Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2499 ตำราหยกศุภโชค

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2499 ตำราหยกศุภโชค at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวตึงเครียดอย่างที่สุด

พวกเขาไม่ได้เสียอาการเช่นนี้มาหลายปีแล้ว รู้สึกเพียงว่าใจเคว้งลอยอยู่ตรงลำคอ แทบจะกลั้นหายใจ รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก

ตอนแรกทั้งสองไม่ได้คาดหวังในตัวหลินสวินแม้แต่น้อย

ด้วยบนบันไดหินเก้าสิบเก้าขั้นนั้นมีซากศพน่ากลัวนอนอยู่ทั่ว หลังจากทุกตนฟื้นคืนชีพล้วนแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการ

ถึงขั้นว่าพวกเขายังเตรียมใช้ไพ่ตายพร้อมไปช่วยหลินสวินตลอดเวลา

แต่ความสามารถของหลินสวินกลับอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยสิ้นเชิง หรือกล่าวได้ว่า ทำลายการคาดเดาของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า!

ก่อนหลินสวินจะไปถึงบันไดขั้นที่สามสิบหก

พวกเขาคิดว่านี่คือปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ถูกอานุภาพที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้ตื่นตะลึง

กระทั่งหลินสวินก้าวขึ้นไปทีละขั้นด้วยท่วงท่าสง่างาม จิตใจของพวกเขาจึงถูกดึงดูด ตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง ยากจะนิ่งสงบ

เวลานี้พวกเขาล้วนใจหายใจคว่ำแทนหลินสวิน มีความคิดจะเผยไพ่ตายไปช่วยหลินสวินอยู่หลายครั้ง

แต่เมื่อหลินสวินบุกไปถึงขั้นที่เก้าสิบ…

สิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้คือแรงโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่ง เป็นแรงสะเทือนราวกับถูกล้มล้างการคาดเดาทั้งหมด!

สาเหตุที่ปาฏิหาริย์คือปาฏิหาริย์ เป็นเพราะไม่ใช่ความจริง

แต่เมื่อปาฏิหาริย์เปลี่ยนเป็นความจริง ทุกอย่างก็ดูสั่นสะเทือนใจคนเป็นพิเศษ

กระทั่งหลินสวินบุกตะลุยโรมรัน อาบเลือดตลอดทางจนมาถึงขั้นที่เก้าสิบเก้า เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวเหลือเพียงความรู้สึกเดียว…

งุนงง!

เห็นร่างแยกมหามรรคร่างแล้วร่างเล่าของหลินสวินพังทลาย เห็นตัวเขาเปื้อนเลือด ห้ำหั่นไม่คิดชีวิต เห็นว่าเขาไม่มีความคิดถอยหนีแม้เพียงเสี้ยว…

ความรู้สึกประหลาดปั่นป่วนอยู่ในใจของทั้งสองคน ราวกับคลื่นซัดพลิกสมุทร

ต่อให้ผ่านความยากลำบากนองเลือดและความเป็นตาย ยังสาบานว่าแม้สิ้นชีพก็ไม่หันกลับ!

เจตจำนงเช่นนั้น ความอาจหาญนั่น ท่าทีที่มองความเป็นตายเหมือนเมฆที่ลอยล่องไร้ความหมายนั้น ราวกับอสนีบาตสายหนึ่งฟาดผ่านจิตใจของทั้งสองคน ทิ้งภาพประทับที่ไม่อาจลบล้างไว้

แต่ตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่อาจผ่อนคลาย

ด้วยหลินสวินเจอคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่งแล้ว

อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ กลิ่นอายราวกับเซียน

ขั้นที่เก้าสิบเก้า แม้ว่าชายผู้นั้นจะตัวคนเดียว แต่อานุภาพนั้นกลับน่ากลัวถึงขั้นไม่อาจคาดเดาได้!

หน้าคฤหาสน์ ตำราหยกขาวดุจหิมะมีละอองแสงลายมรรคปริศนาไหลวน แวววาวเปล่งประกาย คล้ายไม่กังวล หรือกล่าวได้ว่ามั่นใจในตัวชายชุดขาวบนขั้นที่เก้าสิบเก้ามาก

ตอนนี้หลินสวินบาดเจ็บสาหัส สีหน้าซีดเผือด เลือดที่อาบไปทั้งตัวล้วนไหลออกมาไม่หยุด

เมื่อเห็นชายชุดขาวคนนี้ หลินสวินก็มั่นใจในทันที ต่อให้ตนสู้ตายก็ไม่อาจสั่นคลอนอีกฝ่ายได้แม้เพียงนิด

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

อยู่เหนือคำว่าแข็งแกร่งที่หลินสวินเข้าใจอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นไม่กล้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นระดับอมตะหรือไม่

ด้วยมองตื้นลึกไม่ออกแต่แรก

ยามเผชิญหน้ากับเขา ก็เหมือนมดปลวกเผชิญหน้ากับเทพแท้จริงองค์หนึ่ง!

ส่วนชายชุดขาวคนนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินที่บุกมาถึงขั้นที่เก้าสิบเก้าก็แค่ดีดนิ้วมือครั้งหนึ่ง

การเคลื่อนไหวเรียบง่ายแผ่วเบา

เหมือนต้องการดีดมดปลวกตัวหนึ่งให้กระเด็น

นี่คือการดูถูกอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย!

แต่ในสายตาของเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิว พริบตาที่ชายชุดขาวลงมือ ล้วนรู้สึกเพียงจิตใจปวดแสบ จิตวิญญาณเหมือนถูกฉีกกระชาก การรับรู้ทั้งหมด ภาพทั้งมวลล้วนหายไป

ขาวโพลนทั้งแถบ

เมื่อผ่านพริบตานี้ไป ทั้งสองคนไม่เห็นร่างของหลินสวินบนบันไดขั้นที่เก้าสิบเก้าแล้ว!

ชายชุดขาวอึ้งงัน มองปลายนิ้วของตัวเองอย่างสงสัย จากนั้นจึงหันหลังกลับ มองหลินสวินที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หยกขาวนั่นแล้ว

คล้ายยากจะเชื่อ

คล้ายตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ตึง!

พลังของชายชุดขาวหายวับไป หวนคืนสู่ความเงียบสงัด ร่วงลงไปกองกับพื้น รักษาท่าทางยามสิ้นชีพเหมือนยุคก่อน

เวลานี้หลินสวินเหมือนได้ยินเสียงถอนใจยาวดังขึ้น แต่กลับไม่กล้าแน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือไม่

ด้วยอาการบาดเจ็บของเขาในตอนนี้รุนแรงเกินไปจริงๆ

เพื่อขึ้นบันไดหินเก้าสิบเก้าขั้นนี้ เขาต้องสำแดงอภินิหารหยุดเวลาภายใต้สถานการณ์ที่บาดเจ็บสาหัส ทำให้เขามีความรู้สึกว่ามรรควิถีทั้งตัวล้วนแห้งเหือด

วู้ม…

ห่างไปไม่ไกลตำราหยกขาวดุจหิมะส่งเสียงครวญเหมือนถูกทำให้ตกตะลึง กลายเป็นแสงขาวสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์หยกขาวนั้นทันที

‘สำนักเซียนยอดยุทธ์…’

สายตาหลินสวินมองแผ่นป้ายเหนือคฤหาสน์ใหญ่คราหนึ่ง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หยิบโอสถเทพเยียวยาที่ล้ำค่าหายากออกมาสองสามขวดแล้วกลืนเข้าไปทั้งหมด

จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในคฤหาสน์ใหญ่

เมื่อเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวคืนสติกลับมา ก็พบว่าบนบันไดหินเก้าสิบเก้าขั้นนั้นไม่มีเงาร่างของหลินสวินแล้ว

มีแค่ซากศพของชายชุดขาวนั่นกองอยู่ตรงนั้น รักษาท่าทางเดิมไว้

บนบันไดทั้งเก้าสิบเก้าขั้นล้วนคืนสู่สภาพเดิมเหมือนตอนแรก ซากศพกองพะเนินก่ายกันยุ่ง คล้ายเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“คงไม่ใช่ว่าพี่หลิน…” เยวี่ยตู๋ชิวสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่

เซี่ยงเสี่ยวหยวนกล่าวตัดบททันควัน “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่เห็นหรือว่าตำราหยกลึกลับนั่นก็หายไปด้วย ข้าสงสัยว่าในตอนท้าย พี่หลินมีโอกาสสูงที่จะใช้ไพ่ตายก้นหีบบางอย่าง ทำให้ก้าวผ่านบันไดหินขั้นที่เก้าสิบเก้านั้นได้สำเร็จ กระทั่งเข้าไปในตำหนักยอดยุทธ์นั่นแล้ว!”

นางเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “พวกเราก็รออยู่ที่นี่เถอะ หากพี่หลินมีชีวิตอยู่ เขาต้องกลับมาแน่”

เยวี่ยตู๋ชิวพยักหน้า

ตำหนักยอดยุทธ์

หมอกเซียนอบอวล เงียบสนิทไร้สุ้มเสียง

พื้นดินปูด้วยหินลับประหลาดสีดำ ผ่านการชะล้างของเวลาจนเปลี่ยนเป็นพร่างพร้อยไม่เหลือสภาพ

เมื่อผ่านเสาหินต้นหนึ่ง หลินสวินสังเกตเห็นภาพมรรคเร้นลับมากมายสลักอยู่บนนั้น เห็นชัดว่าเป็นภาพแนะการฝึกปราณ แต่ล้วนขาดหายและเลือนรางแล้ว

จากการแยกแยะอย่างถี่ถ้วน หลินสวินก็มองออกโดยคร่าวๆ ว่าภาพมรรคแต่ละภาพนี้ล้วนสื่อถึงระดับการฝึกปราณอย่างหนึ่ง

นี่คือระบบการฝึกปราณของยุคก่อน

ชื่อของแต่ละระดับล้วนมีนัยลึกล้ำ เต็มไปด้วยความอัศจรรย์เกินคาดเดา

อย่างจวนม่วง ศาลเหลือง โอสถทองสองลักษณ์ นิพพาน นรกแปลงผู้เที่ยงแท้ เซียนปฐพีทลายเคราะห์…

เหนือขึ้นไปก็คือระบบมรรคเซียน มีระดับเซียนสวรรค์ ระดับเซียนลึกลับ เซียนทองต้าหลัว เซียนอริยะ…

น่าเสียดาย ภาพชี้แนะการฝึกปราณที่บันทึกอยู่ในภาพมรรคพวกนั้นล้วนแตกหักสูญหาย ทำให้หลินสวินได้แต่ตีความจากตัวอักษร ไม่อาจรู้นัยเร้นลับโดยละเอียดของแต่ละระดับได้

‘ยุคก่อนถูกเรียกว่ายุคเซียนยุทธ์ แน่นอนว่าสิ่งที่เสาะหาคือนัยเร้นลับมหามรรคซึ่งเกี่ยวกับมรรคเซียน ที่แท้เซียนในตำนานก็มีอยู่จริง แต่กลับอยู่ในยุคก่อน…’

หลินสวินสำรวจดูเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปข้างหน้า

เขาค้นหาร่องรอยของตำราหยกลึกลับนั่นต่อไป ป้องกันตัวตลอดเวลา ไม่กล้าเผลอเรอ ใครจะรู้ว่าสถานที่ผีสิงนี่ยังมีอันตรายอื่นอยู่อีกหรือไม่

ไม่ทันไรหลินสวินพลันได้ยินเสียงสนทนาหนึ่งดังมาจากส่วนลึกของหมอกเซียน

เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นฟ้าดินพลิกตลบ ภาพแปรเปลี่ยนมากมาย แสงประกายนานัปการพวยพุ่ง ยังมีไอแรกกำเนิดโหมกระหน่ำด้วย

ราวกับมาถึงอีกโลกหนึ่งในชั่วขณะเดียว!

นี่คือลานมรรคเก่าแก่สง่างามแห่งหนึ่ง หมอกเซียนอบอวล ปักษาเซียนเริงระบำ สัตว์มงคลปรากฏตัว

ผู้ฝึกปราณทั้งหมดสวมเสื้อขนนก นั่งขัดสมาธิอยู่ในลานมรรค

บนที่นั่งหน้าสุดของลานมรรค มีชายบุคลิกแปลกตาคนหนึ่งนั่งอยู่ ร่างอบอวลด้วยหมอกเซียนมากมาย

เหนือศีรษะเขาสะท้อนสัญลักษณ์กระบี่เซียนเล่มหนึ่ง มีอานุภาพสะเทือนทั่วหล้า

ภาพเหตุการณ์ช่วงหนึ่งที่หลงเหลือมาจากยุคก่อน!

หลินสวินใจสะท้าน รับรู้ว่าตัวเองเข้ามาในเขตแดนมายาที่น่าเหลือเชื่อแห่งหนึ่งแล้ว ก็เหมือนหวนกลับไปสู่กาลเวลานิรันดร์ในอดีตของยุคก่อน

‘มหาเคราะห์มาเยือนแล้ว สำนักเซียนยอดยุทธ์ของข้าก็ยากจะวางตัวอยู่เหนือปัญหา ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะใช้กระบี่ยอดยุทธ์กำราบบ่อผนึกมาร ใช้ชีวิตของข้าไขว่คว้าโอกาสรอดเสี้ยวหนึ่งในด่านเคราะห์ หวังเพียง… ทำให้สำนักเซียนยอดยุทธ์ของข้าอยู่รอดต่อไปท่ามกลางยุคสมัยผันเปลี่ยนได้…’

ชายบุคลิกแปลกตาเอ่ยปาก แววตาเผยความเด็ดเดี่ยว คล้ายกำลังเตรียมการล่วงหน้า

‘เจ้าสำนัก!’

เงาร่างมากมายในลานมรรคร้องตะโกนพร้อมกัน สีหน้าเศร้ารันทด

‘การแปรเปลี่ยนของยุคสมัยนี้ไม่มีใครต้านทานได้ ทั้งไม่มีขุมอำนาจใหญ่แห่งใดต้านได้เช่นกัน ยุคสมัยนี้… ถูกลิขิตให้จ่อมจมและดับสิ้นในมหาเคราะห์แห่งยุคสมัยแล้ว…’

แววตาของชายที่ถูกเรียกว่าเจ้าสำนักเจือความเศร้าอาดูร

จากนั้นเขาก็เอ่ยเรียก ‘เหวยหมิงจื่อ เจ้ามาควบคุมตำราหยกศุภโชค’

ชายคนหนึ่งก้าวออกมา บุคลิกองอาจห้าวหาญ โดดเด่นเหนือผู้อื่น สวมเสื้อขนนกสีรุ้ง เท้าเปลือยเปล่า ผมยาวสยายประบ่า

หลินสวินใจสะท้าน เป็นเจ้าหมอนั่นจริงๆ! คนที่เกือบชิงร่างตนในดินแดนลี้ลับแห่งสมรภูมิร้อยศึก!

‘เจ้าสำนัก’ เหวยหมิงจื่อเผยสีหน้าโศกเศร้า

‘เดิมทีด้วยคุณสมบัติและมรรควิถีของเจ้าย่อมดูแลสำนักยอดยุทธ์ได้นานแล้ว น่าเสียดาย เคราะห์แห่งยุคสมัยมาอย่างกะทันหันและผิดปกติเกินไป…’

เจ้าสำนักยอดยุทธ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อ

ตำราหยกขาวดุจหิมะเล่มหนึ่งปรากฏ แวววาวเปล่งประกายเหมือนทำจากหยกงามที่กระจ่างบริสุทธิ์ที่สุดบนโลก แสงเซียนพวยพุ่งเหลือคณา

‘ตำราหยกศุภโชคนี้เป็นมรดกตกทอดจากบรรพจารย์ของข้า ในนั้นบันทึกนัยเร้นลับระเบียบมรรคเซียนชั้นสูงเกินคาดเดา เจ้าเก็บไว้ให้ดี หากสำนักเซียนยอดยุทธ์ของพวกเรารอดพ้นจากเคราะห์แห่งยุคสมัยนี้ไปได้ ข้าหวังว่า… สำนักเซียนยอดยุทธ์ในมือเจ้าจะสืบทอดต่อไปไม่ขาดช่วง คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์’

เจ้าสำนักยอดยุทธ์กล่าวกำชับ

‘ขอรับ!’

เหวยหมิงจื่อสีหน้าเคร่งครัด ก้าวเข้าไปรับตำราหยกศุภโชคที่มีแสงเซียนไหลวนนั่น

ตูม!

เมื่อดูถึงตรงนี้ ทิวทัศน์เบื้องหน้าหลินสวินพลันเปลี่ยนไปในทันที ภาพทั้งหมดล้วนสลายหายไป

แต่ยังไม่รอให้ทัศนวิสัยของเขาคืนกลับมา ก็มาอยู่ในเขตแดนมายาน่าเหลือเชื่ออีกแห่ง

นี่คือซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง สรรพสิ่งล้วนร่วงโรย

เสียงหัวเราะร่าดังก้องฟ้าดินราวกับอสนีบาต…

‘สำนักเซียนยอดยุทธ์จบสิ้นแล้ว! จบสิ้นแล้ว…’

เงาร่างของเหวยหมิงจื่อยืนอยู่บนซากปรักหักพัง สีหน้าบิดเบี้ยว หัวเราะร่าเหมือนคลุ้มคลั่ง

‘เจ้าสำนักหนอเจ้าสำนัก กระทั่งเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนเจ้าถึงมอบตำราหยกศุภโชคให้ข้า เจ้า… คิดจริงหรือว่าข้าจะรับน้ำใจ’

‘พวกเจ้าตายหมดแล้ว… ฮ่าๆๆ… ตายแล้วก็ดี! บนโลกนี้มีแค่ข้าเหวยหมิงจื่อที่รอดจากการดับสิ้นของยุคสมัย ทั้งไม่มีใครทำให้ข้าต้องอดกลั้นและก้มหัวอีก!’

‘ภายหน้าข้าจะก่อตั้งสำนักเซียนยอดยุทธ์อีกครั้ง ตั้งยอดสำนักใหญ่ที่ข้าเป็นผู้ถือครองเพียงคนเดียว!’

ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งนั้นแฝงความปรีดาไร้สิ้นสุด ราวกับความโกรธแค้นที่สะสมมาหลายปีระบายออกมาทั้งหมดในตอนนี้

หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้ เหวยหมิงจื่อนี่ถึงกับเสียสติเช่นนี้ หากเจ้าสำนักยอดยุทธ์คนนั้นเห็นท่าทางนี้ของเขา เจ้าตัวจะผิดหวังและเดือดดาลเพียงใด

ทันใดนั้นเงาร่างสูงใหญ่หยิ่งผยองปรากฏอยู่บนซากปรักหักพังนี้

เสียงของเหวยหมิงจื่อที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลันหยุดลง

เมื่อหลินสวินเห็นเงาร่างสูงใหญ่หยิ่งผยองนี้ ดวงตาล้วนเบิกโพลง เผยสีหน้ายากจะเชื่อ

…………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด