หมอหญิงยอดมือสังหาร 574 พี่สะใภ้ก็เป็นดั่งมารดา (3)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 574 พี่สะใภ้ก็เป็นดั่งมารดา (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 574 พี่สะใภ้ก็เป็นดั่งมารดา (3)
“พี่สะใภ้ พวกท่านกำลังคุยอันใดกันอยู่หรือ” เฉินซื่อหันกลับไป ก็เห็นหนานกงมั่วและเซวียเสียวเสี่ยวกำลังซุบซิบกันอย่างสนิทสนม จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “พี่สะใภ้ถูกชะตากับแม่นางเซวียหรือ”

หนานกงมั่วอมยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “ข้าชอบนิสัยใจคอของแม่นางเซวียผู้นี้ยิ่งนัก”

เซวียเสียวเสี่ยวได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เพราะนางเองก็ชอบฮูหยินน้อยที่ใบหน้างดงามผู้นี้เช่นกัน

“พี่สะใภ้! พี่สะใภ้ใหญ่!” เสียงสดใสและร่าเริงของเซียวเชียนจย่งดังมาจากทางด้านนอกสวน เฉินซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพูดขึ้นว่า “เหตุใดคุณชายสามถึงมาอยู่ที่นี่” สาวใช้ข้างกายก็รีบตอบขึ้นว่า “บ่าวจะรีบไปดูเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็รีบตรงไปยังด้านนอกสวนทันที เฉินซื่อจึงหันมายิ้มพลางพูดกับทุกคนว่า “น้องสามยังเด็ก ชอบวิ่งเล่นไปทุกที่ รบกวนทุกท่านแล้ว พวกเราไปนั่งเล่นในสวนกันเถิด”

ถึงแม้ว่าเฉินซื่อจะแต่งเข้ามาที่โยวโจวร่วมสองปีแล้ว ทว่ากลับยังไม่ค่อยคุ้นชินกับพฤติกรรมที่กล้าหาญองอาจและไม่คิดเล็กคิดน้อยของชาวดินแดนเหนือเท่าใดนัก โชคดีที่เซียวเชียนจย่งยังให้ความเคารพนางที่เป็นพี่สะใภ้ใหญ่อยู่บ้าง เวลาอยู่ต่อหน้าจึงค่อนข้างให้เกียรตินาง

เพียงครู่เดียว สาวใช้ก็กลับมาเรียนเฉินซื่อเสียงเบาว่า “พระชายาซื่อจื่อ คุณชายสามบอกว่าอยากจะเชิญเว่ยฮูหยินน้อยไปชมพวกเขายิงธนูเจ้าค่ะ”

เฉินซื่อได้ยินแล้วก็กุมขมับพลางพูดขึ้นว่า “เหลวไหล เจ้ากลับไปบอกเขาว่าตอนนี้พี่สะใภ้มีธุระ วันหน้าค่อยไปดูพวกเขายิงธนู”

“เจ้าค่ะ”

เฉินซื่อหันกลับไปสบตาหนานกงมั่วด้วยสีหน้าจนใจ “น้องสามเหลวไหล พี่สะใภ้อย่าได้ถือสา”

หนานกงมั่วส่ายหน้าพลางพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร” จริงๆ แล้วหากจะให้นางเลือก นางคงเลือกที่จะไปยิงธนูกับเซียวเชียนจย่งมากกว่า เมื่อเหลือบไปมองเหล่าบรรดาสาวแรกรุ่นเหล่านั้น หนานกงมั่วที่กำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่างก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา

ที่ด้านนอกสวน เซียวเชียนจย่งที่ถูกสาวใช้ไล่กลับก็จ้องมองไปยังด้านในพลางเม้มปากแน่นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก ตนก็แค่อยากจะเชิญพี่สะใภ้ไปร่วมสนุกด้วยกันเสียหน่อย เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ถึงต้องขัดขวางด้วย นิสัยจู้จี้จุกจิกเหมือนพี่ใหญ่ไม่มีผิด พี่สะใภ้เก่งกาจขนาดนั้น เหตุใดถึงชอบไปเล่นกับเหล่าบรรดาสตรีที่ไม่รู้เรื่องเหล่านั้นด้วย หากให้เขาไปอยู่กับคนเหล่านั้น มีหวังเขาได้เบื่อตายก่อนแน่ๆ

เมื่อเห็นเซียวเชียนจย่งเดินกลับอย่างหัวเสีย เซียวเชียนเหว่ยก็หัวเราะพลางพูดขึ้นว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพี่สะใภ้ไม่ว่าง เจ้ายังดั้นด้นจะมาหานางให้ได้”

เซียวเชียนจย่งกลอกตามองบนพลางพูดขึ้นพึมพำ “พี่สะใภ้เก่งศิลปะการต่อสู้ แต่อาจยิงธนูไม่เก่งก็ได้ วันหลังข้าจะต้องแข่งยิงธนูกับนางให้ได้!” ที่แท้แล้วเด็กคนนี้ก็ฝังใจเพราะแพ้การต่อสู้ให้กับหนานกงมั่วมาหลายต่อหลายครั้ง วันนี้เหล่าบรรดาคุณชายได้ทำการแข่งขันยิงธนูที่ลานหลังจวน เขาจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าไม่แน่บางทีตนอาจจะชนะในด้านนี้ก็เป็นได้

หากมีคนที่หนานกงมั่วที่คุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดีอยู่ด้วย ก็คงจะพูดกับคุณชายเซียวสามว่า ‘ฝันกลางวันให้มันน้อยๆ หน่อย คุณหนูใหญ่หนานกงสามารถฆ่าแมลงวันที่อยู่ห่างออกไปหลายก้าวด้วยเข็มปักผ้าเพียงเล่มเดียว บวกกับกำลังภายในที่ลึกล้ำ การยิงแม่นเหมือนจับวางย่อมมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด’

ขณะที่เซียวเชียนจย่งกำลังคิดวางแผนว่าเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถพลิกจากแพ้เป็นชนะได้ ทางฝั่งหนานกงมั่วก็กำลังนั่งคุยกับเฉินซื่ออยู่ ในขณะที่กำลังทอดสายตามองเหล่าบรรดาหญิงสาวที่กำลังพูดคุยเล่นกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่กลางสวน หนานกงมั่วปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสตรีจากทางเหนือนั้นสดใสร่าเริงและมีชีวิตชีวามากกว่าสตรีทางฝั่งเจียงหนานจริงๆ

เฉินซื่อหันไปมองตามหนานกงมั่ว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ พลางพูดขึ้นว่า “ตอนที่ข้าพึ่งแต่งเข้ามาใหม่ๆ ออกจะไม่ค่อยคุ้นชินกับนิสัยใจคอของสตรีที่นี่เท่าไหร่นัก พอเวลาผ่านไปนานเข้ากลับรู้สึกว่านิสัยใจคอเช่นนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ”

เฉินซื่อเป็นหญิงสาวของตระกูลสูงศักดิ์ตามแบบฉบับการสืบทอดราชวงศ์ที่ดั้งเดิมที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง บางครั้งติดตามมารดาไปร่วมงานเลี้ยงหรือไปกราบไว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะเงียบและสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก สังคมคนรอบข้างที่คบค้าสมาคมด้วยล้วนแล้วแต่เป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์และมั่งมีของเมืองจินหลิงทั้งสิ้น ไหนเลยจะมากระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลดเหมือนเช่นหญิงสาวชาวภาคเหนือกัน ตอนไปร่วมงานเลี้ยงฉลองกับพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นครั้งแรกจึงค่อนข้างวางตัวไม่ถูก

หนานกงมั่วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถือว่าไม่เลวทีเดียว เด็กสาวของเมืองจินหลิงดูสงบเสงี่ยมมากเกินไป” ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร แต่สีหน้าและอิริยาบถที่แสดงออกมานั้นจะต้องสุขุมและสง่างาม การที่หย่งชังจวิ้นจู่และองค์หญิงหลิงอี๋คิดเช่นนั้นจึงค่อนข้างแปลก

เฉินซื่อเม้มปากยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ช่วยข้าดูบรรดาแม่นางเหล่านั้นหน่อยเถิด ว่ามีคนไหนที่เข้าตาบ้าง”

“หืม?” หนานกงมั่วไม่เข้าใจ

เฉินซื่อค่อนข้างปวดหัว นางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “น้องสองควรจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาได้แล้ว น้องสามเองก็ควรจะต้องหาคู่หมั้นได้แล้ว เสด็จแม่ให้ข้าคอยสอดส่องมองหาดูบ้าง ข้าจะดูเป็นได้อย่างไรกัน ก็เลยต้องลากพี่สะใภ้มาช่วยดูด้วยอย่างไรเล่า”

หนานกงมั่วเข้าใจได้ในทันที เฉินซื่อเป็นเจ้าสาวจากเมืองจินหลิงที่ได้รับพระราชทานงานแต่งจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนแต่งเข้ามาที่นี่ ตอนนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์แล้ว หากว่าเยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่อยากที่จะให้เซียวเชียนเหว่ยและเซียวเชียนจย่งสมรสกับบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ของเมืองจินหลิง ก็ควรจะต้องรีบหาคู่หมั้นให้กับทั้งสองเสียก่อน เพราะหลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์แล้วอาจเกิดความแคลงใจต่อเหล่าบรรดาเสด็จอาของตนได้ เช่นนั้นก็ควรจะต้องฉวยโอกาสก่อนที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะทรงพระราชทานงานแต่งรีบไปจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสรรพเรียบร้อยถึงจะถูก

หนานกงมั่วจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่มีประสบการณ์มาก่อน เกรงว่าคงจะช่วยเจ้าไม่ได้ แล้วท่านป้าสะใภ้ว่าอย่างไรบ้าง”

เฉินซื่อส่ายหน้าเบาๆ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเสด็จแม่ถึงได้ให้ข้าไปจัดการเรื่องนี้ ข้าจะไปรู้เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

หนานกงมั่วจึงพูดขึ้นว่า “หากเจ้าเห็นว่าเหมาะสม ก็ไปเรียนกับท่านป้าสะใภ้ก็พอ ท่านป้าสะใภ้กับท่านลุงก็จะได้พิจารณาไตร่ตรอง ไม่ผิดต่อเชียนเหว่ยและเชียนจย่ง” เฉินซื่อไม่เข้าใจ ทว่าหนานกงมั่วกลับเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกรงว่าเรื่องนี้คงจะเป็นบททดสอบของพระชายาเยี่ยนอ๋องที่จะใช้ทดสอบลูกสะใภ้ผู้นี้ เพราะอย่างไรเสียเฉินซื่อพระชายาซื่อจื่อก็จะต้องขึ้นเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋องในอนาคตอยู่ดี การเลือกภรรยาแบบไหนมาให้น้องชายสามีก็ถือเป็นทัศนคติที่มีต่อน้องชายของสามีเช่นนั้น มิเช่นนั้นพระชายาเยี่ยนอ๋องจะปล่อยให้นางมาจัดการเรื่องนี้ทั้งที่เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน ไอรีนโนเวล

เฉินซื่อทอดถอนใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

หนานกงมั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจถามขึ้นว่า “เจ้าคิดเห็นอย่างไร”

เฉินซื่อหันไปมองเหล่าบรรดาเด็กสาวที่กำลังคุยเล่นกัน ก็อดไม่ได้ที่จะชี้ไปยังทางนั้นพลางพูดขึ้นว่า “ข้าว่าเด็กสาวคนนั้นไม่เลวทีเดียว กิริยาท่าทางดูเหมาะสมกับน้องสองไม่น้อย”

หนานกงมั่วหันศีรษะมองตาม ก็เห็นหญิงสาวที่สวมด้วยชุดสีม่วงกำลังเงยหน้าขึ้นมาคุยกับสาวใช้ข้างกาย รอยยิ้มสุขุมและอ่อนโยน ดูจากกิริยาท่าทางแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีที่มาจากเจียงหนาน “ผู้นั้นคือ…”

เฉินซื่อก็ได้พูดขึ้นว่า “คนผู้นั้นคือบุตรีภรรยาเอกของใต้เท้าฉีเจ้าเมืองอวี๋หยาง เชี่ยวชาญศิลปะทั้งสี่แขนง ไม่ว่าจะเป็นพิณกู่ฉิน หมากล้อม อักษร และภาพวาด สำหรับเมืองโยวโจวแล้ว สตรีที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ถือว่าหาได้ยากยิ่ง ฐานะบรรดาศักดิ์ของวงศ์ตระกูลก็ไม่เป็นสองรองใคร” ตำแหน่งเจ้าเมืองคือขุนนางระดับสี่ ในเมืองโยวโจวนอกจากเยี่ยนอ๋องตลอดจนไปถึงผู้บัญชาการและผู้ว่าการมณฑลแล้ว ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สูงพอสมควร เพียงแต่ว่า… หนานกงมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้เห็นด้วยกับนางแต่อย่างใด

เฉินซื่อย่อมมีข้อพิจารณาของนางเองอยู่แล้ว นางพูดไปใช่ว่าเฉินซื่อจะรับฟัง ไม่แน่บางทีอาจจะกลายเป็นปม ผิดใจต่อกันก็เป็นได้

ดูออกว่าเฉินซื่อพึงพอใจกับคนที่นางเลือกเป็นอย่างมาก นางอมยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “แม่นางฉีพึ่งอายุครบสิบห้าเมื่อไม่นานมานี้ เหมาะสมกับน้องสองเป็นอย่างมาก ข้าเองก็เคยพูดคุยใกล้ชิดกับนางมาบ้าง เป็นคนนิสัยอ่อนโยนจิตใจมีคุณธรรม คาดว่าน่าจะถูกชะตากับน้องสองไม่น้อย”

“น้องสะใภ้สนิทกับแม่นางฉีหรือ” หนานกงมั่วถามนาง

เฉินซื่อชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางพูดขึ้นว่า “ก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทสนมขนาดนั้น เพียงแต่ว่าเคยเจอหน้าที่เมืองจินหลิงอยู่หลายครั้ง บ้านสกุลฉีเองก็ย้ายมาที่โยวโจวก่อนข้า ดังนั้นข้าและฉีฮูหยินจึงคุยกันค่อนข้างถูกคอก็เท่านั้นเอง”

หนานกงมั่วได้ยินแล้วก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เฉินซื่อมาอยู่ที่โยวโจวตัวคนเดียว ย่อมรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นธรรมดา เมื่อได้เจอคนที่มาจากเมืองจินหลิงเหมือนกันจึงดูค่อนข้างสนิทสนมและกระตือรือร้นเป็นพิเศษ อีกอย่างบนตัวเฉินซื่อเองก็เต็มไปด้วยสง่าราศีของตระกูลนักปราชญ์ที่ท่วมท้นไปด้วยความมั่นใจ จึงมองเหล่าบรรดาบุตรีของแม่ทัพทหารไม่ค่อยเข้าตาเท่าใดนัก แต่ที่เมืองโยวโจวกลับมีแต่ทหารเฝ้าระวังที่ประจำการอยู่เขตชายแดนหรือพ่อค้าที่เดินทางตั้งแต่เหนือจรดใต้เสียส่วนใหญ่ แทบจะไม่มีตระกูลสูงศักดิ์เสียด้วยซ้ำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เฉินซื่อจะรู้สึกสนิทสนมกับบ้านสกุลฉีเป็นพิเศษ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *