หมอหญิงยอดมือสังหาร 375 กล้ำกลืนความอัปยศ (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 375 กล้ำกลืนความอัปยศ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 375 กล้ำกลืนความอัปยศ (2)
หนานกงมั่วไหวไหล่ เอ่ยตามตรงว่า “ฝ่าบาทก็กำลังสละชีวิตตัวเองเพื่อจัดการพวกเขาเช่นกัน” ด้วยร่างกายของฝ่าบาทแล้ว หากพระองค์สละราชสมบัติตอนนี้และไม่ต้องกังวลเรื่องใดอีก ไม่แน่ว่าก็อาจยังอยู่ได้อีกสองปี แค่ต้องเป็นตอนนี้…

“คุณชายฉังเฟิง ข้างนอกมีคนแจ้งว่าเป็นคุณชายรองตระกูลลิ่นมาหาขอรับ” ผู้ดูแลร้านเข้ามารายงาน

ลิ่นฉังเฟิงตกใจ เอ่ยว่า “ลิ่นฉังอาน เขามาทำอันใดที่นี่”

เว่ยจวินมั่วเงยหน้าเอ่ย “ตระกูลของลิ่นฮูหยินถูกเซียวเชียนลั่วจับเข้าคุกหมดแล้ว ยังเหลือในตระกูลลิ่นอีก อย่างน้อยในตระกูลหลักก็ยังมีอีกเจ็ดแปดคนที่ต้องถูกจับ” ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลรองเลย นี่เป็นข้อเสียของพวกตระกูลใหญ่ที่มีคนมากเกินไป จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกัน ในสถานการณ์ปกติคงเรียกได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่โตสง่างาม แต่เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นหรือมีคนต้องการจะสังหาร ไม่ว่าทำอย่างไรก็จับตัวได้เป็นกอง แล้วก็หมดทางเรียกร้องได้

ลิ่นฉังเฟิงยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “ถึงอย่างนั้น เขามาหาข้าเพื่ออันใดกัน คงไม่ได้คิดว่าจะให้ข้ากลับไปรับผิดหรอกใช่ไหม” คนตระกูลลิ่นคงมิได้ซื่อบื้อเพียงนั้นหรอกนะ คนทั้งเมืองหลวงรู้ดีว่าลิ่นฉังเฟิงถูกไล่ออกจากจวนมาตั้งนานแล้ว เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลลิ่นเลยด้วยซ้ำ หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยว่า “เจ้าอย่าลืมสิว่าจวินมั่วก็เป็นหนึ่งในผู้ไต่สวนคดีนี้” แม้เว่ยจวินมั่วหนึ่งในผู้ไต่สวนผู้นี้จะเอาแต่เมินเฉยไม่สนใจมาโดยตลอด ทว่าคนในเมืองหลวงที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเว่ยซื่อจื่อนั้นมีเพียงคุณชายฉังเฟิงเพียงผู้เดียว

ลิ่นฉังเฟิงแสร้งทำท่าทางเหมือนปวดฟัน เอ่ยว่า “ไยเขาจึงคิดว่าข้าจะขอความเมตตาให้จวนท่านลุงได้” ไม่ว่าเว่ยจวินมั่วจะยอมทำตามที่เขาขอหรือไม่ก็ตาม แต่แท้จริงแล้วคุณชายฉังเฟิงเองก็ไม่เต็มใจช่วยนัก

หนานกงมั่วเอ่ย “ไม่ลองออกไปดูจะรู้ได้เยี่ยงไร”

ลิ่นฉังเฟิงกลอกตา เอ่ยว่า “ให้เขากลับไป บอกว่าข้าไม่ว่าง”

ผู้ดูแลร้านเอ่ยอย่างลำบากใจ “แต่ว่า…คุณชายรองนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูแล้วขอรับ”

“เชื่อเขาเลย!” คุณชายฉังเฟิงโมโหจัด รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว “กิจการหอซื่อไห่ก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ยังเอาแต่คอยสร้างปัญหา ไม่คิดจะให้ทำมาหากินเลยหรืออย่างไร” คุณชายฉังเฟิงลืมสิ้นแล้วว่าพวกเขาเพิ่งแพร่ข่าวออกไปว่าขายลูกแก้วสองลูกได้ในราคาแสนตำลึง รายได้เพียงนี้สามารถเทียบเท่าร้านอื่นในเวลาหลายปีได้เลย

แน่นอนว่าผู้ดูแลร้านไม่ได้เอ่ยเล่นๆ ลิ่นฉังอานคุกเข่าอยู่หน้าร้านหอซื่อไห่จริงๆ สิ่งเดียวที่ทำให้โล่งใจก็คือหอซื่อไห่นั้นเป็นร้านค้าสำหรับคนรวย ฉะนั้นทำเลของร้านจึงไม่ใช่ที่ที่มีคนสัญจรพลุกพล่าน อีกอย่างลิ่นฉังอานคุกเข่าอยู่หน้าประตูภายในร้าน มิใช่ที่ด้านนอกประตู แท้จริงแล้วลิ่นฉังเฟิงแอบคิดว่าหากคุกเข่าอยู่บนถนนด้านนอกคงดีไม่น้อย เพราะพวกเขาสามารถแสร้งทำเป็นไม่เห็นได้

เมื่อเห็นลิ่นฉังเฟิงเดินออกมา ลิ่นฉังอานจึงเงยหน้าขึ้นมาทันที ร้องเรียก “ท่านพี่”

ลิ่นฉังเฟิงทำเสียงไม่พอใจ เอ่ยอย่างเฉยเมย “คุณชายรองอย่าเรียกข้าอย่างสนิทสนมเช่นนั้นเลย ทำราวกับเรามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากเจ้าชอบนั่งคุกเข่า ข้าก็คงห้ามมิได้ แต่เจ้าเปลี่ยนที่นั่งดีหรือไม่ ตรงนี้มันขวางทางร้านข้าขายของ” ว่ากันตามตรงแล้ว ลิ่นฉังอานก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้น หากเป็นในยามปกติแล้วเขาคงไม่มีทางยอมคุกเข่าให้ลิ่นฉังเฟิงอย่างเด็ดขาด หากแต่ตอนนี้ตระกูลของท่านลุงถูกคุมขังกันหมด ตระกูลลิ่นจึงตื่นตระหนกกันใหญ่ ตระกูลลิ่นของเขาคงไม่สามารถใช้อิทธิพลใดต่อหน้าจวิ้นอ๋องทั้งสามได้ คนเดียวที่จะมีวิธีก็คือลิ่นฉังเฟิงซึ่งสนิทชิดเชื้อกับเว่ยจวินมั่วเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่เขายอมกล้ำกลืนแบกความอัปยศมาคุกเข่าอ้อนวอนเช่นนี้ ทว่าย่อมไม่ต้องการถูกลิ่นฉังเฟิงเยาะเย้ยให้อับอายตั้งแต่แรกพบหน้า

ลิ่นฉังอานถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมตั้งแต่เล็กจนโต เคยลำบากเช่นนี้เสียที่ไหน แต่น่าเสียดายที่ความอัปยศอดสูที่เขาคิดว่าต้องแบกรับไว้กลับไม่มีค่าในสายตาผู้ใดเลย

ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับการเลี้ยงดูปลูกฝังจากหัวหน้าตระกูลลิ่นในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลในอนาคต และค่อนข้างแตกต่างจากลูกผู้ดีมีเงินทั่วๆ ไป ฉะนั้นเขาจึงยังไม่ถึงขั้นระเบิดอารมณ์ออกมาในเวลานี้

ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยิ้มเยาะพลางเอ่ย “เจ้ามาทำสิ่งใดก็เอ่ยมาตรงๆ เถิด คุกเข่ากับพื้น ไม่เอ่ยอันใดสักคำ คนไม่รู้จะคิดว่าข้าเป็นบรรพบุรุษของเจ้าเอานะ”

ลิ่นฉังอานอดทนต่อความโกรธภายในใจ กล่าวว่า “ท่านพี่ใหญ่ได้โปรดเห็นแก่ทุกคนในตระกูล ช่วยตระกูลลิ่นด้วยเถิด”

ลิ่นฉังเฟิงจ้องมองลิ่นฉังอานอยู่นาน เอ่ย “คนในตระกูลหรือ ข้าเพิ่งรู้ว่าข้าลิ่นฉังเฟิงเป็นคนในตระกูลเดียวกับพวกเจ้าด้วยก็วันนี้เอง ว่าแต่ที่เจ้ามาอ้อนวอนข้า…ตาเฒ่ารู้หรือไม่” ลิ่นฉังอานกระตุกมุมปาก ไม่เอ่ยอันใด ลิ่นฉังเฟิงจึงรู้ว่าตาเฒ่าย่อมต้องไม่รู้เรื่องแน่ ลิ่นฉังอานคงสมัครใจมาด้วยตัวเอง ลิ่นฉังเฟิงถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “ข้าจะบอกให้นะ…ตาเฒ่าจะปล่อยให้เจ้ามาอ้อนวอนข้าได้เยี่ยงไร ตระกูลลิ่นยังไม่ถึงขั้นหมดทางรอดเสียหน่อย อีกอย่างเจ้าก็มิใช่นายท่านตระกูลลิ่น ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเป็นทุกข์แทนตระกูลลิ่นถึงเพียงนี้หรอก”

ลิ่นฉังอานนิ่งชะงัก ที่เขายอมก้มหน้าอ้อนวอนลิ่นฉังเฟิงมิใช่เพื่อตระกูลลิ่นทั้งหมด ถูกต้องดังที่ลิ่นฉังเฟิงกล่าว ยังมิใช่เวลาที่ตระกูลลิ่นถึงทางตัน ทางด้านตระกูลลิ่นนั้นยังพอยืนหยัดได้ แต่ตระกูลของท่านตาของเขาท่าจะรับไม่ไหวแล้ว ท่านพ่อให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตระกูลลิ่นก่อนเสมอ และไม่มีทางเปลืองแรงไปช่วยตระกูลรองในเวลานี้แน่ ในฐานะตระกูลรองของตระกูลลิ่นซึ่งเป็นหนึ่งในสิบตระกูลขุนนางใหญ่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องมากนัก แต่ท้ายที่สุดพันธมิตรที่แท้จริงของพวกเขาก็มีเพียงคนในตระกูลขุนนางใหญ่ด้วยกัน รวมถึงผู้มีอำนาจจำนวนหนึ่งเท่านั้น ทว่าสำหรับลิ่นฉังอานแล้วเรื่องนี้สำคัญมาก ไม่ต้องเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านตากับท่านลุง ก่อนที่เขาจะสืบทอดตระกูลลิ่น ตระกูลของท่านตาเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเขา แม้ว่าลิ่นฉังเฟิงจะออกจากตระกูลลิ่นไปก่อน ทว่าการถกเถียงเรื่องผู้สืบทอดภายในตระกูลลิ่นก็ไม่เคยหาข้อสรุปได้ จุดยืนในการสนับสนุนบุตรชายคนโตให้สืบทอดตระกูลยังคงมีมาเสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ลิ่นฉังอานพยายามตีสนิทลูกหลานของตระกูลรอง ก็มิใช่เพื่อเพิ่มผู้สนับสนุนในการสืบทอดตระกูลในภายภาคหน้าหรอกหรือ

ลิ่นฉังเฟิงมองไปยังลิ่นฉังอานแล้วจึงเอ่ย “กลับไปเถิด อย่ามาทำเรื่องขายหน้าที่นี่เลย”

ลิ่นฉังอานต้องการเอ่ยบางอย่าง แต่ลิ่นฉังเฟิงกลับโบกมือ ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ย ข้าไม่อยากฟัง แล้วก็อย่าเอ่ยถึงคนในตระกูลกับข้า พวกเจ้าสองแม่ลูกไม่เคยนับข้าเป็นคนในตระกูล และข้าเองก็ไม่เคยนับว่าเจ้าเป็นพี่น้อง วันข้างหน้าไม่ว่าเจ้าหรือข้าจะมีอันเป็นไป ก็ถือเป็นเรื่องของใครของมัน ต่อให้ตาเฒ่าจะเป็นอันใดไปก็ไม่ขอรบกวนให้เจ้ามารายงาน” เมื่อเอ่ยจบลิ่นฉังเฟิงก็เดินกลับเข้าไปในร้าน

“ท่านพี่ ท่านเกลียดข้าเพียงนี้เชียวหรือ” ลิ่นฉังอานเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ ลิ่นฉังเฟิงทำเหมือนได้ยินเรื่องตลก มองกลับมายังเขาแล้วเอ่ยว่า “เอ่ยราวกับว่าเจ้ากับแม่เจ้าไม่ได้เกลียดข้า แม้ว่าเจ้าจะยอมรับความอัปยศเช่นนี้ได้ ก็เพียงทำให้ข้าประเมินเจ้าสูงขึ้นเท่านั้น แต่ข้ามิใช่พระโพธิสัตว์ เจ้าคิดว่าการที่เจ้าคุกเข่าลงต่อหน้าข้าแล้วทำพูดดีไม่กี่ประโยคจะช่วยอันใดได้หรือ”

ลิ่นฉังอานเอ่ย “แล้วต้องทำเช่นไรท่านจึงจะช่วย”

ลิ่นฉังเฟิงกล่าวว่า “หากเจ้ายอมตัดมือทิ้งข้างหนึ่ง ข้าจะช่วยเจ้า ข้าไม่อยากได้มือขวาของเจ้า ตัดมือซ้ายก็พอ”

เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของลิ่นฉังอาน ลินฉังเฟิงก็หัวเราะเยาะแล้วเดินจากไป เสียงเอ่ยสั่งผู้ดูแลร้านดังมาจากด้านใน “ไล่ออกไป หากยังไม่ออกก็ไปตามคนตระกูลลิ่นมารับกลับเสีย เขากำลังขวางทางทำธุรกิจของเรา”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *