หมอหญิงยอดมือสังหาร 368 พิษร้ายแรงที่สุดคือใจสตรี (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 368 พิษร้ายแรงที่สุดคือใจสตรี (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 368 พิษร้ายแรงที่สุดคือใจสตรี (1)
เว่ยซื่อจื่อเพียงพยักหน้า หยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมา เอ่ย “ร่างกายของพวกปัญญาชนนั้นอ่อนแอเกินไป” แม้แต่เว่ยซื่อจื่อยังต้องยอมรับว่าเหอเหวินลี่เป็นคนที่มีอนาคตไกลแน่นอน หากเขาเป็นคนในยุทธภพ เว่ยซื่อจื่อก็ย่อมอยากได้ตัวเขามาร่วมในวังจื่อเซียว แต่น่าเสียดาย…ที่ปัญญาชนนั้นเป็นเพียงของเหลือใช้ แค่อดนอนคืนเดียวก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว มือสังหารสามารถก่อเหตุหลายวันหลายคืนโดยไม่หลับไม่นอน ส่วนเขาเป็นเช่นนี้ไปจะทำงานได้เช่นไร

คุณหนูใหญ่หนานกงต้องการบอกเว่ยซื่อจื่อว่างานที่ใช้สมองกับงานที่ใช้กำลังย่อมแตกต่างกัน ตราบใดที่มีร่างกายแข็งแรง เมื่อผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ส่วนใหญ่ต่อให้ไม่ได้นอนวันสองวันก็ไม่ใช่ปัญหา ทว่าหากไม่ได้นอนทั้งวันก็ใช่ว่าสมองจะยังทำงานได้อย่างปราดเปรื่อง ผลงานของใต้เท้าเหอเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าตลอดทั้งวันคืนเขาทำงานหนักเพียงใด แน่นอนว่า…สภาพร่างกายของใต้เท้าเหออาจจะดูอ่อนแอไปบ้าง หากแข็งแรงขึ้นสักหน่อย อย่างน้อยก็อาจจะอดทนได้อีกสักพัก…กระมัง

พวกหนานกงมั่วกำลังสืบสวนคดีในวัดต้ากวงหมิงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมืองจินหลิงคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด เนื่องจากการสอบสวนองครักษ์ ขันที บ่าวรับใช้ รวมถึงนางสนมในวัง จึงหาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มากมายนับไม่ถ้วน ทันทีที่การเข้าเฝ้ารอบเช้าสิ้นสุดลง คนจำนวนไม่น้อยยังไม่ทันได้กลับถึงบ้านก็ถูกคนของเซียวเชียนเยี่ยจับกุมไว้ กว่าฮ่องเต้จะตรวจฎีกาเสร็จแล้วนึกได้ว่าต้องเรียกเซียวเชียนเยี่ยมาไต่ถามก็ล่วงเข้าสู่ยามบ่ายแล้ว เมื่อได้ยินรายงานของเซียวเชียนเยี่ย ฮ่องเต้พลันรู้สึกหน้ามืดไปครู่หนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ

“เจ้าบอกว่า…เจ้าให้เว่ยจวินมั่วออกจากเมืองไปหรือ!” ฮ่องเต้จ้องเซียวเชียนเยี่ยพลางเอ่ยถาม

เซียวเชียนเยี่ยลังเลก่อนเอ่ยตอบ “เสด็จปู่ มีสิ่งใดผิดไปหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่วัดต้ากวงหมิง…มีเหอเหวินลี่เพียงคนเดียว หลานเกรงว่าจะขาดคน จึงปล่อยให้จวินมั่วไปคุ้มกันที่นั่น”

ฮ่องเต้หัวเราะออกมาท่าทางโกรธเคือง “เหอเหวินลี่อยู่ที่วัดต้ากวงหมิงคนเดียวไม่เพียงพอ แล้วเจ้าคิดว่าในจินหลิงมีเจ้าคนเดียวเพียงพอแล้วหรือ”

สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยนิ่งงัน เขาเอ่ยถามอย่างใจเสีย “เสด็จปู่ไม่เชื่อในตัวหลานหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขายอมรับว่าค่อนข้างลังเลเรื่องที่สั่งให้เว่ยจวินมั่วออกนอกเมือง แต่ท่าทางไม่เชื่อมั่นอย่างเปิดเผยของเสด็จปู่นั้นย่อมทำให้รู้สึกรับไม่ได้ หรือว่าในสายตาของเสด็จปู่มองว่าเว่ยจวินมั่วมีความสามารถมากกว่าเขาจริงๆ

ฮ่องเต้มองเซียวเชียนเยี่ย เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ที่ผ่านมา เจ้าได้เรียนรู้สิ่งใดบ้าง เจ้าคิดว่าจวินมั่วจะแย่งความดีความชอบเจ้าไปหรือ กลัวแต่ว่าเขาจะมีความสามารถมากกว่าเจ้า เซียวเชียนเยี่ย เจ้ามีสมองหรือไม่ ไม่ว่าเว่ยจวินมั่วจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นขุนนางของตระกูลเซียว หรือเจ้าอยากจะแต่งวรรณกรรมแข่งกับขุนนางบุ๋น ต่อสู้แข่งกับขุนนางบู๊หรือ คิดดูว่าเจ้าจะสู้ได้หรือไม่

ฮ่องเต้รู้สึกปวดหัว สิ่งที่เขาพร่ำสอนหลานชายผู้นี้คือศิลปะการใช้คน เหตุใดเขาจึงเรียนรู้แค่เพียงวิชาปากหวานก้นเปรี้ยวเท่านั้น กำลังของคนมีจำกัด ในฐานะผู้บัญชาเบื้องบนแล้ว พวกเขาจำเป็นต้องใช้คนให้เป็น เพียงสามารถควบคุมคนที่จำเป็นเท่านั้นก็พอ หากจะเรียนรู้ให้เป็นทุกอย่างก็จะเหนื่อยจนไม่ได้ทำอื่นใดเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซียวเชียนเยี่ยผู้ซึ่งอิจฉาขุนนางในอนาคตของตัวเอง…คิดว่าการขึ้นเป็นฮ่องเต้จำเป็นต้องอิจฉาขุนนางของตนเองหรือเยี่ยงไร หรือเขาอยากจะเลี้ยงไว้แค่เพียงขุนนางไร้ประโยชน์ที่เทียบตนเองมิได้เท่านั้นหรือ

สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยแปรปลี่ยนไป เขารีบเอ่ยขึ้น “เสด็จปู่ หลานมิได้หมายความเช่นนั้น”

ฮ่องเต้โบกมือ ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เช่นนั้นบอกมาเถิดว่าเจ้าจับผู้ใดได้บ้าง” วันนี้เขามิได้ให้ขุนนางเข้าเฝ้า เพราะต้องการมอบเวลาให้เว่ยจวินมั่วและเซียวเชียนเยี่ย ไม่ต้องการได้ยินคนเหล่านั้นพูดพล่ามสิ่งใด ใครจะรู้ว่า…เซียวเชียนเยี่ยกลับไล่เว่ยจวินมั่วออกจากเมืองแล้วจัดการเรื่องทุกอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้ ความจริงแล้วที่ฮ่องเต้ต้องการให้เว่ยจวินมั่วอยู่ด้วยย่อมมิใช่เพราะให้อยู่รับผิดชอบแทนเซียวเชียนเยี่ยเท่านั้น แต่การแบ่งงานกันสองคนย่อมเหนื่อยน้อยกว่าเซียวเชียนเยี่ยผู้เดียวอยู่แล้ว เว่ยจวินมั่วนั้นมิใช่คนธรรมดา เบื้องหลังยังมีองค์หญิงฉังผิง อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง หากไม่นับรวมฮ่องเต้เช่นตนแล้ว เว่ยจวินมั่วก็ไม่ด้อยไปกว่าเซียวเชียนเยี่ยเลย หากเกิดเรื่องขึ้นมาก็พอมีทางให้พลิกสถานการณ์กลับได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเว่ยจวินมั่วมีบุคลิกเงียบขรึมทว่าเด็ดเดี่ยวและไม่ย่อท้อ ย่อมมิทำสิ่งใดสะเพร่าบุ่มบ่ามเช่นเซียวเชียนเยี่ยแน่นอน หากพบเรื่องยุ่งยากย่อมอดทนได้ ไม่ยอมแพ้ไปกลางคัน

เมื่อมองดูหวงจั่งซุนผู้สูงศักดิ์และสง่างามตรงหน้า ฮ่องเต้ได้แต่เพียงถอนหายใจ ลักษณะนิสัยของเชียนเยี่ย…ยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่…มิใช่แค่เซียวเชียนเยี่ย บรรดาโอรสของรัชทายาทก็ไม่มีผู้ใดที่เด็ดเดี่ยวหนักแน่นอย่างเช่นเว่ยจวินมั่วเลย

สมองของเซียวเชียนเยี่ยทำงานอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้ากลับแสดงความเคารพแล้วจึงเอ่ยว่า “มีตระกูลฉิน ตระกูลเหลียน ตระกูลหยาง ตระกูลลิ่น… แล้วก็เสนาบดีกรมพระคลัง แม่ทัพนายพล เจิ้นหย่วนโหว จิ่งกั๋วกง…”

ฮ่องเต้ก่ายหน้าผาก ผู้ควรได้รับโทษและผู้ไม่ควรรับโทษต่างต้องรับโทษกันทั้งหมด แม้ว่าคราวนี้จะแก้ไขได้อย่างราบรื่น แต่ตำแหน่งองค์รัชทายาทที่เซียวเชียนเยี่ยจะได้ครองในอนาคตนั้นยังจะมั่นคงดีหรือไม่ เขาคิดจริงๆ หรือว่าตระกูลขุนนางและวีรบุรุษผู้สร้างชาติเหล่านี้จะไม่รู้สึกขุ่นเคืองใดๆ ทว่ายามนี้ในเมื่อจับคนเหล่านั้นมาหมดแล้วคงปล่อยไปเลยมิได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกำจัดพรรคคพวกของตระกูลขุนนางก็เป็นสิ่งที่ตนได้วางแผนไว้แล้วตั้งแต่แรก ซึ่งไม่มีทางเปลี่ยนแปลงโดยเด็ดขาด

หลังจากพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้จึงเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ส่งราชโองการไปยังเฉิงจวิ้นอ๋องและอันจวิ้นอ๋อง ให้มาร่วมสอบสวนคดีนี้ร่วมกับหวงจั่งซุน!”

เซียวเชียนเยี่ยมีความรู้สึกหลากอารมณ์ผสมปนเปกันภายใน ไม่แน่ใจว่าการบีบให้เว่ยจวินมั่วออกไปนั้นได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันแน่ เสด็จปู่กล่าวถูกต้องแล้ว ไม่ว่าเว่ยจวินมั่วจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถแก่งแย่งสิ่งใดจากเขาไปได้ แต่…เซียวเชียนลั่วและเซียวเชียนหลิงนั้นไม่แน่ เซียวเชียนเยี่ยขยับปากอย่างต้องการจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าฮ่องเต้โบกมือแล้วรับสั่งว่า “ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดแล้ว!”

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่”

ภายในวัดต้ากวงหมิง หนานกงมั่วนั่งเล่นอยู่บนราวที่กั้นใต้หลังคา ยื่นมือไปรองหยดน้ำที่ร่วงหล่นมาจากหลังคา วันนี้ฝนตกเกือบทั้งวัน อากาศชื้นเล็กน้อย ทั้งยังหนาวเย็นขึ้นอีกด้วย คล้ายกับจะป่าวประกาศว่าฤดูหนาวจะมาถึงในไม่ช้า

มือหนึ่งเอื้อมมาดึงมือนาง หนานกงมั่วมองขึ้นไปหาแล้วยิ้มให้ เอ่ยว่า “มีเบาะแสใดเพิ่มหรือไม่”

เว่ยจวินมั่วยืนข้างๆ นาง เอ่ยตอบเบาๆ “ไปสอบสวนผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ใต้เท้าเหอกำลังพิจารณาอยู่” เนื่องจากทั้งสองคนมียศศักดิ์สูง จึงไม่ได้รู้สึกผิดต่อการเอาเปรียบใต้เท้าเหอเล็กๆ น้อยๆ หนานกงมั่วยืนขึ้นแล้วจึงถอนหายใจออกมา “ข้ามักมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง ว่าผลสุดท้ายอาจไม่เป็นเช่นที่ทุกคนคิด”

เว่ยจวินมั่วสีหน้าราบเรียบ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกตกใจเลย เพียงเอ่ย “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”

หนานกงมั่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านเอ่ยถูกต้องแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา หากฝ่าบาทไม่พาให้ท่านเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็คงดีกว่านี้” เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบ “ยามนี้ฝ่าบาทคงล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้วกระมัง”

“หืม” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ฝ่าบาทออกราชโองการให้เฉิงจวิ้นอ๋องและอันจวิ้นอ๋องมาสอบสวนคดีร่วมกับเย่ว์จวิ้นอ๋องในจินหลิงแล้ว แต่พวกเราก็ควรต้องกลับไปภายในวันสองวันนี้” หากอยู่ในจินหลิงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีต่างๆ ดีมากแล้วที่ครั้งนี้สามารถพึ่งพาเซียวเชียนเยี่ยได้ หนานกงมั่วพยักหน้า ฮ่องเต้พบว่าการอบรมสั่งสอนโดยการดูแลใส่ใจนั้นไม่เป็นผลต่อหวงจั่งซุนมากนัก จึงคิดจะเปลี่ยนเป็นการกระตุ้นความรู้สึกแทนอย่างนั้นหรือ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *