หมอหญิงยอดมือสังหาร 878 พี่น้องรวมตัว (2)
ตอนที่ 878 พี่น้องรวมตัว (2)
เดิมทีหนานกงฮุยก็ไม่ใช่คนจริงจังมากมายอยู่แล้ว ได้ยินหนานกงมั่วเอ่ยเช่นนี้ จึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “มั่วเอ๋อร์เอ่ยถูกแล้ว” หนานกงชวี่หันไปมองหนานกงมั่วพลางเอ่ย “เรื่องทางฝั่งเอ้อโจว เจ้าคิดเห็นเช่นไร คุณชายเว่ยตัดสินใจออกโรงช่วยฮุยเอ๋อร์และคนอื่นๆ เช่นนี้ คาดว่าเขาคงมีแผนอยู่ในใจแล้ว”
หนานกงมั่วตอบด้วยสีหน้าหนักใจ “พี่ใหญ่ ข้าเองไม่ชำนาญเรื่องศึกสงครามนัก แต่ข้าเคยได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ หุบผาอี๋เซี่ยนเป็นพื้นที่ลำบาก แม้แต่การเดินทางเท้าก็ยังลำบากอย่างมาก หากคิดจะโจมตีเกรงว่าคงไม่ง่ายเพียงนั้น” เอ่ยจบ หนานกงมั่วและหนานกงชวี่ต่างหันไปมองหนานกงฮุยอย่างพร้อมเพรียง หนานกงฮุยเห็นแล้วก็รีบก้มหน้าลงต่ำ หากเอ่ยอันใดออกไปคงจะเป็นการหักหลังพ่อตาของเขา…ใช่หรือไม่
หนานกงชวี่มองน้องชายที่แสนซื่อของเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพลันเอ่ย “ที่พวกเจ้าสามารถปรากฏตัวที่นี่ ก็แสดงว่าตอนนี้แม่ทัพกุยฮว่าไม่ได้กุมอำนาจในเอ้อโจวแล้วกระมัง”
“แต่ว่า…” หนานกงฮุยเอ่ยเสียงเบา “พ่อตาข้ายังเป็นรองแม่ทัพของเอ้อโจว อีกอย่าง…แม้เซียวเชียนเยี่ยจะไม่โปรดปรานเขาแล้ว แต่พ่อตาข้ายังคงจงรักภักดีต่อราชสำนักเหมือนเช่นที่ผ่านมา” หากพ่อตารู้ว่าเขาทรยศหักหลังก็คงจะฟันเขาด้วยมีดยาวเลยกระมัง
หนานกงชวี่เลิกคิ้วขึ้นสูง “คุณชายเว่ยได้ถามอันใดพวกเจ้าหรือไม่”
หนานกงฮุยส่ายหน้าเบาๆ หลังจากที่เว่ยจวินมั่วเข้าไปช่วยพวกเขาแล้ว เว่ยจวินมั่วก็โยนพวกเขาให้กับองครักษ์ชุดดำ และสั่งให้องครักษ์ชุดดำส่งพวกเขากลับมาโดยที่ไม่เข้าเสียนหนิงด้วยซ้ำ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาถึงไม่ถามอันใดกับพวกเจ้าเลย”
หนานกงฮุยจ้องมองหนานกงชวี่ด้วยความอยากรู้
หนานกงชวี่กุมหน้าผากพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง “เพราะเขาคิดว่า สิ่งที่เจ้าเอ่ยออกมาคงจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย” ในที่สุดคุณชายใหญ่หนานกงก็ล้มเลิกความคิดที่จะฝึกฝนน้องชายของเขาให้กลายเป็นแม่ทัพทหารที่มีชื่อเสียง สติปัญญาของเขา…ถูกกำหนดมาให้เป็นได้เพียงทหารกล้าเท่านั้น ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงแต่อย่างใด ในทางกลับกัน…คุณชายใหญ่หนานกงกลับรู้สึกผิดต่อน้องชายของเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทั้งที่มีบิดาและมารดาคนเดียวกันแท้ๆ ไยสติปัญญาถึงได้แตกต่างกันเพียงนี้ ต้องเป็นเพราะเขาคอยปกป้องและทะนุถนอมฮุยเอ๋อร์ตั้งแต่เด็กจนโตแน่ๆ จึงทำให้เขาซื่อบื้อเช่นนี้
เหตุใดมั่วเอ๋อร์และพี่ใหญ่ถึงได้มองข้าด้วยสายตาที่แปลกประหลาดเช่นนี้เล่า
แน่นอนว่าหนานกงมั่วย่อมเข้าใจความหมายของหนานกงชวี่อยู่แล้ว อดยิ้มออกมาไม่ได้พลางเอ่ย “พี่รอง พี่ใหญ่เพียงต้องการถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทางฝั่งหุบผาอี๋เซี่ยนว่าเป็นเช่นไรบ้างก็เท่านั้น เรื่องพวกนี้…ถึงแม้ท่านไม่เอ่ย เว่ยจวินมั่วก็สามารถสืบได้อยู่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามอันใดกับท่าน ตอนนี้เราอยู่ค่อนข้างไกล ก็เลยอยากจะฟังว่าพี่รองคิดเห็นเยี่ยงไร อีกอย่าง…ข้าเห็นสีหน้าของเนี่ยนเอ๋อร์ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก นางคงเป็นห่วงแม่ทัพซังมากกระมัง”
หนานกงฮุยรีบพยักหน้าลง หนานกงมั่วจึงเอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า “ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะต้องเข้ายึดเอ้อโจวอยู่แล้ว แม่ทัพซังเป็นบิดาของเนี่ยนเอ๋อร์ พวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล พี่รองอยากจะให้พวกเราต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายหรือเช่นไรกัน”
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเห็นอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ควรทำผิดต่อพ่อตา หนานกงฮุยไม่รู้ว่าหากเอ้อโจวเสียเมืองไป พ่อตาของเขาจะฆ่าตัวตายด้วยความอับยศหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เสียเมืองนั้นเป็นเพราะข้อมูลรั่วไหลมาจากเขา แต่ทว่า…เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพี่ใหญ่และน้องสาวของตน หากไม่เอ่ยอันใดเลย ปล่อยให้สูญเสียแม่ทัพและทหารของพวกเขาไปทั้งอย่างนี้ก็คงจะไม่ได้
หนานกงมั่วเห็นสีหน้าของหนานกงฮุยที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นว่าเล่นก็พยายามกลั้นขำไว้ไม่เอ่ยอันใด ส่วนหนานกงชวี่เองก็แหงนหน้ามองฟ้ามองเพดานและไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาเช่นกัน
จากนั้นหนานกงชวี่ก็ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางถาม “เจ้าคิดว่ากองกำลังไท่หนิงจะสามารถโจมตีหุบผาอี๋เซี่ยนได้หรือไม่”
สีหน้าของหนานกงฮุยกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับเอ่ยตอบว่า “ไม่ขอรับ”
“เพราะเหตุใดหรือ” หนานกงชวี่เอ่ยถามต่อ
หนานกงฮุยแสดงออกด้วยสีหน้าที่เป็นธรรมชาติ “ถึงแม้ว่ากองกำลังไท่หนิงจะเก่งกาจในด้านการต่อสู้ แต่พวกเขาไม่ได้มีปีก จะสามารถบินข้ามหุบผาอี๋เซี่ยนได้หรือ ตอนที่พวกท่านพึ่งยึดเย่ว์โจวสำเร็จและยังไม่ได้เข้าสู่เฉินโจว พ่อตาของข้าได้จำลองและคาดการณ์สนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ผลสุดท้าย…เว้นเสียแต่ว่าคุณชายเว่ยเลือกจะเดินทางอ้อม หรือไม่ก็บินข้ามหุบผาอี๋เซี่ยนไป มิฉะนั้นแม้คิดอยากจะบุกฝ่าเข้าไปก็ตาม…ตราบใดที่หุบผาอี๋เซี่ยนยังมีทหารเฝ้าระวังประจำการอยู่ เข้าไปสามหมื่นคนสามารถรอดชีวิตกลับมาสามพันคนก็ถือว่าเก่งแล้ว”
หนานกงชวี่ขมวดคิ้วแน่น เขาเคยได้ยินผลงานและชื่อเสียงเรียงนามของซังหรงมาก่อน เขาเชื่อว่าซังหรงไม่ใช่คนที่พูดจาส่งเดชอย่างแน่นอน ในความเป็นจริง ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา ไม่มีแม่ทัพคนไหนอาสาไปรบที่หุบผาอี๋เซี่ยนด้วยตนเองอยู่แล้ว แต่เพราะตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นเลย หากเปลี่ยนเส้นทางไปสู้รบที่อื่นก็ยังพอว่า เพราะการรบครั้งนี้จะส่งผลกระทบไปถึงแผนการต่อไปที่หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ววางไว้ อีกอย่างตอนนี้ก็มีเสียนหนิงแล้วแต่กลับไม่สามารถเข้ายึดเอ้อโจวได้ เสียนหนิงจึงยังไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร หากเดินทางจากเสียนหนิงผ่านหุบผาอี๋เซี่ยนไปยังเอ้อโจวถือเป็นเส้นทางที่ยากลำบากอย่างมาก แต่ในทางกลับกันก็เป็นเส้นทางที่ง่ายมากเช่นกัน เพราะที่นั่นไม่มีพื้นที่ที่พอจะสามารถตั้งค่ายโจมตีได้ แต่ถึงแม้กองทัพเอ้อโจวจะไม่มาหาเรื่องพวกเขาก็คงจะส่งคนมาก่อกวนอยู่ดี
หนานกงชวี่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ย “ในเมื่อไม่สามารถต่อสู้ด้วยกำลังได้ ก็ต้องเอาชนะด้วยสติปัญญาแล้ว”
“พี่ใหญ่คิดแผนออกแล้วหรือ”
หนานกงชวี่ส่ายหน้าเบาๆ “ข้าคิดแผนการคร่าวๆ แต่สถานการณ์ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร จึงยังไม่สามารถสรุปแผนการได้ แต่ดูจากที่คุณชายเว่ยหนักแน่นเช่นนี้ คาดว่าเขาคงมีแผนการอยู่ในใจแล้ว” หากเทียบกับการฝ่าทะลวงกองทัพทหารนับพัน คุณชายใหญ่หนานกงชอบการชนะด้วยไหวพริบและสติปัญญาเสียมากกว่า แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพละกำลังและความแข็งแกร่งของเขาแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขามีแง่คิดที่ไปในทิศทางเดียวกันกับคุณชายเว่ย รวมไปถึงสามารถเข้าถึงและตามทันความคิดของคุณชายเว่ยได้อย่างง่ายดาย ความคิดที่มีแต่จะแข่งขันว่าใครจะโหดเหี้ยมกว่ากันเท่านั้น ไม่มีทางแข่งขันว่าใครจะมีเมตตากว่าใครอย่างแน่นอน เห็นได้อย่างชัดเจนจากเรื่องของหนานกงไหวและเซียวเชียนเยี่ย
“พี่ใหญ่…” หนานกงฮุยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ใช้สายตากดดันความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง “พ่อตาข้ายังอยู่ที่นั่น ขอพวกท่านออมมือด้วย…”
หนานกงชวี่ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอันใดดี “แม่ทัพซังเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ” ถึงแม้พวกเขาอยากจะฆ่าซังหรงให้ตายโดยไม่สนใจน้องชายของเขาก็ตาม แต่ผู้บัญชาการเช่นเว่ยจวินมั่วก็ไม่มีทางอนุญาตให้พวกเขาทำอยู่แล้ว แม้ว่าเว่ยจวินมั่วจะเป็นปีศาจที่ฆ่าคนก็ตาม แต่กับคนบางคนก็ไม่อาจฆ่าได้จริงๆ
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “พี่ใหญ่ตัดสินใจจะไปที่เสียนหนิงแล้วหรือ” เดิมทีหนานกงมั่วหวังว่าหนานกงชวี่จะอยู่ช่วยนางที่เฉินโจว ถึงอย่างไรสุขภาพร่างกายของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก เดิมตอนอยู่ที่โยวโจว คุณชายเสียนเกอเคยตรวจชีพจรของหนานกงชวี่ การบาดเจ็บในวัยเด็กนั้นแตกต่างจากการบาดเจ็บตอนเป็นผู้ใหญ่อย่างสิ้นเชิง อีกอย่างหนานกงชวี่ก็อายุมากเกินกว่าจะรักษาโดยอาศัยการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อในร่างกายแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าหนานกงชวี่มีความสนใจการศึกสงครามมากกว่างานราชการในราชสำนัก อีกอย่างเขาเองก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องเช่นนี้เท่าฉินจื่อซวี่ หนานกงมั่วจึงไม่อยากบังคับเขาจนเกินไป
หนานกงชวี่พยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ยตอบ “ที่กองทัพกำลังขาดคนมิใช่หรือ ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถบุกโจมตีข้าศึกได้ แต่หากอยู่ที่นั่นก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง”
“พี่ใหญ่คิดจะไปช่วยเหลือเว่ยจวินมั่วย่อมเป็นการดีที่สุดแล้ว” ไม่ต้องเอ่ยถึงพรสวรรค์ในการรบอันล้ำเลิศของหนานกงชวี่ เดิมทีก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บ ในนามบุตรชายของหนานกงไหว เขาได้รับการเลี้ยงดูในฐานะบุตรชายของแม่ทัพทหารอย่างเต็มที่ แม้หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ หนังสือยุทธวิธีและการเดินทัพที่อ่านไปก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย ถึงเขาจะใช้สิ่งเหล่านี้ในสนามรบอื่นก็ตาม รวมกับที่เขาได้อยู่ในกองทัพโยวโจวหลายเดือน ไม่ได้เข้าไปเป็นหัวหน้าแม่ทัพเท่านั้น กลับเป็นมือใหม่ที่พร้อมเรียนรู้และซึมซับสิ่งใหม่ๆ อีกด้วย ไม่รู้เป็นเพราะได้รับสืบทอดมาจากตระกูลหนานกงหรือเป็นความสามารถในการเรียนรู้ที่ได้รับมาจากเมิ่งซื่อที่โดดเด่นกว่าผู้ใด หากเปรียบเทียบกับการฝึกอบรมคนใหม่ๆ แล้วเห็นได้ชัดว่าหนานกงชวี่ถือเป็นตัวเลือกที่ผู้ฝึกสอนชื่นชอบมากกว่า
อืม…เพียงแต่นางไม่แน่ใจว่าหลังจากที่เว่ยจวินมั่วเห็นหนานกงชวี่แล้วเขาจะดีใจหรือไม่
Comments