Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2669 ลายเทพไร้ขอบเขต

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2669 ลายเทพไร้ขอบเขต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2669 ลายเทพไร้ขอบเขต

“นี่เป็นทรัพย์หลังศึกของเจ้า”

ลู่ป๋อหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เอาสมบัติเก็บของชิ้นหนึ่งส่งให้หลินสวิน

หลินสวินเปิดดู ก็เห็นว่าแค่ศาสตรามรรคจักรพรรดิก็มีสิบกว่าชิ้นแล้ว!

นอกจากนี้ยังมีเจตวัตถุที่มีวัตถุอมตะอยู่ไม่น้อย มูลค่าน่าตกตะลึงเป็นที่สุดเช่นกัน

ในใจหลินสวินยังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ฐานะของระดับอมตะเหล่านี้จะมั่งคั่งเกินไปแล้ว

อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะบรรลุระดับอมตะ ถึงตอนนั้นหากต้องการหลอมเตากระบี่ให้เป็นศาสตรามรรคอมตะโดยสมบูรณ์ เกรงว่าจำนวนวัตถุอมตะที่จำเป็นจะน่าตกตะลึงเป็นที่สุด

และทรัพย์หลังศึกพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดีจริงๆ

“ข้าสั่งการลงไปแล้วว่าถ้าไม่มีเรื่องสำคัญใครก็มารบกวนเจ้าไม่ได้ ช่วงนี้เจ้าก็อยู่ที่ยอดเขาต้นกกแห่งนี้อย่างสบายใจเถอะ”

ลู่ป๋อหยากำชับอีกครั้งแล้วลุกจากไป

หลินสวินลุกขึ้นจากเตียง พ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง

หนึ่งเดือนแล้ว มรรควิถีกับสารกายและพลังชีวิตที่แทบเหือดแห้งของเขาฟื้นกลับมาไม่น้อยแล้ว แต่ยังอ่อนแอนัก อย่างน้อยยังต้องใช้เวลาสามถึงห้าเดือนถึงจะฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์

‘คราวหลังถ้าไม่ใช่ภัยคุกคามถึงชีวิต จะไม่สู้ขนาดนี้อีกแล้ว…’

หลินสวินลอบเตือนตัวเอง

ศึกใหญ่กับเหล่าระดับอมตะอย่างพวกเหวินเทียนซาง แม้จะชนะในที่สุด แต่ค่าตอบแทนที่แลกไปกลับมากมายเกินไปแล้ว

ระเบียบอสนีม่วงระดับปฐพีขั้นแปดถูกผลาญไปจนหมด ขนาดกำลังกับพลังชีวิตของตัวเขาเองยังแห้งเหือด ถึงขั้นหมดสติกลางสนามรบ

นี่ยังดีที่อยู่ในตระกูลลั่ว หากเปลี่ยนเป็นที่อื่น แค่มีศัตรูสักคนมาเยือนอีกก็สามารถเอาชีวิตเขาได้แล้ว!

โลกภายนอกเกิดคลื่นถาโถม แต่ทุกอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับหลินสวินแล้ว

ตั้งแต่วันนี้ไปเขาแทบจะไม่ออกจากยอดเขาต้นกกแม้แต่ครึ่งก้าว

รักษาบาดแผล ฝึกปราณ อนุมานกระบวนผนึกตำราเทพไร้ขอบเขตเก้ากระบวน…

ลู่ป๋อหยา ลั่วเซียวและลั่วชิงเหิงจะมาดื่มสุราพูดคุยกับเขาเป็นครั้งคราว เรื่องที่พูดคุยกันก็เกี่ยวกับการฝึกปราณเป็นส่วนใหญ่ น้อยนักที่จะพูดถึงเรื่องโลกภายนอก

……

กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วดุจกระสวย

ไม่กี่เดือนผ่านไป

ยอดเขาต้นกก ทะเลหมอกคลุมเครือ สนไผ่วูบไหว

หลินสวินในชุดขาวพระจันทร์นั่งเอกเขนกอยู่บนหินผาก้อนหนึ่ง ตำราเทพไร้ขอบเขตลอยอยู่เบื้องหน้าเขาเงียบๆ แผ่คลื่นเย็นเยียบ ไพศาล และลึกลับออกมา

ยามนี้สีหน้าเขาสงบนิ่ง มือทั้งสองทำมุทราไม่หยุด ควบรวมวิชาอันคลุมเครือและลึกลับเป็นสายๆ ออกมา

เบื้องหน้าเขา พื้นผิวตำราเทพไร้ขอบเขตส่องแสงเรืองรอง สะท้อนลวดลายกระบวนผนึกลายมรรคออกมาเป็นชั้นๆ

ตูม!

ไม่นานนักกระบวนผนึกลายมรรคกระบวนหนึ่งในนั้นก็ปลดปล่อยเปลวเพลิงถาโถมออกมาทันที อักขระมากมายวาววาบไหววูบ สำแดงนัยเร้นลับออกมานับไม่ถ้วน

ท่ามกลางความเลือนราง มีเงามายาดุจทวยเทพเงาหนึ่งยืนอยู่กลางกระบวนผนึกเปลวเพลิงนั้น ศีรษะสวมมงกุฎจักรพรรดิ ชุดสีชาดทั้งตัว เงาร่างสูงตระหง่าน พลานุภาพเหิมเกริมดุดัน ประหนึ่งเทพแห่งเปลวเพลิงที่ถือกำเนิดในกาลก่อน!

เมื่อเงามายาดุจทวยเทพนี้ปรากฏ ทั้งกระบวนผนึกลายมรรคก็เกิดเสียงกึกก้อง วิวัฒน์เป็นนัยเร้นลับดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับเพลิงมหามรรคนับหมื่นพัน

ในที่สุดกระบวนผนึกดุจเปลวเพลิงนี้ก็แปลงเป็นลวดลายลายมรรค ลอยคว้างอยู่ข้างกายหลินสวิน เปลวเพลิงนับไม่ถ้วนโอบล้อม

และพร้อมๆ กับการทำมุทราของหลินสวิน ไม่ทันไรในกระบวนผนึกเก้ากระบวนที่ปกคลุมบนตำราเทพไร้ขอบเขต ก็มีกระบวนผนึกอีกกระบวนทะยานฟ้าออกมาพร้อมเสียงดังสนั่น

กระบวนค่ายกลที่พลิกโหมนี้ประหนึ่งสายน้ำที่โอบล้อมปวงสวรรค์ สำแดงนัยเร้นลับแห่งหมื่นวารีทั่วหล้า ลายมรรคไร้สิ้นสุดบางครั้งถาโถมห้อตะบึง บางครั้งเรียบสงบดั่งคันฉ่อง บางครั้งซัดคลื่นน้ำเทียมฟ้า บางครั้งเฉกเช่นลมฝนยามวสันต์…

ท่ามกลางความคลุมเครือ ก็มีเงาร่างหนึ่งอุบัติขึ้นในกระบวนผนึกลายมรรคนั้นเช่นกัน สวมชุดดำทั้งตัว เงาร่างพร่าเลือน ถูกกระแสน้ำนับไม่ถ้วนโอบล้อม พลานุภาพเกรียงไกรไพศาล ประหนึ่งเทพกาลก่อนที่ควบคุมวารีทั่วหล้าองค์หนึ่ง!

ไม่นานนักกระบวนผนึกนี้ก็กลายเป็นลาดลายลายมรรคลอยอยู่หน้าหลินสวินเช่นกัน

และในช่วงต่อมา กระบวนผนึกกระบวนแล้วกระบวนเล่าก็ปรากฏขึ้นจากตำราเทพไร้ขอบเขต แปรเป็นนัยเร้นลับลายมรรคดั้งเดิมอย่างทอง ไม้ ดิน ลม สายฟ้า สุดท้ายก็แปลงเป็นลายมรรคลายแล้วลายเล่าล้อมรอบกายหลินสวิน

จวบจนยามลวดลายที่แปลงมาจากกระบวนผนึกทั้งเก้าเรียงตามลักษณะเก้าวังล้อมตัวหลินสวิน ในใจเขาพลันเกิดการหยั่งรู้นับไม่ถ้วน

กระบวนผนึกทั้งเก้า เป็นกระบวนค่ายกลพื้นฐานเก้าชนิดที่สืบทอดจากสำนักอาจารย์ท่านลู่

พวกมันถูกขนานนามว่า ‘เก้าลายเทพใหญ่’!

ได้แก่ลายเทพราชันไม้จักรพรรดิเขียว ลายเทพราชันทองจักรพรรดิขาว ลายเทพราชันน้ำจักรพรรดิดำ ลายเทพราชันเพลิงจักรพรรดิแดง และลายเทพราชันดินจักรพรรดิเหลือง

ห้าลายเทพใหญ่นี้ถูกเรียกอีกชื่อว่าลายเทพปัญจธาตุ

และถัดมาคือลายเทพเทพีวายะจักรพรรดิวายุ ลายเทพบุพปีศาจจักรพรรดิวิญญาณ ลายเทพจื่อเวยจักรพรรดิบูรพา และลายเทพราชันอสนีจักรพรรดิเร้น

รวมกับลายเทพปัญจธาตุ กลายเป็นมรดกลายมรรคที่สูงส่งสุดหยั่งอย่างหนึ่ง!

และในตอนนี้เมื่อหลินสวินขับเคลื่อนความคิด

เงาร่างจักรพรรดิเทเหล่านั้นล้วนสะท้อนออกมาจากลวดลายเทพเก้ากระบวนที่ล้อมรอบกายทันที แต่ละร่างอานุภาพเกรียงไกร สูงตระหง่านดุจทวยเทพ!

“โอม!”

หลินสวินพลันตาลืมตาเปล่งเสียงกัมปนาท เอ่ยท่วงทำนองอันคลุมเครือและแปลกประหลาดออกมา

ตูม!

ชั่วพริบตานี้พื้นผิวลายเทพที่ลอยอยู่บนห้วงอากาศพลันปลดปล่อยลายมรรคไพศาลออกมา ลายมรรคเหล่านี้ประหนึ่งฟ้าดาราอันกว้างใหญ่หนาแน่นและไร้สิ้นสุด

พวกมันโคจร รวมตัว ก่อร่างออกมาเป็นกระบวนค่ายกลหลากหลายไม่หยุด จากนั้นกระบวนค่ายกลเหล่านี้ก็แปรเปลี่ยนและร้องเรียกกันไม่ว่างเว้นสุดท้ายก็รวมตัวเป็นลายเทพใหม่ลายแล้วลายเล่า!

ชั่วขณะเดียวลายเทพแต่ละลายโคจรสะเทือนเลื่อนลั่น เปล่งแสงเจิดจ้า ละอองแสงเทพปะทุออกมามากมาย ฉายส่องให้ห้วงอากาศแห่งนี้เจิดจ้างามจรัส

ในนั้นมีทั้งแสงสว่าง ทั้งความมืด มีแสงดาวอันคลุมเครือเป็นเงามายา มีแสงทำลายล้างอันอึมครึมไม่ชัดเจน มีประกายวิญญาณศุภโชคอันเรืองรองที่เปลี่ยนรูปไปมา งดงามโชติช่วงถึงที่สุด

เห็นภาพนี้ในใจหลินสวินก็ยิ่งหยั่งรู้ได้อีกมาก

‘เก้าลายเทพใหญ่ ต่างสร้างระบบของตัวเอง แต่กลับเรียกหากัน แปรสภาพไปแตกต่างกัน และสามารถรวมเป็นกระบวนค่ายกลลายเทพที่แตกต่างกันได้…’

‘อย่างลายเทพแสงสว่าง ลายเทพรัตติกาล ลายเทพดวงดาราเป็นต้น…’

‘มรรคแปรสภาพไร้สิ้นสุด ลายเทพก็ไร้ขอบเขตเช่นกัน!’

กระทั่งต่อมาเมื่อหลินสวินทำมุทราอนุมานไม่หยุด เก้าลายเทพใหญ่หลอมรวมและแปรสภาพไม่ว่างเว้น ค่อยๆ รวมเป็นหนึ่งเดียวโดยสมบูรณ์อย่างช้าๆ

ก็ในตอนนี้เองตำราเทพไร้ขอบเขตเปล่งแสง เกิดคลื่นแปลกประหลาด พลันลอยขึ้นแล้วรวมเข้ากับเก้าลายเทพใหญ่ที่กลายเป็นหนึ่งเดียว

ตูม!

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นดั่งโลกแรกกำเนิด ลายเทพอันลึกลับสายหนึ่งสะท้อนออกมาจากตำราเทพไร้ขอบเขต

ลายเทพนี้ขุ่นมัวปะปนไปทั้งแถบ ลายมรรคไพศาล ไหลเวียนไม่หยุด แปรสภาพเป็นวงโคจรเร้นลับแตกต่างกันเป็นพักๆ ทำเอาเพียงแค่มองปราดเดียวยังรู้สึกจิตใจปั่นป่วน แทบจะกระอักเลือดออกมา

เพราะมันไพศาลเกินไป คล้ายเก็บนัยเร้นลับนับไม่ถ้วนทั่วหล้าไว้ในนั้น

ตอนนี้ต่อให้บรรพจารย์จักรพรรดิอยู่ตรงนี้ ก็ต้องรู้สึกหวาดผวาเหมือนวิญญาณถูกกลืนกิน!

และในสายตาหลินสวิน ลายเทพนี้ก็เรียกได้ว่าช่วงชิงศุภโชคทั้งปวง ลึกลับและน่ากลัวเกินไป เหมือนบรรจุต้นกำเนิดของลายมรรคทั่วหล้า

ก็ในตอนนี้เองหลินสวินถึงรู้ว่าลายเทพนี้มีนามว่า ‘ไร้ขอบเขต’!

มหามรรคไร้ขอบเขต ลายมรรคไร้สิ้นสุด!

และนี่ก็เป็นมรดกแกนหลักในสำนักอาจารย์ท่านลู่

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรเงาร่างลู่ป๋อหยาปรากฏอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้สีหน้ายังปรากฏแววตื่นเต้นยินดี

‘อาจารย์ แม้เมื่อแรกข้าไม่ได้ส่งต่อลายเทพไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้ก็ถือว่ามีผู้สืบทอดมันได้แล้ว!’

ลู่ป๋อหยารำพึงในใจ

เขาไม่ได้บอกหลินสวินว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาตั้งแต่เขากราบอาจารย์ฝึกปราณถึงตอนนี้ ก็ครอบครองนัยเร้นลับของเก้าลายเทพใหญ่เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่เคยหลอมรวมลายเทพทั้งเก้านี้อย่างแท้จริง

และนี่ก็ทำให้จนตอนนี้เขายังไม่อาจสัมผัสถึงนัยเร้นลับของ ‘ลายเทพไร้ขอบเขต’ ได้

ต้องพูดว่านี่เป็นความเสียใจอย่างหนึ่ง ความเสียใจที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของลู่ป๋อหยามานานปี

และตอนนี้ความเสียใจนี้สลายไปพร้อมกับที่หลินสวินเปิดตำราไร้ขอบเขต ครอบครองลายเทพไร้ขอบเขตโดยสมบูรณ์!

กระทั่งหลายวันผ่านไป

หลินสวินจึงตื่นจากการหยั่งรู้

และตอนนี้ นัยเร้นลับมรดกของลายเทพไร้ขอบเขตก็ถูกเขาได้ไปจนหมด!

‘ตำราเทพไร้ขอบเขต ลายเทพไร้ขอบเขต… ที่แท้ลายมรรคก็คืออักขระ คือรอยสลักวิญญาณ เป็นร่องรอยแห่งมหามรรค เป็นรากฐานแห่งกฎเกณฑ์ เป็นต้นกำเนิดของกระบวนผนึก…’

ความปรีดาอย่างไม่เคยมีมาก่อนผุดขึ้นในใจหลินสวิน การครอบครองมรดกลายเทพไร้ขอบเขตก็เหมือนเปิดประตูบานใหญ่สู่โลกใบใหม่!

ว่ากันโดยเคร่งครัดแล้วลายเทพไร้ขอบเขตเป็นมรดกที่พิเศษยิ่งนัก มรรคแห่งผนึกที่มันสำแดงมีคุณค่าอยู่ที่คำว่า ‘ไร้ขอบเขต’

เพราะหมื่นมรรคทั่วหล้านี้ไพศาลไร้สิ้นสุด ร่องรอยมหามรรคที่ประทับมีมากมายไม่รู้จบ และทุกอย่างนี้ต่างวิวัฒน์เป็นลายมรรค ควบรวมเป็นภาพมรรค รวมตัวเป็นกระบวนมรรค!

และรากฐานของลายเทพไร้ขอบเขต ก็คือเก้าลายเทพใหญ่นั้น

เมื่อมรรควิถียิ่งล้ำลึก ก็จะสามารถอนุมานนัยเร้นลับลายมรรคอันน่าเหลือเชื่อจากลายเทพไร้ขอบเขตได้มากยิ่งขึ้น สร้างพลังกระบวนผนึกที่แข็งแกร่งได้มากขึ้นไปอีก

นี่ก็คือความหมายของคำว่าไร้ขอบเขต!

‘ไม่รู้จริงๆ ว่ามรดกลายเทพไร้ขอบเขตนี้มาจากมือใคร ถึงกับน่าเหลือเชื่อขนาดนี้…’

ยามนี้หลินสวินยังอดทอดถอนใจไม่ได้ เจือแววสั่นสะท้าน

“สวินเอ๋อร์”

ลู่ป๋อหยาที่รอมาตลอดจนตอนนี้เอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มว่า “ตั้งแต่นี้ไปในศาสตร์ลายมรรค ข้าก็ไม่มีอะไรสอนเจ้าแล้ว มีมรดกลายเทพไร้ขอบเขต ตัวเจ้าในวันหน้าจะต้องเหนือกว่าข้าแน่”

หลินสวินรีบลุกขึ้นทันที เชิญลู่ป๋อหยาเข้ามานั่ง

“ถ้าไม่มีท่านลู่จะมีข้าในวันนี้ได้อย่างไร” หลินสวินยิ้มพูด

ลู่ป๋อหยาก็ยิ้ม หลังจากสนทนากับหลินสวินครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “สวินเอ๋อร์ เจ้าครอบครองเตากระบี่ที่สามารถต้านทานพลังระเบียบได้ ตอนนี้ยังครอบครองมรดกลายเทพไร้ขอบเขตอีก ข้าอยากแนะนำเจ้าให้ไปเขตผนึกเร้นในทะเลประหัตมารสักครั้งดู”

“เขตผนึกเร้นหรือ” หลินสวินแปลกใจ

“ใช่ เขตผนึกแห่งนั้นถือกำเนิดจากการแปรสภาพของระเบียบผนึกฟ้าประทาน มีทั้งสิ้นเก้าชนิด อานุภาพล้วนสูงกว่าระดับปฐพี ระเบียบผนึกพิฆาตในนั้นยิ่งให้กำเนิดวิญญาณระเบียบออกมาแล้ว กระบี่ผนึกพิฆาตที่ข้ามอบให้เจ้าตอนนั้นก็หลอมขึ้นจากระเบียบผนึกพิฆาตที่สยบได้”

ลู่ป๋อหยาพูดถึงตรงนี้ก็ออกจะหดหู่อย่างห้ามไม่อยู่ “น่าเสียดาย ตอนนั้นความสามารถข้ามีจำกัด สยบวิญญาณระเบียบนั้นไม่ได้”

หลินสวินได้ยินแล้วใจสะท้าน ระเบียบผนึกเก้าชนิด มิหนำซ้ำหนึ่งในระเบียบผนึกนั้นยังให้กำเนิดวิญญาณระเบียบ!

เขตผนึกเร้นนั้นจะมหัศจรรย์เกินไปแล้ว!

เขาเคยสัมผัสอานุภาพกระบี่ผนึกพิฆาตด้วยตัวเอง ตอนนั้นก็เพราะอาศัยกระบี่นี้ ถึงสังหารระดับอมตะอย่างเผยหรู เหอป๋อหยาง อวี่ไหว ลั่วฉงได้ทั้งหมด

และตอนนี้จากที่ท่านลู่พูด หากสยบวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตได้ นั่นก็จะต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด