หมอหญิงยอดมือสังหาร 850 ปลอบโยนทวยเทพ ดูแลรักษาธารน้ำและภูเขา (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 850 ปลอบโยนทวยเทพ ดูแลรักษาธารน้ำและภูเขา (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 850 ปลอบโยนทวยเทพ ดูแลรักษาธารน้ำและภูเขา (2)

หลังจากทุบชายทั้งสี่คนไปหนึ่งรอบแล้ว เด็กคนนั้นจึงหยุดและยิ้มเย็นให้กับชายเหล่านั้นที่นอนกองกันอยู่บนพื้น

ในหมู่บ้านไม่ไกลเริ่มมีเสียงคนเดินมา หนานกงมั่วคว้าเด็กคนนั้นลอยออกไปจากที่นี่ทันใด

ลอยออกมาไกลหลายลี้ หนานกงมั่วจึงวางคนลง ก้มลงไปมองพลันเห็นเด็กน้อยที่เมื่อครู่ยังยิ้มร้ายทว่าตอนนี้กลับมีน้ำตานองหน้า เพียงแต่เขาไม่มีเสียงร้องไห้เลยแม้สักเล็กน้อย แม้แต่หนานกงมั่วเองก็ไม่รู้ นางถอนหายใจออกมา หนานกงมั่วเองก็ไม่รู้ว่าควรปลอบโยนเด็กที่เพิ่งเสียมารดาและน้องสาวไปอย่างไร แสดงความเสียใจด้วยอย่างนั้นหรือ นึกถึงหากเป็นโลกก่อนพี่ใหญ่และน้องสาวเกิดเรื่องอันใดขึ้นมีคนมาเอ่ยกับนางเช่นนี้ นางคงทำให้คนผู้นั้นได้แสดงความเสียใจไปด้วยกัน

หนานกงมั่วไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ เอ่ยว่า “ข้าให้คนช่วยเจ้าจัดการกับมารดาและน้องสาวของเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปตอนนี้ยังจะเจอพวกเขาอยู่” หยิบเศษเงินออกมาประมาณสิบกว่าตำลึง ส่งไปตรงหน้าเขา “พวกนี้เจ้ารับไปเถิด หากเจ้าไม่มีที่ไป…ข้าจะหาครอบครัวรับเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างไร” ความจริงสถานการณ์อย่างเย่ว์โจวในตอนนี้หายากที่จะมีคนรับเลี้ยงเด็ก แต่เมื่อหนานกงมั่วคิดจัดการก็ต้องจัดการอย่างเรียบร้อย หากไม่ได้มาเจอก็คงปล่อยผ่านไปแล้ว ทว่ากลับมีวาสนาได้เห็นเด็กคนนี้และเห็นตลอดช่วงเวลาที่เด็กประสบโชคร้ายแล้ว

เด็กคนนั้นกลับไม่รับเงิน เพียงจ้องหนานกงมั่วนิ่ง

หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ นางไม่มีประสบการณ์ได้อยู่กับเด็กอายุเท่านี้มากนัก อวี้หมิงจวิ้นจู่จวนเยี่ยนอ๋องอายุไม่ห่างกันมาก เพียงแต่อวี้หมิงเป็นสตรีอีกทั้งยังเป็นเชื้อสายรอง พวกนางเองก็ไม่ได้เห็นนางแสดงความโกรธต่อหน้านัก

เด็กคนนั้นกัดริมฝีปากมองหนานกงมั่วอยู่เนิ่นนาน คุกเข้าลงไปบนพื้นทันใด…

“เจ้าทำอันใด”

“ข้าจะกราบท่านเป็นอาจารย์” เด็กคนนั้นเอ่ยเสียงดัง

“…” เจ้าจ้องมองข้านิ่ง ก็เพราะอยากกราบข้าเป็นอาจารย์หรือ

หนานกงมั่วยื่นมือไปดึงเขาขึ้นมา เอ่ยถาม “ไยเจ้าจึงอยากกราบข้าเป็นอาจารย์” เด็กคนนั้นต่อต้านไม่ยอมลุกขึ้น “ข้าจะฝึกวรยุทธ์ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ารังแกข้าแล้ว หากข้ารู้วรยุทธ์ ท่านแม่และน้องสาวคงไม่ตาย”

หนานกงมั่วถอนหายใจ “วรยุทธ์ไม่ใช่ทุกอย่าง ไม่สะดวกสอนวรยุทธ์ให้เจ้า หากเจ้าอยากฝึกวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องยาก ข้าจะหาคนอื่นมาช่วยสอนเจ้า” แม้วังจื่อเซียวจะแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ก็ยังต้องการลูกน้องเลือดใหม่ เด็กคนนี้ หนานกงมั่วเพียงดูก็รู้แล้วว่านี่เป็นต้นกล้าของการฝึกวรยุทธ์ รู้สึกพึงพอใจในความสามารถอยู่บ้าง

“ไม่ ข้าจะกราบท่านเป็นอาจารย์” เด็กคนนั้นเอ่ยหนักแน่น ดวงตาเปล่งประกายมองหนานกงมั่ว

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ย “หากข้าไม่รับเจ้า เจ้าจะทำอันใดได้”

เด็กคนนั้นเม้มปากไม่เอ่ยวาจาราวกับไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าเล็กยังคงมีสีหน้ายืนหยัดและมั่นคงไม่เปลี่ยน หนานกงมั่วเอ่ย “หากเจ้าตามข้าทันก็ตามมา” เอ่ยจบ ก็ไม่สนใจเขาอีก หนานกงมั่วหมุนตัวเดินออกไป

แม้ไม่ได้ใช้วิชาตัวเบา แต่อย่างไรร่างกายของหนานกงมั่วก็ไม่ธรรมดา ก้าวเดินออกไปเพียงเพิ่มความเร็วขึ้นอีกระดับก็ไม่ใช่ระดับความเร็วที่เด็กผู้ที่ยังสูงไม่ถึงหน้าอกนางจะตามทันได้ เพียงเวลาไม่นานเด็กน้อยที่หอบหายใจก็ถูกทิ้งห่างออกไปไกล

เมื่อยามที่หนานกงมั่วกลับมาถึงวัดร้างแห่งนั้น หลิ่วหันกำลังพาองครักษ์จัดการเก็บศพสองแม่ลูกคู่นั้น เพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด นำร่างของทั้งสองใส่โลงศพไว้ด้วยกันอย่างเรียบง่าย

“จวิ้นจู่” เห็นหนานกงมั่วกลับมา หลิ่วหันก็อดไม่ได้เหลือบมองเลยไปทางด้านหลังของนาง มองไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กคนนั้นรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย นึกว่าเด็กคนนั้นคงจะเกิดเรื่องแล้ว

หนานกงมั่วพยักหน้า “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”

หลิ่วหันเอ่ย “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ฝังได้แล้ว ตัวตนของสามแม่ลูกก็สืบได้เรื่องแล้ว เป็นครอบครัวซิ่วไฉ[1]จากตระกูลหวงออกนอกเมืองไปราวๆ ยี่สิบลี้ได้เจ้าค่ะ”

“ครอบครัวซิ่วไฉจะมาอยู่ในสภาพนี้ได้เยี่ยงไร ได้ยินมาว่า…พวกเขาสามแม่ลูกถูกไล่ออกจากบ้านหรือ”

หลิ่วหันถอนหายใจ ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “เดิมทีตาของเด็กน้อยเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ยกบุตรีให้แต่งงานกับนักเรียน ผ่านไปไม่กี่ปีก็จากไป หญิงชราตระกูลหวงดูจะไม่ชอบบุตรสะใภ้ผู้นี้นัก พ่อตาของบุตรชายเพิ่งจากไปก็ยกเด็กในบ้านให้เป็นอนุภรรยาของบุตรชาย อีกทั้งยังให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิง เดิมทีก็ไม่มีอันใด ครอบครัวซิ่วไฉยังพอเลี้ยงดูกันได้ เพียงแต่สถานการณ์ในสองปีที่ผ่านมาไม่ดีนัก หนึ่งเดือนก่อน เมื่อสถานการณ์ครอบครัวเริ่มไม่ไหวหญิงชราจึงคิดขายเด็กหญิงและมารดา สตรีผู้นั้นแน่นอนว่าไม่ยอมอยู่แล้ว ในตอนที่ฉุดยื้อกันอยู่พลันทำให้สามีต้องบาดเจ็บ สุดท้าย…ถูกทำร้ายไปหนึ่งรอบ สามแม่ลูกจึงถูกไล่ออกจากบ้าน สินเจ้าสาวก็ไม่ให้หยิบมาแม้เพียงเล็กน้อย ทำอันใดไม่ได้จึงต้องมาอาศัยที่วัดร้างแห่งนี้”

หนานกงมั่วฟังจบพลันเข้าใจในทันใด เรื่องเช่นนี้คนอย่างพวกนางแน่นอนว่าไม่มีทางไปประสบ ต่อให้ต้องเจอเรื่องเช่นนี้ก็ยังแก้ไขได้ แต่สำหรับสตรีที่เป็นชาวบ้านทั่วไปนั่นเป็นเรื่องสำคัญถึงชีวิต มิน่าเล่าเด็กคนนั้นจึงต้องการเล่าเรียนวรยุทธ์ให้ได้

ในตอนที่กำลังเงียบก็มองเห็นร่างเล็กที่วิ่งโซเซตรงมาทางนี้ มาหยุดอยู่ตรงหน้าหนานกงมั่ว เงยหน้าขึ้นกัดฟันเอ่ย “ข้าตามมาทันแล้ว ท่านต้องสอนวรยุทธ์ให้ข้า”

หนานกงมั่วถอนหายใจอยู่ในใจ เอ่ยเสียงเบา “ไปดูมารดาและน้องสาวของเจ้าก่อนเถิด”

พิธีศพของสองแม่ลูกนั้นเรียบง่าย เพียงขุดหลุมห่างจากวัดร้างไม่ไกลและฝังเอาไว้ก็เสร็จแล้ว เด็กคนนั้นนั่งอยู่ตรงหน้าหลุมศพของมารดาและน้องสาว ไม่มีเสียงร้องไห้ดังออกมา หนานกงมั่วเองก็ไม่รบกวนเขา เพียงยืนมองอยู่ไม่ไกล

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด มองเห็นเด็กชายผู้นั้นลุกขึ้นจากนั้นมองหลุมศพของมารดาและน้องสาวอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัววิ่งมาทางหนานกงมั่ว “อาจารย์ ไปกันเถิด”

หนานกงมั่วเงยหน้ามองไปยังหลุมศพที่อยู่ไม่ไกล หน้าหลุมศพมีป้ายประจำหลุมศพ ด้านบนเขียนตัวอักษรที่นับว่าประณีตไว้ “มารดา หลุมศพของซังซื่อ” เห็นชัดว่าครอบครัวเดิมของสตรีผู้นั้นแซ่ซัง ไม่มีแซ่ของตระกูลสามี

“เจ้าชื่ออันใด” หนานกงมั่วเอ่ยถาม

เด็กคนนั่นเอ่ย “ข้าชื่อซังเจี้ยว”

“เจี้ยวตัวใด” หนานกงมั่วเอ่ยถาม

“ปลอบโยนทวยเทพ ดูแลรักษาธารน้ำและภูเขา” เด็กน้อยเอ่ยตอบ

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ย “เจ้าเคยเรียนหนังสือหรือ” เด็กในครอบครัวซิ่วไฉได้เล่าเรียนไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ดูแล้วเด็กคนนี้เพิ่งอายุเพียงแปดเก้าขวบ ทว่าฟังแล้วกลับรู้สึกเหมือนร่ำเรียนมาไม่น้อยแล้ว

สีหน้าของซังเจี้ยวทะมึนขึ้น กดเสียงต่ำเอ่ย “ท่านแม่ของข้าสอน”

“บิดาของเจ้าเล่า”

ซังเจี้ยวเงียบไปชั่วครู่ สีหน้าปรากฏรอยยิ้มหยันขึ้นมา “เขานอกจากเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องพวกนั้นแล้ว ก็ทำอื่นใดไม่เป็นแล้ว” เห็นชัดว่าไม่ชอบใจบิดาของตนนัก แม้แต่แซ่เดิมของเขาก็ยังทิ้งไปแล้ว แน่นอนว่าตัดสินใจตัดขาดจากตระกูลหวงแล้ว

หนานกงมั่วยกมือขึ้นตบศีรษะเบาๆ “เป็นเด็กอย่ายิ้มเยี่ยงนี้ ในเมื่อเจ้าตั้งใจแล้ว เช่นนั้นก็ไปกับข้าเถิด”

[1] ซิ่วไฉ คือ การสอบเคอจวี้ หรือ จอหงวน ในรอบที่หนึ่ง เป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น ผู้ที่สอบผ่านในระดับนี้จะเรียกว่า ซิ่วไฉ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *