Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2670 พบกันโดยบังเอิญ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2670 พบกันโดยบังเอิญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2670 พบกันโดยบังเอิญ

ในวันนั้นหลินสวินออกจากตระกูลลั่วมาคนเดียวอย่างเงียบเชียบ

ครึ่งเดือนผ่านไป

ณ เขตผนึกเร้น ทะเลประหัตมาร

หลินสวินมาถึงเขตผนึกแห่งนี้อย่างราบรื่นยิ่งตามคำแนะนำของลู่ป๋อหยา

ผืนน้ำสีดำซัดขึ้นลง ท้องฟ้าเหนือทะเลมีผนึกที่แปลงมาจากพลังระเบียบนับไม่ถ้วนตัดผ่าน ปกคลุมระหว่างผืนทะเลและท้องฟ้า มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด

พลังระเบียบนั้นถาโถมปั่นป่วน บ้าคลั่งไร้สิ้นสุด ต่อให้มองจากไกลๆ ก็ยังน่าหวาดผวา

ลือกันว่าเขตผนึกเร้นมีมาตั้งแต่แรกเริ่มกำเนิดโลกยอดนิรันดร์ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ เป็นเขตผนึกที่พอคนพูดถึงก็หน้าเปลี่ยนสีมาโดยตลอด

ต่อให้เป็นระดับอมตะยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในนั้นง่ายๆ!

หลินสวินจดจ้องจากไกลๆ อยู่นาน เอาม้วนหยกที่ท่านลู่มอบให้ออกมาพลิกอ่านอีกครั้ง

ในอดีตลู่ป๋อหยาเคยสำรวจเขตผนึกนี้หลายครั้ง ทั้งยังรู้นัยเร้นลับที่ไม่เป็นที่ล่วงรู้มากมาย

และประสบการณ์อันล้ำค่าเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลินสวินต้องการพอดี

ครู่หนึ่งผ่านไป

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏเหนือศีรษะหลินสวิน

สวบ!

เงาร่างเขาไหววูบ เคลื่อนตัวตรงแน่วไปในเขตผนึกเร้น

ตูม!

ระเบียบผนึกอันน่าครั่นคร้ามประหนึ่งคลื่นโหมซัดบ้าคลั่ง หลินสวินเพิ่งพุ่งเข้าไปก็ถูกโจมตีและพบเจอการกดข่มน่าอันหวาดหวั่นยิ่งยวด

นอกจากนี้ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไม่ว่างเว้น ประหนึ่งดวงดาราหมุนวน ทั้งยังเหมือนเศษเสี้ยวโลกนับไม่ถ้วนไหววูบอยู่ตรงหน้า

นี่เป็นโลกที่สร้างจากระเบียบผนึก อันตรายถึงที่สุด ทันทีที่ติดอยู่ในนั้น ต่อให้สามารถรอดชีวิตก็จะหลงทางอยู่ภายในไปชั่วชีวิต!

เพียงแต่ทั้งหมดนี้สำหรับหลินสวินแล้วไม่มีผลทั้งสิ้น

เมื่อเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งโคจร ก็ต้านทานและสลายพลังระเบียบผนึกอันดุดันนั้นไป ส่วนเขาก็ทะลวงผ่านโลกผนึกนับไม่ถ้วนนั้นโดยไม่หยุดหย่อน

ที่ทำให้หลินสวินตะลึงก็คือ แม้ระเบียบนิพพานจะสามารถต้านทานพลังระเบียบผนึกเหล่านั้นได้ แต่กลับไม่สามารถกลืนกินอีกฝ่ายอย่างง่ายดายได้เหมือนที่ผ่านมา

ประหนึ่งเจอกระดูกเคี้ยวยากเข้า ต่อให้เอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่พอหลอมก็จะดูดซับได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น

เทียบได้ว่าเมื่อก่อนยามต้านทานพลังระเบียบระดับปฐพีเหล่านั้น ระเบียบนิพพานสามารถกลืนกินได้หมดในคำเดียว และหลอมได้โดยสมบูรณ์

แต่ตอนนี้ทำได้เพียงตอดเล็มอีกฝ่ายเป็นคำเล็กๆ ทีละคำ

มิหนำซ้ำระเบียบผนึกที่ถูกหลอมได้ก็มีจำกัดอย่างที่สุด!

หลายครั้งระเบียบนิพพานมีประโยชน์แค่ต้านทานและกดข่มเท่านั้น ส่วนประโยชน์ด้านการหลอมกลับอ่อนแอยิ่งยวด

หลายปีนี้เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเห็นว่าระเบียบนิพพานถูกขัดขวาง

‘ระเบียบผนึกของที่นี่ไม่ธรรมดาดังคาด…’

หลินสวินครุ่นคิดไปพลาง มุ่งหน้าลึกเข้าไปอย่างระมัดระวังไปด้วย

จากการชี้แนะของลู่ป๋อหยา เขตผนึกเร้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก เทียบได้กับโลกใบหนึ่ง ยิ่งลึกเข้าไประเบียบผนึกที่ปกคลุมก็ยิ่งน่าครั่นคร้าม

ส่วนเขตผนึกเร้นใหญ่โตขนาดไหนกันแน่ กระทั่งลู่ป๋อหยาก็ยังไม่รู้

นี่ทำให้ยามหลินสวินออกเคลื่อนไหวจึงยิ่งระมัดระวังขึ้นเช่นกัน

หนึ่งถ้วยชาผ่านไป

แผ่นดินใหญ่อันแร้นแค้นแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ไกลลิบ ผืนดินแห้งผากมีสีดำแปลกประหลาด แสงดำพิสดารเป็นสายๆ ผุดออกมาเป็นพักๆ

พื้นที่ผนึกแสงดำ!

นี่เป็นสถานที่ที่ตอนนั้นลู่ป๋อหยามาถึง และก็เป็นที่แห่งนี้ที่ทำให้เขาสยบระเบียบผนึกพิฆาตสายหนึ่งได้สำเร็จ!

ทว่ายามหลินสวินมาถึงที่นี่ กลับพบอย่างคาดไม่ถึงว่าจะมีคนมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน!

มิหนำซ้ำยังมาเป็นกลุ่มด้วย!

ผู้นำเป็นชายชราชุดเหลืองผมขาว โดดเด่นดั่งเซียนพรต มือถือพัดขนนก แขนเสื้อใหญ่ไหวกระพือ กลิ่นอายทั้งร่างคลุมเครือลึกลับค

มองจากไกลๆ ก็ทำให้หลินสวินเกิดความรู้สึกอันตรายถึงที่สุด!

นี่เป็นความรู้สึกที่ต่อให้เผชิญหน้ากับระดับอมตะขั้นดับเทพอย่างพวกเหวินเทียนซาง เหิงจ้งกู่ก็ยังไม่มี!

“หืม?”

แทบจะในขณะเดียวกัน ชายชราชุดเหลืองคล้ายรับรู้ได้ หันมามองทางตำแหน่งที่หลินสวินอยู่ ในดวงตาแจ่มกระจ่างล้ำลึกนั้นฉายแววประหลาดใจอย่างอดไม่อยู่

ด้านหลินสวิน ชั่วพริบตาที่ถูกสายตาอีกฝ่ายจับจ้องร่างกายก็แข็งทื่อไปทันที ประสบการณ์ที่ห้ำหั่นกรำศึกมานานปีทำให้เขาตระหนักได้ ว่าชายชราชุดเหลืองคนนี้ต้องเป็นพวกน่ากลัวที่ตนในตอนนี้ไม่อาจต้านทานได้แน่

“น่าสนใจ มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิผู้หนึ่ง อาศัยศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของตัวเองก็มาถึงที่นี่ได้ น่าประหลาดใจจริงๆ”

ชายชราชุดเหลืองเอ่ยเจือยิ้ม

ข้างกายเขามีคนยืนอยู่สี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง งดงามหล่อเหลา สง่างามเกินธรรมดาเป็นที่สุด แต่ละคนต่างเป็นผู้มากพรสวรรค์ที่ในหมื่นคนยังหาไม่ได้

ขณะนี้ต่างมองมายังหลินสวินเช่นกัน เผยสีหน้าอึ้งงันและประหลาดใจในทีแรก

“สหายน้อยก็มาสยบพลังระเบียบที่นี่หรือ”

ยามหลินสวินคิดจะหมุนตัวจากไป ชายชราชุดเหลืองก็เอ่ยปากซักถาม น้ำเสียงอ่อนโยน

“ใช่แล้ว” หลินสวินพยักหน้า

เมื่อเห็นว่าหลินสวินหยุดเท้า ชายชราชุดเหลืองจึงยิ้มเอ่ยว่า “สหายน้อยไม่ต้องระแวงระวัง พวกเราไม่ใช่คนของน่านฟ้าที่หก คราวนี้ที่มาก็เพื่อสยบพลังระเบียบเช่นกัน หากไม่ถือสาจะมาคุยกันสักหน่อยดีไหม”

หลินสวินคิดๆ แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ดีเหมือนกัน”

ขณะที่พูดก็ตรงดิ่งเข้าไป

แววชื่นชมฉายวาบในดวงตาชายชราชุดเหลือง

มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งเท่านั้น ในสถานที่ที่อันตรายไม่อาจคาดเดาได้เช่นนี้ บังเอิญได้พบกับพวกเขาแล้วยังสุขุมเยือกเย็นได้เช่นนี้ ชายหนุ่มคนนี้… ไม่ธรรมดาจริงๆ

ยามเดินเข้าไปใกล้พื้นที่ผนึกแสงดำ หลินสวินก็เก็บเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยแห่งหนึ่ง มีพลังระเบียบผนึกน้อยยิ่งนัก

“สหายชื่อแซ่ว่ากระไร เป็นลูกหลานตระกูลไหน”

และเมื่อเห็นหลินสวินเข้ามาใกล้ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวผู้นั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้ เสียงอ่อนหวานนุ่มนวล เพราะพริ้งยิ่งนัก

นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน ทรวดทรงเพรียวบาง ใบหน้าเรียวรีดั่งเมล็ดแตง ผิวพรรณขาวนวล ดวงตาคล้ายดวงดารา ผมดำขลับเกล้ามวยเล็กๆ มวยหนึ่ง เพิ่มเสน่ห์มีชีวิตชีวา

คนอื่นๆ ก็มองดูหลินสวิน ประเมินอย่างเงียบๆ

“หลิงเอ๋อร์ เจ้าถามแบบนี้จะบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว”

หลินสวินกำลังไตร่ตรองว่าจะตอบดีหรือไม่ ชายชราชุดเหลืองก็ยิ้มพลางเอ่ยแล้วว่า “พบกันโดยบังเอิญ ชื่อเสียงเรียงนามไม่สลักสำคัญ หากมีวาสนาย่อมมีโอกาสได้รู้จัก หากไร้วาสนา หลังจากพบกันคราวนี้เกรงว่าภายหน้าคงจะไม่มีวันได้พบกันอีก ไยต้องถามมากความด้วย”

หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าหลิงเอ๋อร์ร้องเอ้อคำหนึ่ง กะพริบดวงตาโตมีชีวิตชีวาแล้วพูดว่า “ก็จริง รอศิษย์พี่ฉุนจวินกลับมา พวกเราก็จะออกจากน่านฟ้าที่หกแห่งนี้แล้ว”

ศิษย์พี่ฉุนจวินหรือ

หลินสวินจับสังเกตการเรียกว่า ‘ศิษย์พี่’ นี้ได้อย่างฉับไว

ในโลกยอดนิรันดร์ พวกที่เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจอมตะ ส่วนมากเป็นขุมอำนาจในตระกูล

มีแต่ในขุมอำนาจสำนักศึกษาจำนวนหนึ่งถึงจะรับผู้สืบทอด และมีคำเรียกอย่าง ‘ศิษย์พี่’ ได้

เห็นชัดว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่คนกลุ่มนี้จะมาจาก ‘สำนักศึกษา’ บางแห่ง!

มิหนำซ้ำอีกฝ่ายพูดว่ารอหลังจาก ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ กลับมาก็จะออกจากน่านฟ้าที่หก นี่ก็หมายความว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่ขุมอำนาจที่อีกฝ่ายอยู่จะอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ด หรือแม้กระทั่งน่านฟ้าที่แปด!

ถึงอย่างไรกลิ่นอายของชายชราชุดเหลืองผู้นี้ก็ห่างชั้นจนไม่อาจนำระดับอมตะทั่วไปมาเทียบได้ พวกเขากล้าเข้ามาในเขตผนึกเร้นแห่งนี้ด้วยกัน จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร

“ดูท่าสหายน้อยจะเดาอะไรบางอย่างออกแล้ว”

สายตาชายชราชุดเหลืองมองไปยังหลินสวิน แววตามีความนัยลึกล้ำ

“ก็เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น” หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองเกินไป

“ฮ่าๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะปิดบังอีกก็ดูใจไม่กว้างพอแล้ว”

ชายชราชุดเหลืองหัวเราะเบิกบานเอ่ยว่า “ไม่ขอปิดบัง ข้าชื่อโม่หลันซาน มาจากหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด คราวนี้พาผู้สืบทอดเหล่านี้มาท่องโลกภายนอกด้วยกัน”

หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด!

หลินสวินสั่นสะท้านในใจ แววตายังเปลี่ยนไป

หนึ่งในสี่หอบรรพจารย์ หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดที่ถูกทั้งโลกยอดนิรันดร์มองว่าเป็นขุมอำนาจใหญ่เหนือธรรมดา เขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร

นี่เป็นถึงยักษ์ใหญ่ที่ทำให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดยังต้องเกรงใจ!

และตอนนี้เมื่อเห็นแววตกตะลึงที่วาบขึ้นบนใบหน้าหลินสวิน หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘หลิงเอ๋อร์’ ผู้นั้น รวมถึงชายสามคนที่อยู่ข้างกายก็เกิดความภาคภูมิใจขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ สีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นหยิ่งทระนงขึ้นไม่น้อย

นี่เป็นท่วงท่าที่ผู้มีฐานะเป็นผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจึงจะมี เป็นความเย่อหยิ่งที่เก็บงำไว้ภายใน

แน่นอนว่าหยิ่งทระนงเพราะสำนัก

ด้วยฐานะของพวกเขา ไม่ต้องถึงขั้นวางท่าอะไรกับคนที่พบกันโดยบังเอิญอย่างหลินสวิน

เพราะมันไม่จำเป็น

“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสกับศิษย์หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด เมื่อครู่ข้าคนแซ่หลินเสียมารยาทแล้ว” หลินสวินกุมมือคารวะเล็กน้อย

ในใจเขาไม่อาจสงบได้จริงๆ

หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเหมือนขุมอำนาจที่ละทางโลก น้อยนักที่จะมีผู้สืบทอดท่องไปในโลกา ดังนั้นในความรู้สึกของผู้อื่นจึงลึกลับเป็นที่สุดมาตลอด

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าเพิกเฉยการมีอยู่ของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด!

เจ็ดปีก่อนสมัยหลินสวินยังเก็บตัวในน่านฟ้าที่ห้า ก็มีข่าวว่าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจะรับศิษย์ในอีกสิบปีแว่วมา ทำเอาสะท้านสะเทือนไปทั้งโลกยอดนิรันดร์

ก็เป็นตอนนั้นเอง หลินสวินถึงได้รู้ว่ารากฐานพลังที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด หนึ่งในสี่หอบรรพจารย์นี้มีน่ากลัวปานไหน และสถานะไม่ธรรมดาขนาดไหน

เพียงแต่ เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอกับคนของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดในเขตผนึกเร้นเช่นนี้!

และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็มาเพื่อสยบพลังระเบียบ ความจริงแล้วระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์เป็นคู่แข่งกันอยู่กลายๆ

ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ เห็นได้ชัดว่า ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ ที่อยู่ในค่ายของอีกฝ่ายคนนั้นเคลื่อนไหวไปนานแล้ว

คิดถึงตรงนี้ หลินสวินก็ไม่คิดจะร่ำไรอีก ตัดสินใจเคลื่อนไหวต่อ

“นี่ พวกเราบอกที่มาที่ไปแล้ว เจ้าก็ควรบอกที่มาที่ไปของเจ้าหน่อยไหม” หญิงสาวที่มีนามว่าหลิงเอ๋อร์กะพริบตามีชีวิตชีวาพลางเอ่ยถาม

“มีวาสนาก็จะรู้”

หลินสวินยิ้มน้อยๆ กุมมือคารวะเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส สหายหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดทุกท่าน ข้าน้อยลาก่อนล่ะ”

ขณะที่พูด เขาก็ออกไปไกล

หลิงเอ๋อร์อึ้งไป ดวงตางดงามเบิกขึ้น เอ่ยว่า “เขา…เขาจะไปอย่างนี้เลยหรือ”

ชายชุดหยกผู้หนึ่งยิ้มพูดว่า “หลังจากรู้ที่มาที่ไปของเรา เขาต้องร้อนใจ กังวลว่าพลังระเบียบที่กระจายอยู่ที่นี่จะถูกศิษย์พี่ฉุนจวินชิงไปหมดแน่”

ชายหนุ่มผู้แต่งกายชุดนักพรตคาดเข็มขัดใหญ่ สีหน้าเคร่งขรึมผู้หนึ่งนิ่วหน้าเอ่ยว่า “เขาเป็นแค่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งเท่านั้น ยังกล้าไปสยบพลังระเบียบ จะจองหองเกินไปแล้วกระมัง”

“สมบัติชิ้นนั้นของเขาไม่เลว ต้านทานพลังระเบียบ อาจจะมีวิชาไปกำราบพลังระเบียบของที่นี่จริงๆ”

ชายชุดดำที่สะพายกระบี่โบราณ สองมือกอดอก ท่าทางหยาบกระด้างอีกคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “น่าเสียดาย เขามาช้าไปก้าวหนึ่ง…”

ชายชราชุดเหลืองฟังคำพูดของผู้สืบทอดเหล่านี้ สีหน้าก็ระบายยิ้มน้อยๆ ทั้งยังไม่ได้วิจารณ์ สายตากลับมองไปที่ที่หลินสวินหายไปอยู่ตลอด เหมือนกำลังครุ่นคิด

เตากระบี่เตานั้นล้ำเลิศจริงๆ

หรือว่า เขาก็คือชายหนุ่มที่ช่วงนี้เป็นที่จับตามองที่สุดในน่านฟ้าที่หกคนนั้น

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด