธิ์ไหลออกจากผิว เปลี่ยนเป็นเหวลึกแห่งหนึ่ง

ในจุดชีพจรในร่างกายของเขา ปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันสายคำรามกึกก้อง!

พรวด!

ทันใดนั้นค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดที่อยู่หน้าสุดหนีไม่ทัน ถูกประกายอันแหลมคมของดาบหักฉีกร่างระเบิดทันใด

ค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดฝูงนั้นตื่นตระหนก ออกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ในปากส่งเสียงคำรามเหี้ยมโหดอย่างที่สุด สั่นสะเทือนกลางฟ้าดิน

คลื่นเสียงสีเลือดสั่นไหวทันตาเห็น แผ่พุ่งกระจายออกไป

“เฉือน!”

หลินสวินไม่หลีกไม่หนี ว่องไวอย่างที่สุด เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งเข้าไปในฝูงค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือด ดาบหักสะบัดไปทั่วราวกับสายฟ้า

และรอบตัวเขา แสงมรรคเก้าพิสุทธิ์ที่เปลี่ยนเป็นหุบเหวขนาดใหญ่ก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง

ครืนโครมๆ…

ทันใดนั้นการต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้น นองเลือดรุนแรง

มองจากไกลๆ ทั้งร่างของหลินสวินเหมือนดาบที่แหลมคม พุ่งขึ้นเส้นทางลำเลียงกระดูกขาว ทุกที่ที่ผ่านค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดเหล่านั้นหากไม่ถูกดาบหักเฉือนสังหาร ก็ถูกแสงมรรคเก้าพิสุทธิ์บดขยี้จนแหลกละเอียด คาวเลือดที่เข้มข้นและเสียงร้องโหยหวนรุนแรงก็แพร่กระจายอย่างไม่ขาดสาย

ภาพการณ์นองเลือด น่าสะพรึงกลัว!

……………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+