Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2518 ลาก่อนไป๋เจี้ยนเฉิน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2518 ลาก่อนไป๋เจี้ยนเฉิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2518 ลาก่อนไป๋เจี้ยนเฉิน

บรรยากาศอึดอัดกำลังแผ่ขยาย ฟ้าดินแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยไอสังหารดุจกระแสน้ำอย่างเงียบเชียบ

แม้ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองเหล่านั้นจะสีหน้าเคร่งเครียดและหวาดหวั่นใจหาใดเทียบ แต่ไม่มีใครถอยร่น

ว่ากันถึงแก่น ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเป็นผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองนั้น ชะตาชีวิตของพวกเขาก็หาใช่สิ่งที่ตนจะควบคุมได้แล้ว

หลินสวินสีหน้าไม่ไหวหวั่นเช่นเคย

เขาจะไม่ถอย

เมื่อเข้าไปในจวนเจ้าเมือง ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แต่ก็ในตอนที่หลินสวินกำลังจะเอ่ยปาก เสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น “คนที่ตายไปเมื่อครู่คือมือสังหารน้ำค้างจากแดนเร้นนภาจริงๆ”

พร้อมกับเสียงนี้ ไป๋เจี้ยนเฉินผู้มีผมขาวดุจหิมะ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเด็กหนุ่มก็เดินมาจากไกลๆ

“คารวะใต้เท้าเจ้าเมือง!” ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองเหล่านั้นต่างถอนหายใจโล่งอก การเผชิญหน้ากับหลินสวินทำให้พวกเขากดดันยิ่งนัก และการปรากฏตัวของไป๋เจี้ยนเฉินก็ทำให้พวกเขาหาที่พึ่งพิงได้

“พวกเจ้าถอยไปเถอะ ข้าอยากคุยกับเขาตามลำพัง”

ไป๋เจี้ยนเฉินทอดสายตามองไปยังหลินสวิน

พลันนั้นผู้คุ้มกันที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็รับคำสั่งจากไป

“พวกเราหาที่ดื่มกันสักจอกสองจอกดีไหม” ไป๋เจี้ยนเฉินเอ่ย

หลินสวินคิดๆ แล้วพยักหน้าตอบรับ

……

ในหอสุราแห่งหนึ่ง

กับแกล้มสองจาน เหล้าเก่าหนึ่งไห

หลินสวินกับไป๋เจี้ยนเฉินนั่งตรงข้ามกัน

ไป๋เจี้ยนเฉินรินเหล้าให้หลินสวินจอกหนึ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “จะไปพรุ่งนี้แล้วหรือ”

หลินสวินเอ่ย “ได้เวลาไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเกรงว่าข้าจะกลายเป็นตัวหายนะที่ทุกคนในจวนเจ้าเมืองต่อต้าน”

ไป๋เจี้ยนเฉินหลุดหัวเราะ ชนจอกกับหลินสวินแล้วแหงนหน้าดื่มจนหมด เขาลิ้มรสสุราที่อยู่ในปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นด่านนภาอมตะด่านไหนก็มีกฎของด่านนั้นๆ อยู่ แต่ผู้ที่ถูกกฎผูกมัด โดยทั่วไปไม่ใช่พวกร้ายกาจอะไร ส่วนผู้ที่ละเมิดกฎ แทบจะเป็นผู้ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งนั้น อย่างเช่นผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะ ต่อให้ฆ่าคนในเมือง แม้แต่เจ้าเมืองยังทำได้แค่ปิดตาข้างหนึ่ง”

หลินสวินเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดไป๋เจี้ยนเฉินอยู่บ้าง

“ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่า ต่อให้เจ้าไม่ได้มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะของโลกยอดนิรันดร์ แต่ข้าก็สามารถปิดตาข้างหนึ่งได้เหมือนกัน”

ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ย่อมมีสาเหตุ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ข้าไม่ได้มั่นใจไปเสียหมดว่าจะสามารถรั้งเจ้าอยู่ในเมืองยอดยุทธ์ได้”

นี่เท่ากับยอมรับพลังต่อสู้ของหลินสวินแล้ว!

“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว” หลินสวินเอ่ย

ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเชื่อในการตัดสินของข้า อีกอย่างเรื่องในคืนนี้ ข้าสามารถบอกได้ว่าสาเหตุที่น้ำค้างกล้าลงมือ ก็เพราะได้รับความยินยอมจากข้า”

หลินสวินนัยน์ตาหดรด มองไปที่ไป๋เจี้ยนเฉินโดยพลัน

ไป๋เจี้ยนเฉินดูเรียบเฉยและสงบนิ่งนัก เอ่ยว่า “ตั้งแต่ตอนที่เจ้ากับพวกเหวินเทาเลวี่ยสู้กันอยู่ในเมืองเมื่อหลายวันก่อน น้ำค้างก็คิดจะลงมือแล้ว ข้าเป็นคนออกหน้ายับยั้งนางไว้เอง หาไม่แล้วการลอบสังหารคราวนี้จะเกิดเร็วขึ้น”

หลินสวินนิ่วหน้า “เช่นนั้นคืนนี้ล่ะ”

ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มเอ่ย “สามารถกำจัดภัยคุกคามที่แอบแฝงอยู่จากในเมืองยอดยุทธ์ สำหรับเจ้าแล้วน่าจะเป็นเรื่องดีถึงจะถูก”

“แต่ถ้าเกิดข้าประสบเคราะห์ล่ะ” หลินสวินเอ่ย

ไป๋เจี้ยนเฉินดื่มเหล้าจอกหนึ่งแล้วถึงกล่าวง่ายๆ ว่า “ถ้าเจ้าประสบเคราะห์ ข้าก็สามารถรายงานผลงานให้คนผู้หนึ่งได้พอดี”

หลินสวินยิ่งไม่เข้าใจ เลิกคิ้วเอ่ยว่า “นอกจากน้ำค้างคนนี้ ยังมีคนอยากจัดการข้าอีกหรือ มิหนำซ้ำมีแต่ข้าตาย ถึงให้ผู้อาวุโสเช่นท่านไปรายงานได้หรือ”

ไป๋เจี้ยนเฉินพยักหน้า ดวงตาปรากฏแววซับซ้อนน่าประหลาดสายหนึ่ง “ไม่ผิด”

“พูดแบบนี้ ผู้อาวุโสก็ต้องการจัดการข้าหรือ” หลินสวินถาม สีหน้าดูอารมณ์ไม่ออก พูดอีกอย่างก็คือไม่มีคลื่นความรู้สึกใดๆ

ไป๋เจี้ยนเฉินหัวเราะหยัน “ในเมืองยอดยุทธ์แห่งนี้ ถ้าข้าอยากข้าฆ่าเจ้าจริงๆ ยามน้ำค้างลงมือ คงเคลื่อนกำลังพลทั้งหมดของจวนเจ้าเมืองวางตาข่ายปิดล้อมไปพร้อมกันแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น บางทีเจ้าอาจมีไพ่ตายอะไรอยู่ แต่เจ้าคิดว่าข้าไป๋เจี้ยนเฉินจะไม่มีหรือ”

หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แต่ในสายตาข้า ต่อให้ผู้อาวุโสใช้ทุกวิถีทาง ก็ไม่มีทางรั้งข้าไว้ได้ แม้จะใช้ไพ่ตายที่ข้าไม่รู้บางอย่าง… ก็ไม่ได้”

ไป๋เจี้ยนเฉินอึ้งไป คล้ายผิดคาดอยู่บ้าง จ้องมองหลินสวินอยู่พักหนึ่งถึงยิ้มขื่นเอ่ยว่า

“ดังนั้นเจ้าก็มองออกแล้วว่าที่ตอนนั้นข้าไม่ได้ทำเช่นนี้ สาเหตุก็อย่างที่พูดเมื่อครู่ ในใจไม่ได้มั่นใจว่าจะชนะเจ้าอย่างเบ็ดเสร็จ”

หลินสวินถอนใจเบาๆ “ว่ากันถึงที่สุด เพียงเพราะผู้อาวุโสไม่มั่นใจ ถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะจัดการข้าใช่หรือไม่”

ไป๋เจี้ยนเฉินร้องอืมแล้วกล่าวว่า “แม้ข้าจะรู้ว่านี่จะทำให้เจ้าต่อต้านและมองข้าเป็นศัตรู แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความจริง ข้าย่อมไม่ปิดบัง”

กล่าวจบเขาก็ดื่มเหล้าอีกจอกหนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยทอดถอนใจ “บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องดีอย่างไม่มีสาเหตุ ข้าในฐานะเจ้าเมือง ที่ยอมพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็มีสาเหตุอยู่สองประการ”

“ข้อแรก ข้าดูออกว่ายายหนูโยวหรันนั่นมองเจ้าเป็นสหาย มีไมตรีให้ไม่น้อย ส่วนจะเป็นความรักอย่างชายหญิงหรือไม่ ข้าก็ไม่สะดวกใจจะเดาเอง แต่แค่เรื่องนี้ข้าก็ไม่อยากทำให้เจ้าลำบากมากเกินไป หาไม่เมื่อหลายวันก่อนก็คงไม่แทรกแซงการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูล”

“ข้อสอง เจ้ามีความลับอยู่กับตัวมากเกินไป ทำให้ข้าไม่อาจมองขาด แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ข้าแค่รู้ว่าพลังที่เจ้ามีคงแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคาดไว้ ถ้าภายหน้ามีชีวิตรอดไปได้ จะต้องประสบความสำเร็จอันเยี่ยมยอดเป็นแน่ การเป็นศัตรูกับเจ้าเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ สู้พูดให้ชัดเจนไปเลยเสียดีกว่า ต่อให้ทำให้เจ้ารู้สึกต่อต้านในใจ อย่างน้อย… ภายหน้าก็จะไม่คิดแค้นข้า”

ถ้อยคำนี้พูดออกมาอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้ง

หลินสวินฟังจบก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่าหลังจากรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เขาก็ไม่อาจมีความคิดในแง่ลบกับไป๋เจี้ยนเฉินได้อีกจริงๆ

“เช่นนั้นผู้อาวุโสจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าใครอยากฆ่าข้าอีก ถึงขั้นยังทำให้ผู้อาวุโสไม่อาจปฏิเสธได้” หลินสวินเอ่ยถาม

ไป๋เจี้ยนเฉินถอนหายใจเฮือกยาว ยกจอกเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าก่อน”

หลินสวินไม่ได้ซักต่อ ยกจอกร่วมดื่มกับอีกฝ่าย

กระทั่งดื่มสุราหมดไปไหหนึ่ง จู่ๆ ไป๋เจี้ยนเฉินก็เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าในเมืองยอดยุทธ์แห่งนี้ ใครสามารถทำให้ข้ากลุ้มใจกับการจัดการเจ้าได้ขนาดนี้”

“ย่อมเป็นคนที่กระทั่งผู้อาวุโสยังยากจะล่วงเกิน” หลินสวินเอ่ย

ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มน้อยๆ ก่อนหยัดตัวลุกขึ้นเอ่ยว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าควรไปได้แล้ว ถ้าวันหน้าเจ้ารอดชีวิตและปรากฏตัวที่น่านฟ้าที่เจ็ด ข้าจะเชิญเจ้ามาดื่มเหล้าด้วยกันอีกครั้งแน่”

เขาหันหลังจะจากไป

หลินสวินคล้ายเดาอะไรได้ เอ่ยขึ้นว่า “อวิ๋นมู่เจอหรือ”

ไป๋เจี้ยนเฉินชะงักเท้า หัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้ ไม่ได้ตอบกลับ แต่เปลี่ยนเรื่องไปว่า

“บนโลกนี้ไม่มีเรื่องดีอย่างไม่มีสาเหตุ ก็ย่อมไม่มีเรื่องร้ายอันไร้ที่มาที่ไปเช่นกัน เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผล แต่ข้าเดาไม่ออก ตอนนี้ก็คร้านจะไปคาดเดาอีก วันหน้า… เจ้าก็ไปถามหาเหตุผลเอาเองเถอะ”

เขาตรงดิ่งจากไป

ผมขาวดุจหิมะปลิวไสว เดินเข้าไปในราตรีอันมืดมิด

“ผู้อาวุโส อีกไม่นานมารเทพตี้สือที่อยู่ในโบราณสถานมหามรรคก็จะหลุดออกมา ท่านต้องระวังด้วย” หลินสวินลุกขึ้น มองส่งอีกฝ่ายจากไป

ไป๋เจี้ยนเฉินโบกมือโดยไม่หันหลังมา แสดงออกว่ารู้แล้ว

กระทั่งเงาร่างของเขาหายลับไป หลินสวินถึงนั่งลงอีกครั้ง สั่งเหล้าอีกกามาดื่ม

ขณะที่ค่อยๆ ขบคิดคำพูดของไป๋เจี้ยนเฉินเมื่อครู่ สีหน้าของหลินสวินก็แปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น

เขาเพิ่งรู้เอาตอนนี้ ว่าเบื้องหลังการปรากฏตัวครั้งนี้ของน้ำค้าง ถึงกับยังมีความจริงอันพิสดารเช่นนี้ซ่อนอยู่!

‘เป็นเขาจริงๆ หรือ…’

หลินสวินนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เขาได้พบอวิ๋นมู่เจอในงานเลี้ยงคราวก่อน นึกย้อนทุกการกระทำของตนในตอนนั้นโดยละเอียด แต่กลับคิดไม่ออกว่าตนไปล่วงเกินมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่บารมีสาดส่องในน่านฟ้าที่เจ็ดผู้นี้ตรงไหนกันแน่

‘ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาประมาณหนึ่ง ชื่นชมเจ้านัก ถ้าภายหน้าพบกับความยุ่งยากอะไร สามารถแจ้งชื่อข้าไปได้ คิดว่าในแดนใหญ่พันศึกแห่งนี้ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง’

‘จำไว้ว่าข้าชื่ออวิ๋นมู่เจอ’

เงาร่างชุดหยกที่รูปลักษณ์หล่อเหลากับเสียงนั้น เหมือนยังอยู่ตรงหน้า

แต่หลินสวินกลับตระหนักได้ว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนสง่างามเปล่งประกาย สุภาพอ่อนน้อมผู้นั้น เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะมีเจตนาสังหารตนมานานแล้ว

‘บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องร้ายอันไร้ที่มาที่ไป เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผล…’ หลินสวินนึกถึงคำพูดที่ไป๋เจี้ยนเฉินเอ่ยก่อนจากไป จมสู่ภวังค์

ครู่ใหญ่เขาก็ดื่มสุราในการวดเดียวหมดแล้วหมุนตัวจากไป

“นกกระจอกเขียว ช่วยข้าเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับอวิ๋นมู่เจอผู้นี้ที ยิ่งละเอียดยิ่งดี”

กลางราตรี หลินสวินเดินมือไพล่หลังไปบนถนนในเมือง

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ารู้จักคนผู้นี้” นกกระจอกเขียวประหลาดใจ

“คนผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในสิบมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิในน่านฟ้าที่เจ็ด ถ้าเจ้าไม่รู้จัก นั่นถึงเรียกว่าผิดปกติ” หลินสวินยิ้ม

ขณะที่พูดเขาก็เดินเข้าไปใกล้ร้านค้าร้านหนึ่งแล้ว

ในโบราณสถานมหามรรคเขาได้รับทรัพย์หลังศึกมามาก จึงคิดจะเอาสมบัติที่ใช้ไม่ได้เหล่านั้นมาขายทิ้งทั้งหมด

“ได้” นกกระจอกเขียวรับปาก

ราตรีอันเนิ่นนานผ่านไปในที่สุด เมืองยอดยุทธ์ต้อนรับวันใหม่

หลินสวินตื่นขึ้นในห้องในโรงเตี๊ยมแล้วมุ่งหน้าไปจวนเจ้าเมืองทันที นำมุกบรรจุมรรคที่ได้มาจากวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิซึ่งจำเป็นต่อการผ่านการทดสอบออกมา

ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองต่างสีหน้าซับซ้อน สายตาที่มองหลินสวินเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนถึงขั้นกริ่งเกรง

เมื่อคืนเพราะได้รับการยืนยันจากเจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉิน ทำให้พวกเขารับรู้ได้ในที่สุด ว่ามือสังหารน้ำค้างแห่งแดนเร้นนภาพผู้เป็นดั่งตำนานคนนั้นถูกหลินสวินฆ่าจริงๆ

นี่จึงทำให้ยามเผชิญหน้ากับหลินสวิน พวกเขาจึงไม่กล้าเผอเรอสักนิด

ไม่นานนักหลินสวินก็ได้รับป้ายยืนยันสำหรับเปิดค่ายกลเคลื่อนย้าย และมุ่งหน้าจากไป

เส้นทางแห่งจักรพรรดิยากลำบาก

และการเดินทางในแดนใหญ่พันศึกย่อมยังอีกยาวไกลนัก

สำหรับหลินสวินแล้ว เมืองยอดยุทธ์เป็นแค่ด่านหนึ่งในการเดินทางครั้งนี้ บนหนทางข้างหน้า เขายังต้องเผชิญอันตรายและความท้าทายนับไม่ถ้วนที่มาเยือน

แต่หลินสวินไม่หวั่นกลัว

วันนั้น เขาก็เดินทางจากไป

“ดาวพิฆาตนี่ไปสักที…”

หลังจากผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองที่เฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายมองดูเงาร่างหลินสวินหายลับไป ต่างถอนหายใจโล่งอกอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

จากนั้นแววตาของพวกเขาก็ปรากฏแววทอดถอนใจ

ชายหนุ่มจากทางเดินโบราณฟ้าดาราคนหนึ่งกลับสร้างชื่อเสียงโด่งดังปานนี้ได้ หากวันหนึ่งเขาไปถึงโลกยอดนิรันดร์ได้จริงๆ จะเปล่งรัศมีสะดุดตาปานไหนกัน

‘หลินสวินเอ๋ยหลินสวิน คนตระกูลเหวิน เหิงและลั่วที่ไม่ได้กลับมาจากโบราณสถานมหามรรคเหล่านั้น เกรงว่าจะถูกเจ้าฆ่าหมดแล้วกระมัง…’

‘และหายนะที่โบราณสถานมหามรรคซึ่งถูกสยบลงนั่น จะเกี่ยวกับเจ้าด้วยหรือไม่’

‘ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะตั้งตาคอยวันที่เจ้ารอดไปถึงโลกยอดนิรันดร์…’

ที่จวนเจ้าเมือง ไป๋เจี้ยนเฉินปรารภอยู่ในใจ ผมขาวราวหิมะทั้งหัวปลิวไสวไปกับสายลม

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด