Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2517 ขจัดภัยซ่อนเร้น

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2517 ขจัดภัยซ่อนเร้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตูม!

พลังผนึกที่ปกคลุมอยู่ในห้องพักโรงเตี๊ยมระเบิดกระจุยทันที ละอองแสงสาดกระจายม้วนตลบ

ที่ตามมาติดๆ คือทั้งโรงเตี๊ยมล้วนระเบิด ปราณกระบี่เปล่งประกายตระการตาอุบัติขึ้นกลางฟ้าสีน้ำหมึกประหนึ่งรุ้งเทพแน่นขนัด

ตระการตาหาใดเทียบ ทั้งยังน่ากลัวหาใดเทียม!

บริเวณใกล้เคียงมีเสียงร้องพรั่นพรึงระลอกหนึ่งดังขึ้น ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรตื่นตระหนก ต่างหนีไปไกล สถานการณ์โกลาหล

แต่ไม่นานนักการเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็ถูกเสียงปะทะสะท้านฟ้าสะเทือนดินปกคลุมเอาไว้

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

เตากระบี่ที่มีแสงมรรคนัมากมายไหลหลั่งถูกปราณกระบี่ประหนึ่งพายุคลั่งฝนกรรโชกฟาดฟัน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว กลิ่นอายทำลายล้างอันน่าสะท้านขวัญที่แผ่กระจายออกมาเคลื่อนกวาดฟ้าดินแห่งนี้ ห้วงอากาศยังยุบตัว

และยามนี้หลินสวินที่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอดก็ค่อยๆ ตั้งตัวได้ในที่สุด ดวงตาของเขาเย็นชาลุ่มลึก มีประกายเย็นเยียบหาใดเทียบไหลเวียน เงาร่างสูงโปร่งมีแสงเทพพวยพุ่ง แสงมรรคอบอวล ตัวเขาเป็นดั่งหุบเหวเคลื่อนที่ไปในฟ้าดิน!

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งโคจรอยู่เหนือหัวเขา เดือดพล่านราวกับเตาทองแดงแห่งกลียุค กำราบ โจมตี และบดขยี้ปราณกระบี่ที่พุ่งออกมาจากความว่างเปล่านั้นไปทั้งหมด

ชิ้ง!

กระบี่มรรคที่เคลื่อนออกมาจาเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งฟันออกไปไกลลิบโดยพลัน

ที่นั่นเป็นโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยม ถูกจู่โจมตั้งแต่การต่อสู้ปะทุขึ้น ตัวอาคารทรุดถล่ม ลูกค้าหนีออกมาอย่างร้อนรน

เมื่อกระบี่มรรคไร้ก้นบึ้งฟันมา ซากหักพังนั้นก็ถูกแหวกออกเป็นร่องมหึมาสายหนึ่ง ปราณกระบี่น่าครั่นคร้ามไร้สิ้นสุดบีบอัดห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงให้ระเบิดออกดังลั่น

แทบจะในขณะเดียวกัน เสียงอู้อี้เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

เงาร่างสูงเพรียวเบาบางดุจควันมายาเสมือนความว่างเปล่าร่างหนึ่ง ไหววูบอยู่ในห้วงอากาศอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ถึงหลบการจู่โจมของกระบี่นั้นแล้วยืนมั่นอยู่กลางอากาศได้

พอพินิจดู นั่นเป็นสตรีนางหนึ่ง ทั้งร่างปกคลุมด้วยแสงมรรคสีดำ ใบหน้าจืดชืดธรรมดา ขนาดกลิ่นอายยังสามัญถึงที่สุด ต่อให้ถูกผู้อื่นเห็นเข้าก็ไม่ทิ้งภาพจำติดใจให้แม้สักนิด

น้ำค้าง!

ไกลออกไป ดวงตาหลินสวินยิ่งเย็นชา ตัดสินตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว

มือสังหารระดับมกุฎจักรพรรดิที่มาจากแดนเร้นนภาผู้นี้ถึงกับลงมือกะทันหันในตอนนี้ ช่างเกินคาดจริงๆ

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือมรรคลอบสังหารของนาง

แข็งแกร่งกว่ามือสังหารนกกระเรียนก่อนหน้านี้ไม่รู้เท่าไร ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบไร้เสียง สำแดงมรรคปลิดชีพที่น่ากลัวถึงขีดสุดโดยฉับพลัน น่าครั่นคร้ามไร้สิ้นสุดจริงๆ

ถามใจตัวเองดู ในชั่วพริบตาที่การลอบสังหารปะทุขึ้นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมีเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง หลินสวินยังสงสัยว่าตนคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส!

ถึงกับว่าถ้าเปลี่ยนเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเหิงเทียนซั่ว เหวินเทาเลวี่ย เกรงว่าจะต้านไว้ไม่ได้!

‘ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว…’

หลินสวินไม่ได้ร่ำไรสักนิด กระตุ้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งเข้ากำราบน้ำค้างที่อยู่ไกลๆ

โครม!

ฟ้าดินแถบนั้นถูกปกคลุมด้วยแสงมรรคน่าครั่นคร้าม แสงเทพพลุ่งพล่าน

ทันทีที่ลงมือก็เป็นการโจมตีที่มีอานุภาพประดุจอสนีบาต!

คราวนี้หลินสวินไม่มีทางยอมให้ภัยคุกคามที่แฝงอยู่เช่นนี้รอดต่อไปได้อีก หาไม่แล้วเกรงว่าบนเส้นทางภายหน้าจะต้องระวังภัยทุกเวลา

ไม่ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ก็ทำให้รู้สึกเดียดฉันท์เป็นที่สุด

สีหน้าของน้ำค้างสงบนิ่ง แต่นัยน์ตากลับปรากฏแววเคร่งเครียด

มือเปล่านางกวักเรียกกระบี่อ่อนสีดำประหนึ่งแส้เทพเล่มหนึ่งออกมา ตัวกระบี่อ่อนนุ่มซัดกระแสปราณกระบี่ไร้เทียมทานออกมา โหดเหี้ยมดุดันถึงที่สุด

ถึงอย่างนั้น เพียงพริบตาเดียวปราณกระบี่เหล่านี้ก็ถูกบดขยี้ระเบิดออก ไม่อาจต้านการโจมตีของหลินสวินได้สักนิด

น้ำค้างทอดถอนใจในใจ

นัยเร้นลับอันเป็นแก่นที่สุดของมรรคลอบสังหาร คือโจมตีเป้าหมายให้ถึงตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ประหนึ่งราตรีนิรันดร์มาเยือน กลืนกินแสงกระจ่างทิวากาลไปจนสิ้นโดนที่ผู้คนไม่ตั้งตัว

และทันทีที่เผยตัวออกมา ก็เท่ากับสูญเสียอานุภาพอันยิ่งยวดที่สุดไป

ในฐานะมือสังหารระดับมกุฎจักรพรรดิ น้ำค้างย่อมช่ำชองมรรคปลิดชีพ ทั้งยิ่งรู้ดีว่าหลังจากตัวตนถูกเปิดเผย ก็เท่ากับเสียวิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดในการคุกคามเป้าหมายไปแล้ว

ย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับและเสียเปรียบในการปะทะซึ่งหน้า

ขวับ!

น้ำค้างเด็ดขาดนัก เลือกหลบหนีทันที

มือสังหารอย่างนาง วิชาเคลื่อนย้ายที่มีก็เรียกได้ว่าเป็นเลิศในโลก หากตั้งใจหลบหนี บรรพจารย์มรรคยังรั้งไว้ไม่ได้!

‘รอได้พบกันคราวหน้า จะต้องเอาชีวิตเจ้าให้ได้!’ ขณะที่น้ำค้างหนีไป ในใจก็เกิดความรู้สึกอัดอั้นอย่างไม่อาจข่ม

ตั้งแต่เป็นมือสังหารมาจนตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางพลาด ทำให้นางที่มั่นใจในตนเองอยู่เสมอยังกระทบกระเทือนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

ที่ทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้ที่สุดก็คือ นางปรากฏตัวและจับจ้องตามรอยหลินสวินตั้งแต่เขาออกจากด่านนภาอมตะที่สามแล้ว

สะกดรอยมาตลอดทาง รอนแรมมานานสองปี ในที่สุดนางก็หาโอกาสลอบสังหารในด่านนภาอมตะที่เก้าแห่งนี้ได้

ใครจะคิดว่า…

การลอบสังหารที่ทุ่มเวลาและประสบการณ์มากมายเช่นนี้กลับล้มเหลวเสียได้!

หืม?

น้ำค้างพลันใจสั่น พริบตานี้จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ถึงอันตรายถึงชีวิต

ก็เป็นในชั่วพริบตานี้เองที่หลินสวินสำแดงอภินิหารหยุดเวลา

พอน้ำค้างได้สติกลับมา คมกระบี่ดุดันหาใดเทียบสายหนึ่งพลันขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุดในดวงตาของนาง กระทั่งจะซัดเข้าเต็มตานาง

เสร็จกัน!

ขณะเดียวกับที่ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นในใจน้ำค้าง ร่างกายก็ถูกกระบี่มรรคไร้ก้นบึ้งฟันออก ฝนเลือดสาดกระเซ็น พลังจิตแหลกสลายเป็นผุยผง

ห้วงอากาศที่มีร่างนางอยู่ยังถูกปราณกระบี่คับฟ้าที่กระบี่นี้ชักนำมากลบมิด เกิดเสียงดังสนั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ไกลออกไปผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนที่แตกตื่นต่างตกใจกับภาพนี้ยิ่ง นิ่งเหม่ออยู่เช่นนั้น สั่นสะท้านทั้งกายใจ

อานุภาพกระบี่น่ากลัวนัก!

ไกลออกไปหลินสวินยืนอยู่กลางอากาศ ภาพที่น้ำค้างถูกโจมตีนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตาดำลุ่มลึก ในใจไม่หวั่นไหว

ต้องใช้อภินิหารหยุดเวลาถึงจัดการอีกฝ่ายได้ เห็นได้ว่าน้ำค้างรับมือยากขนาดไหน ไม่ด้อยไปกว่าเหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเหิงเทียนซั่ว เหวินเทาเลวี่ย ลั่วเสินซู

แต่หลินสวินคิดว่าคุ้มค่า!

ทวนในที่แจ้งหลบง่าย ศรในที่ลับกันยาก ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สิ่งที่น่าหวาดหวั่นที่สุดเกรงว่าจะเป็นมือสังหารที่จู่ๆ ก็จะบุกออกมาเมื่อไรก็ไม่รู้ได้เหล่านั้น

“ใครใจกล้ากระทำการสังหารในเมืองเช่นนี้!”

ทันใดนั้นเสียงตะคอกเย็นชาระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น เหล่าผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองเคลื่อนตัวมาทางนี้ราวกับกระแสเชี่ยวดำทะมึน

หลินสวินนิ่วหน้า มองไปโดยรอบกลับพบว่าไม่มีทางซ่อนตัวหรือหลบหนีแล้ว

“หลินสวินหรือ”

“เป็นคนผู้นี้อีกแล้ว!”

“เจ้าหมอนี่ ช่างเป็นตัวหายนะจริงๆ…”

ฐานะของหลินสวินถูกจำได้ในทันที ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองเหล่านั้นต่างสีหน้าอึมครึม ขมวดคิ้วขึ้น

แต่ในขณะเดียวกันแววหวาดหวั่นเคร่งเครียดก็เผยขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาอยู่กลายๆ

ในเมืองยอดยุทธ์หลายวันก่อน ขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูล อย่างตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง และตระกูลลั่ว รวมตัวกันจัดการหลินสวิน ก่อให้เกิดการสังหารนองเลือดที่สะเทือนไปทั้งเมือง

ตอนนั้นหลินสวินก็สำแดงพลังต่อสู้เย้ยฟ้าที่พาให้ทั้งเมืองหวาดผวา สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามตระกูลจนเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ถึงกับทำให้บรรพจารย์มรรคสามคนยังทำอะไรไม่ได้

และวันนี้ เมื่อได้เห็นว่าคนที่เปิดฉากต่อสู้ในเมืองก็คือหลินสวินอีก ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองเหล่านี้จะไม่หวาดหวั่นได้อย่างไร

บุคคลที่สามารถทิ้งชื่อไว้บนกระดานเร้นลับของศิลาศึกข้ามแดน

บุคคลเย้ยฟ้าที่ใช้พลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ดก็กำราบบรรพจารย์มรรคเหวินเทาเลวี่ยได้ในการต่อสู้ซึ่งหน้า

ตำนานที่ตกอยู่กลางวงล้อมโจมตีเป็นชั้นๆ ในโบราณสถานมหามรรค แต่กลับรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์

บารมีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้รวมอยู่ที่คนผู้เดียว ต่อให้เขามาจากมิติโลกจักรวาลอันทรุดโทรมอย่างทางเดินโบราณฟ้าดารา แต่ใครยังจะกล้าดูเบาเขาแม้สักนิด

บรรยากาศในที่นั้นบีบคั้น ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองราวกระแสธารปิดผนึกบริเวณนี้เอาไว้ เตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว กลิ่นอายน่าครั่นคร้าม

ไกลออกไปอีก ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างมองอยู่ แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้างไม่หยุด

ใช่แล้ว พวกเขาเองก็จำฐานะของหลินสวินได้ ในใจหวาดหวั่นนัก ทั้งยังทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ เจ้าคนร้ายกาจผู้นี้… จะหาเรื่องเก่งเกินไปแล้ว!

วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกที่กลับมาจากโบราณสถานมหามรรคเท่านั้นก็เคลื่อนไหวใหญ่โตปานนี้ นี่ช่างไม่เห็นจวนเจ้าเมืองอยู่ในสายตาสักนิด

“หลินสวิน คราวก่อนเป็นเพราะเจ้าเมืองแทรกแซง สลายวิกฤตให้เจ้า เจ้ายังไม่รู้สำนึกบุญคุณ กลับได้คืบจะเอาศอก ช่าง… ไม่สนขื่อแปเกินไปแล้วกระมัง”

หัวหน้าผู้คุ้มกันที่นำหน้ามาคนหนึ่งเอ่ยเสียงเข้ม แววตาเผยความเย็นชา

“ข้าถูกมือสังหารแดนเร้นนภาซุ่มโจมตี ก่อนหน้านี้เพียงแค่ป้องการตัวเท่านั้น” หลินสวินสีหน้าราบเรียบ

แดนเร้นนภา!

คำนี้ราวกับมีเวทมนต์ ทำให้ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองเหล่านั้นต่างใจสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

และไกลออกไปอีกก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้น

แดนเร้นนภา นั่นเป็นถึงขุมอำนาจมือสังหารที่ลึกลับที่สุดในโลกยอดนิรันดร์ ภูมิหลังเก่าแก่หาใดเทียบ ในกาลเวลาอันไร้สิ้นสุดนี้ เป้าหมายที่พวกเขาหมายหัวไม่มีใครรอดเลยสักคน!

ต่อให้เป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น โดยทั่วไปก็ไม่อยากหาเรื่องแดนเร้นนภาสักนิด มองแดนเร้นนภาพเป็นสัตว์ร้ายหายนะ กลัวแต่จะหลบไม่ทัน

“ตามที่ข้ารู้มา ถ้ามือสังหารแดนเร้นนภาลงมือไม่เคยมีใครรอด เจ้าแน่ใจนะว่าพูดความจริง”

หัวหน้าผู้คุ้มกันที่นำหน้ามาสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ

หลินสวินหัวเราะหยันอย่างห้ามไม่อยู่ “บังเอิญจริง ตั้งแต่ข้าเข้าแดนใหญ่พันศึกมาจนตอนนี้ก็สังหารมือสังหารแดนเร้นนภาไปแล้วสองคน ก่อนหน้านี้คนหนึ่งที่มีนามว่านกกระเรียน คนในตอนนี้มีนามว่าน้ำค้าง ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อ จะไปตรวจสอบดูก็ได้ว่าภายหน้าสองคนนี้จะยังปรากฏตัวอีกหรือไม่”

ทั้งที่นั้นอึกทึกครึกโครม ผู้คนเผยสีหน้าตกตะลึง รู้สึกทำใจเชื่อได้ยาก

นกกระเรียน!

ถ้าพูดชื่อนี้ เพียงแค่เขย่าขวัญระดับมหาจักรพรรดิที่อยู่ต่ำกว่าบรรพจารย์ขั้นเก้าได้

แต่เมื่อเอ่ยถึงชื่อน้ำค้าง ก็เพียงพอจะทำให้บรรพจารย์มรรคยังหวั่นใจ!

แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นนกกระเรียนหรือน้ำค้าง ถึงกับถูกหลินสวินคนเดียวฆ่า ความหมายที่อยู่ในนี้น่าสะท้านใจเกินไป

‘น้ำค้างถึงกับพลาดแล้ว…’

หัวหน้าผู้คุ้มกันก็สีหน้าลอกแลกไปครู่หนึ่ง สูดหายใจสะท้าน เมื่อมองดูหลินสวินอีกครั้ง ความหวาดหวั่นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้ามีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับหลินสวินว่า “เรื่องนี้พวกเราจะสืบให้แน่ชัด แต่ก่อนหน้านี้ยังขอให้เจ้าไปจวนเจ้าเมืองกับพวกเรา ขอเพียงหลักฐานที่พวกเรารวบรวมมาสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เจ้าไม่ได้ก่อขึ้นเอง ย่อมปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ”

คำพูดเช่นนี้เรียกได้ว่าไม่อาจจับผิด ทั้งเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่และให้เกียรติหลินสวิน

จากเรื่องนี้ยังดูออกด้วยว่าเขาก็กลัวหลินสวินเป็นที่สุด เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าจะไม่พูดอะไรสักนิดก็จะดาหน้าไปกำราบแล้ว

หลินสวินนิ่วหน้าเอ่ย “ข้าวางแผนว่าจะออกจากเมืองยอดยุทธ์พรุ่งนี้ ไม่ได้มีเวลาให้พวกเจ้ารวบรวมหลักฐานเท่าไร”

“หลินสวิน ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าสร้างความลำบากให้พวกเรา หาไม่แล้วทั้งเจ้าและข้าต่างจะลำบากกันหมด” หัวหน้าผู้คุ้มกันสีหน้าไม่น่ามอง

ถ้าหลินสวินดึงดันต่อต้าน เช่นนั้นก็เหลือเพียงทางเลือกเดียวแล้ว…

ใช้กำลัง!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด