หมอหญิงยอดมือสังหาร 815 เคราะห์ร้ายออกจากปาก (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 815 เคราะห์ร้ายออกจากปาก (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 815 เคราะห์ร้ายออกจากปาก (1)

ชายในอาภรณ์สีม่วงรีบดึงดอกไม้ออกจากศีรษะด้วยความกรุ่นโกรธ กัดฟันเอ่ยกับทั้งสองที่อยู่บนฝั่งด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองท่าน ข้าเพียงมาชมความครึกครื้น คงไม่ต้องมีไมตรีจิตเพียงนี้กระมัง”

หนานกงมั่วยิ้มหวาน “จะเป็นไมตรีจิตจากพวกเราได้เยี่ยงไร เห็นอยู่ว่าเป็นชาวเมืองอานเซี่ยที่มีไมตรีจิต คุณชายไม่ต้องซาบซึ้ง หากอยากขอบคุณก็ขอบคุณพวกเขาเถิด ดูเหมือนว่าคุณชายจะเป็นที่ชื่นชอบ”

“ช่างเจรจานัก” ชายในอาภรณ์สีม่วงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าไม่นานก็กักเก็บความโกรธเอาไว้ หันไปยิ้มให้ทั้งสองแทน “ทั้งสองท่าน เชิญชวนมิสู้บังเอิญพบเจอ มิสู้เรามาดื่มกันสักจอกหรือไม่”

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “คุณชายคิดว่าบนเรือของท่านยังมีที่นั่งอยู่อีกหรือ”

“แน่นอน” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ลุกขึ้นพันแขนเสื้อเริ่มจัดเก็บดอกไม้บนเรือ เขาไม่ได้ทิ้งทว่านำช่อดอกไม้พวงดอกไม้ไปวางไว้ที่ปลายเรือทั้งสองฝั่ง เผยให้เห็นโต๊ะเล็กๆ ที่ถูกดอกไม้ปกคลุมเอาไว้ จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้ทั้งสอง ท่านดูสิข้าจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว หากไม่ไว้หน้าคงจะไม่ดีนัก

หนานกงมั่วเงยหน้าไปมองเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วโอบแขนกระชับเอวนางและถีบตัวลอยขึ้น เท้าแตะลงไปบนเรือภายใต้ความตื่นตระหนกของผู้คน คนหนุ่มสาวทั้งสองเหยียบลงบนพื้นเรือ ทว่าเรือกลับไม่ไหวติงแม้เพียงนิด ดวงตาของชายในอาภรณ์สีม่วงมีแววชื่นชมขึ้นมา เอ่ยชม “เยี่ยมยอดยิ่งนัก”

เว่ยจวินมั่วยังคงนิ่ง หนานกงมั่วยิ้มบาง “ชมเกินไปแล้ว”

ริมฝั่ง หลิ่วหันที่ถูกทอดทิ้งอีกครั้งถอนหายใจออกมา หันกลับไปมองซิงเวย “จวิ้นจู่และคุณชายหนีไปอีกแล้ว” การเป็นองครักษ์ผู้ติดตามว่ายากแล้ว การเป็นองครักษ์ติดตามจวิ้นจู่และคุณชายยิ่งยากกว่า ทั้งสองคนมีฝีมือไม่ธรรมดาพวกเขาอยากตามก็คงตามไม่ทัน บางครั้ง…คิดว่าตนเองตามทันทว่ากลับอยู่รั้งท้ายไปไกลโข

ซิงเวยถีบตัวลอยไป เหยียบลงเบาๆ บนเรือลำเล็กที่ล่องอยู่ในทะเลสาบไม่ไกลนัก บนเรือมีชายชราเพียงคนเดียวที่ขายของอยู่ตามชายฝั่ง ซิงเวยหยิบเงินย่อยออกมาจ่ายเพื่อใช้เรือเพียงชั่วครู่ ล่องติดตามเรือลำเล็กด้านหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป หลิ่วหันที่อยู่บนฝั่งยักไหล่และตามลงไปบนเรือลำเล็ก

เหล่าผู้คนบนฝั่งตื่นเต้นกับยอดฝีมือที่เหาะเหินเดินอากาศเช่นในตำนานอยู่ชั่วครู่ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอันใดน่าสนใจแล้วจึงค่อยๆ ทยอยแยกย้ายไป

บนเรือทางด้านนี้ หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วเองก็นั่งลงเลียนแบบชายในอาภรณ์สีม่วง ชายหนุ่มลุกขึ้นมารินเหล้าให้พวกเขาทั้งสอง เอ่ยกับหนานกงมั่วด้วยรอยยิ้ม “แม่นาง พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของแม่นางเลย”

หนานกงมั่วยิ้มบาง “เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น ชื่อเสียงเรียงนามมีสิ่งใดสำคัญ”

ชายหนุ่มเท้าคาง เอ่ยอย่างกระตือรือร้น “จะว่าเยี่ยงนี้ก็มิได้ สตรีสวยโดดเด่นฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแม่นางได้พานพบทว่ามิอาจได้ครอบครอง หากไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม คุณชายอย่างข้ากลับไปคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ”

สายตาของเว่ยจวินมั่วเย็นยะเยือกขึ้น ชายหนุ่มผู้นั้นกลับทำราวกับไม่อาจสัมผัสได้ หยิบดอกไม้ที่วางอยู่ด้านข้างตนเองขึ้นมายื่นไปตรงหน้าหนานกงมั่ว เอ่ย “หญิงงามดุจบุปผา มอบให้แม่นาง ขอแม่นางช่วยรับไปด้วยเถิด”

กำลังจะยื่นมือไปรับทว่าถูกคนปัดออก ชายหนุ่มยักไหล่ถอนหายใจออกมา เอ่ย “แม่นางรู้หรือไม่ บนโลกใบนี้สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดคืออันใด”

“ช่วยชี้แนะด้วย” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มเอ่ยเชื่องช้า “บนโลกใบนี้สิ่งที่ทำให้คนเจ็บปวดที่สุดก็คือ การได้เจอหญิงงามสักคน ทว่าบุปผางามกลับมีเจ้าของแล้ว”

“ในเมื่อรู้แล้ว ก็เก็บสายตาของเจ้าไปเสีย” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเย็น

“ข้ากลัวเหลือเกิน” ชายหนุ่มย่นคอ มองหนานกงมั่วอย่างน่าสงสาร “เขาโหดเหลือเกิน ยังมีดวงตาแปลกประหลาด แม่นาง เจ้าไม่คิดจะไตร่ตรองอีกครั้งหรือ คุณชายอย่างข้าจะดีกับเจ้ากว่าเขาหลายเท่าเลย” หนานกงมั่วกุมขมับ หากสัมผัสไม่ได้ว่าคนผู้นี้ตั้งใจนางคงมีชีวิตโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยื่นมือไปจับกุมมือเว่ยจวินมั่วเอาไว้ หนานกงมั่วยิ้มบาง “ขอบคุณความรักและความเมตตาของคุณชาย เพียงแต่…ข้ายังชอบบุรุษรูปงามอยู่”

ชายในอาภรณ์สีม่วงพูดไม่ออก จ้องหนานกงมั่วอยู่นานก่อนจะเอ่ย “เจ้าจะบอกว่า…เจ้าไม่ชอบคุณชายอย่างข้า ก็เพราะข้าไม่รูปงามเยี่ยงเขาเช่นนั้นหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ” หนานกงมั่วยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “บนโลกใบนี้คงไม่มีผู้ใดรูปงามกว่าเขาอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงชอบเขา”

“หากมีเล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่ยอมแพ้

“เช่นนั้น เขาไม่ตายแล้วก็คงเพิ่งเกิด” เสียงเย็นของคุณชายเว่ยเอ่ยขึ้น คาดการณ์ได้ว่าเด็กน้อยอานอานแห่งตระกูลเว่ยในอนาคตต้องรูปงามไม่แพ้คุณชายเว่ยอย่างแน่นอน

ชายในอาภรณ์สีม่วงกัดฟันจ้องใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายเว่ยอยู่นาน ไม่ยอมรับไม่ได้ เปรียบรูปลักษณ์เขาไม่อาจเอาชนะคนตรงหน้าได้จริงๆ

“ไร้ซึ่งความลึกซึ้ง”

“ใช่ ข้าเต็มใจ” หนานกงมั่วยิ้มตาหยี

“…”

มุมปากของชายในอาภรณ์สีม่วงกระตุก มองชายหญิงที่นั่งตัวติดกันตรงหน้า รู้สึกไร้ซึ่งวาจาที่จะเอ่ย

“ทั้งสองท่านเองไม่แปลกใจหรือว่าข้าเป็นใคร” เอ่ยจบ ชายหนุ่มก็อยากจะตบตนเองแรงๆ สักที อีกฝ่ายไม่ยอมบอกชื่อกับเจ้าก็ช่างเถิด เจ้ายังรีบไปถามเขาว่าเขาอยากรู้ชื่อตนเองหรือไม่ ช่างไร้ศักดิ์ศรี หนานกงมั่วยักไหล่ “หากคุณชายอยากจะเอ่ย พวกเราเองก็จะรับฟัง”

“ข้ามีนามว่าเซี่ยสือชี” แบบนี้ชัดเจนหรือไม่

“อ้อ คุณชายเซี่ย ยินดีที่ได้พบ” หนานกงมั่วยกจอกเหล้าขึ้นมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สามีของข้าแซ่เซียว ท่านก็เรียกข้าว่าเซียวฮูหยินก็ได้”

“…” ชายในอาภรณ์สีม่วงแทบอยากคว่ำโต๊ะ สตรีผู้นี้แกล้งโง่หรือโง่จริงๆ กันแน่

ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ซิงเวยและหลิ่วหันก็นั่งเรือเข้ามาใกล้ เอ่ย “คุณชาย ฮูหยิน”

หนานกงมั่วหันกลับมา หันไปมองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหรือ”

หลิ่วหันเอ่ย “ฝั่งนั้น เทศกาลเทพบุปผาเหมือนกำลังจะเริ่มแล้วเจ้าค่ะ”

เวลาไม่นาน ทะเลสาบฝั่งนี้ก็มีคนไม่มากแล้ว ทว่าริมฝั่งของทะเลสาบอีกด้าน เสียงดังคึกคักไม่เบา ด้านข้างใบบัวสีเขียวที่กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งทะเลสาบมีเรือบุปผาประดับด้วยดอกไม่นานาพันธุ์อย่างสวยงามจอดอยู่ ริมฝั่งทะเลสาบมีผู้คนกำลังเชิดสิงโต เสียงกลองเสียงฆ้องดังกึกก้องไปทั่ว

เห็นเช่นนั้น ชายในอาภรณ์สีม่วงจึงจำต้องเก็บสิ่งที่กำลังจะเอ่ยคืนมา ออกคำสั่งให้คนคุมหางเรือหันหัวเรือไปทางเรือบุปผาที่อยู่ไม่ไกล

ดอกไม้สดในเทศกาลเทพบุปผา สุดท้ายต้องเอาไปสักการะที่เรือบุปผา หลักจากเรือเล็กขยับเข้าไปใกล้แล้ว เซี่ยสือชีจึงสั่งให้คนคุมหางเรือขนดอกไม้ในเรือทั้งหมดขึ้นไปยังเรือบุปผา จากนั้นจึงพายเรือพาทั้งสามคนเข้าฝั่ง ริมฝั่งเสียงดังกึกก้อง ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง ในอานเซี่ย เทศกาลเทพบุปผาเป็นเทศกาลที่ครึกครื้นเสียยิ่งกว่าปีใหม่เสียอีก ไม่เพียงมีตลาดใหญ่โต ทั้งยังมีการแสดงมากมาย มีการคัดเลือกเซียนบงกชขึ้นไปร่ายรำบูชาบนเรือบุปผา

ทั้งสามคนเลือกตำแหน่งที่มองเห็นได้กว้างไกลนั่งลงดื่มชา พร้อมทั้งชื่นชมบรรยากาศคึกคักตรงหน้า

เซี่ยสือชีโคลงถ้วยชาในมือเล่น ถอนหายใจ เอ่ย “อานเซี่ยช่างเป็นสถานที่ที่ดียิ่งนัก บางครั้งข้าก็อยากปักหลักอยู่ที่นี่ตลอดไป”

หนานกงมั่วยกถ้วยชาขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ไม่เลวจริง” เซี่ยสือชีปลายตามองหนานกงมั่ว จากนั้นหันไปมองสีหน้าเรียบเฉยของเว่ยจวินมั่วที่ไม่มีความสนใจแม้ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใด เบ้ปาก “คุยกับพวกเจ้าช่างเสียเวลา ข้าไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *