หมอหญิงยอดมือสังหาร 993 หนิงอ๋องผู้ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 993 หนิงอ๋องผู้ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 993 หนิงอ๋องผู้ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ (2)

ตอนที่หนานกงมั่วเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ฉินจื่อซวี่และชวีเหลียงซิงได้รออยู่ก่อนแล้ว คนที่อยู่ในนั้นยังมีหนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์ด้วย ตอนที่หนานกงมั่วมาถึงหนานกงฮุยพาซังเนี่ยนเอ๋อร์ออกไปนอกเมืองพอดี กระทั่งได้ข่าวจึงรีบกลับมา เมื่อเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามาฉินจื่อซวี่และชวีเหลียนซิงจึงรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ “จวิ้นจู่”

“ไม่ต้องมากพิธี”

“มั่วเอ๋อร์” หนานกงฮุยเอ่ยเรียก หนานกงมั่วยิ้ม มองหนานกงฮุยจากนั้นจึงหันไปมองซังเนี่ยนเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม “พี่สาม เนี่ยนเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง”

หนานกงฮุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเรามีหรือจะไม่สบาย ทว่าเจ้ากับพี่ใหญ่กลับอยู่ในสนามรบ ทำให้ข้าต้องเป็นห่วง”

หนานกงมั่วยิ้ม “ข้ากับพี่ใหญ่ก็สบายดี พี่รองไม่ต้องเป็นห่วง” ซังเนี่ยนเอ๋อร์ยิ้มพลางเอ่ย “หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อห้ามเอาไว้ เกรงว่าเขาก็คงไปหาพวกเจ้าในสนามรบตั้งนานแล้ว” หนานกงฮุยก้มหน้าอย่างละอายใจ การเป็นทหารเขาเองก็หวังว่าจะได้อยู่ในสนามรบ หากไม่ใช่เพราะมีพ่อตาคอยชี้แนะเขาก็คงไม่อาจอยู่ในเฉินโจวได้อย่างวางใจ “มั่วเอ๋อร์เจ้าวางใจ พี่รองจะไม่บุ่มบ่าม มีพี่รองอยู่ เฉินโจวจะไม่มีทางเป็นอันใด” หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “แน่นอนว่าข้าเชื่อใจพี่รอง”

ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ หนานกงฮุยก็ยิ่งยินดีขึ้นมา

ทุกคนนั่งประจำที่ หนานกงฮุยส่งงานส่วนที่หนานกงมั่วจำเป็นต้องจัดการของตลอดหลายวันนี้มาให้ อีกทั้งยังเอ่ยคร่าวๆ ถึงสถานการณ์ในเฉินโจว ผ่านการฟื้นฟูมาหลายปี ชีวิตการเป็นอยู่ของชาวเฉินโจวในปีนี้ถือว่าไม่เลว แม้ยามนี้เป็นยามศึกสงคราม แต่อย่างไรก็ไม่มีการต่อสู้ทำสงครามกันในเมือง ดังนั้นประชาชนจึงอยู่กันอย่างมีความสุข เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วเข้าใจดี จะช้าจะเร็วก็ต้องทำสงคราม ดังนั้นสองปีมานี้จึงวางแผนกักตุนอาหาร สิ่งของจำเป็นในกองทัพไม่ต้องกังวลว่าจะขาด ดังนั้นทุกอย่างจึงดูไม่เลว

หนานกงมั่วฟังจบแล้วจึงพยักหน้า ชื่นชมในความสามารถของฉินจื่อซวี่ หลายวันมานี้ยกเฉินโจวให้ฉินจื่อซวี่ดูแล ทุกอย่างล้วนเป็นระเบียบและเรียบร้อย ลูกหลานตระกูลขุนนางของต้าเซี่ยผู้ที่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง อย่างน้อยย่อมเป็นเจ้าหน้าที่ราชการชั้นสูงได้อยู่แล้ว ถึงฉินจื่อซวี่จะมาอยู่ตรงหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคงเป็นเรื่องง่ายๆ หากเขาอยากเป็นเจ้าหน้าที่ราชการฝ่ายการปกครอง

สำหรับการชื่นชมของหนานกงมั่ว ฉินจื่อซวี่เพียงยิ้มบางๆ ไม่ได้ลำพองใจหรือถ่อมตัวมากเกินไป

ชวีเหลียนซิงเองก็เข้ามารายงานถึงสถานการณ์การเงินของหยาเหมินเมืองเฉินโจวรวมไปถึงวังจื่อเซียวด้วย กำไรขาดทุนบันทึกเอาไว้ไม่ขาดตกบกพร่องชัดเจน เพียงอ่านก็เข้าใจ

หนานกงมั่วปิดบัญชีตรงหน้าลง มองไปยังฉินจื่อซวี่ เอ่ยถาม “เรื่องของเอ้อกั๋วกง คุณชายฉินมีความคิดเห็นเช่นไร”

ฉินจื่อซวี่ชะงัก ลังเลอยู่นาน เอ่ย “เรื่องนี้…ข้าน้อยไม่เข้าใจเรื่องการทำสงครามนัก เกรงว่าไม่อาจแสดงความคิดเห็นแก่จวิ้นจู่ได้” หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านลองเอ่ยอันใดมาก็ได้ ข้าก็จะฟังอันใดก็ได้” คุณชายฉินครุ่นคิด เอ่ย “เรื่องนี้ ข้าน้อยมีความรู้น้อยนัก…เอ้อกั๋วกงยังคงเป็นเสาหลักของต้าเซี่ย จงรักภักดีต่อราชสำนัก แม้จะมีจุดยืนอยู่คนละฝ่าย แต่ว่า…เอ้อกั๋วกงมีชื่อเสียงล้นฟ้า หากสังหารเขาคงไม่เป็นผลดีกับเรา”

หนานกงมั่วพยักหน้า ไม่เอ่ยสิ่งใด ฉินจื่อซวี่เอ่ยต่อ “หากสามารถจับเอ้อกั๋วกงทั้งเป็นแน่นอนว่าจะเป็นการดีที่สุด ถ้าหากทำไม่ได้…ทางที่ดีจวิ้นจู่หลีกเลี่ยงที่จะให้เอ้อกั๋วกงตายด้วยฝีมือทหารของเรา นอกจากนี้อย่าให้คนทำลายร่างของเอ้อกั๋วกง”

หนานกงมั่วพยักหน้า “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” หนานกงมั่วไม่มีนิสัยดูหมิ่นผู้ตาย ยิ่งไปกว่านั้นเอ้อกั๋วกงยังเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเคารพ

ฉินจื่อซวี่เอ่ย “เอ้อกั๋วกงสร้างผลงานเพื่อต้าเซี่ย ไม่แก่งแย่งอำนาจ ไม่มีความโลภเงินทอง ยามนี้เอ่ยได้ว่าเป็นวีรบุรุษติดตามอดีตฮ่องเต้ร่วมก่อตั้งประเทศเพียงหนึ่งเดียวที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ผู้คนมักให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีหนึ่งเดียวเสมอ” แม้หนานกงไหวจะยังอยู่ แต่หนานกงไหวนั้นทำลายชื่อเสียงของตนเองจนย่ำแย่ไปนานแล้ว ต่อให้เขาตายก็ไม่อาจสร้างคลื่นใหญ่อันใดได้ แต่เอ้อกั๋วกงไม่เหมือนกัน

“หากเอ้อกั๋วกงถูกพวกเราสังหาร เลี่ยงได้ยากที่จะไม่ทำให้ประชาชนชาวเมืองและทหารในราชสำนักเกิดความแค้น หากราชสำนักใช้โอกาสนี้ก่อคลื่นขึ้นมา คงเป็นอุปสรรคในทางข้างหน้าของพวกเรา หากทำให้ทหารราชสำนักสู้ถวายชีวิตเพราะเรื่องนี้ เกรงว่าพวกเราเองก็คงจะล้มตายเกิดการสูญเสียมหาศาล” หนานกงมั่วกุมขมับ เอ่ยถาม “เช่นนั้น คุณชายฉินคิดว่าควรทำเยี่ยงไร”

ฉินจื่อซวี่ยิ้ม “อย่างที่ข้าน้อยเอ่ยเมื่อครู่ ไม่อาจทำให้เอ้อกั๋วกงตายในมือของเรา ความดีความชอบนี้ไม่เอาก็คงไม่เป็นไร”

หนานกงมั่วครุ่นคิด เงียบไปชั่วครู่ “จื่อซวี่เอ่ยเช่นนี้ เกรงว่าคงมิใช่เพียงเหตุนี้กระมัง” ฉินจื่อซวี่ชะงัก ยิ้มอย่างจนปัญญา “ไม่อาจปิดบังจวิ้นจู่ได้โดยแท้ เรื่องในกองทัพโยวโจวของจวิ้นจู่และคุณชาย ข้าน้อยเองก็ได้ยินมาบ้าง”

“ท่านคิดเยี่ยงไร”

ฉินจื่อซวี่ยิ้ม เอ่ย “ความจริงก็มิได้แปลกใจ นับแต่อดีตมามีความดีความชอบมากก็เป็นอันตราย แม้ความสัมพันธ์จวนเยี่ยนอ๋องและคุณชายจะไม่อาจเรียกว่าเจ้านายได้ แต่อย่างน้อยสำหรับนายทหารชั้นสูงผู้ใต้บังคับบัญชาและเหล่าคุณชายก็คงไม่แบ่งเขาแบ่งเราจริงๆ สังหารเอ้อกั๋วกงความดีความชอบนี้ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่สำหรับคุณชายแล้วเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เกรงว่าอาจทำให้นายทหารในกองทัพเกิดความหวาดระแวงและเกลียดชัง ดังนั้นข้าน้อยจึงบอก มิสู้ไม่เอาเสียจะดีกว่า”

หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ “เป็นคุณชายฉินที่มองได้ขาดแล้ว”

ฉินจื่อซวี่ยิ้มเอ่ย “ความจริงวิธีที่ดีที่สุดก็คือ หากจับเป็นเอ้อกั๋วกงได้ เราปล่อยเขากลับไปก็พอ”

หนานกงฮุยไม่เข้าใจนัก “นี่ไม่ใช่การปล่อยเสือกลับเข้าป่าหรือ”

ฉินจื่อซวี่ยิ้มเอ่ย “แม้เอ้อกั๋วกงจะน่ากลัว นั่นเพราะเขานำทัพทำสงครามและชื่อเสียงของเขา แต่ยามนี้เขาพ่ายแพ้และถูกจับกุม อีกทั้งยังถูกจวิ้นจู่ปล่อยตัวกลับไป ต่อให้เซียวเชียนเยี่ยไม่ว่าอันใด เหล่าขุนนางในราชสำนักก็ไม่มีทางให้เขานำทัพอีกเป็นแน่ เอ้อกั๋วกงที่ไม่อาจนำทัพได้ก็เป็นเพียงเสือป่วยเท่านั้น ไม่มีอันใดน่าเกรงขาม” ฉินจื่อซวี่เข้าใจเหล่าขุนนางในราชสำนักได้เป็นอย่างดี เห็นความจงรักภักดีสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดเป็นไหนๆ ในสายตาของพวกเขาหากเอ้อกั๋วกงพ่ายแพ้ถูกจับกุม ไม่ได้สละชีพเพื่อชาติก็นับว่าไม่จงรักภักดีแล้ว คนไม่จงรักภักดีอีกทั้งยังเป็นแม่ทัพที่นำทัพพ่ายแพ้ไหนเลยจะยอมให้เขาลงสู่สนามรบอีกครั้ง

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นความคิดที่ดี เพียงแต่…ยามนี้เอ่ยถึงเรื่องนี้ยังเร็วเกินไป”

หุบเขาชิงอวิ๋นถูกปิดล้อมแล้ว แต่จะจับหรือสังหารหยวนชุนยังต้องใช้เวลา แผนการของหนิงอ๋องแม้จะชั่วร้าย ทว่าก็เป็นวิธีที่ทำให้เขาสูญเสียทหารน้อยที่สุด หนานกงมั่วจึงไม่คิดโต้แย้งใดๆ

เรือนด้านหลังหยาเหมินเมืองเฉินโจว หนิงอ๋องเดินเล่นอยู่ในสวนที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก สูดหายใจเข้าลึกอย่างอารมณ์ดี จากนั้นบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน องครักษ์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังมองท่านอ๋องที่ไม่รักษาภาพลักษณ์ก็ไร้ซึ่งวาจาจะเอ่ย พวกเขาชินแล้ว

“เจ้าว่า…เจ้าเด็กเว่ยจวินมั่วนั่น อีกทั้งซิงเฉิงจวิ้นจู่ น่าสนใจมากใช่หรือไม่” หนิงอ๋องเอ่ยอย่างเกียจคร้าน หันกลับไปถามองครักษ์ด้านหลัง

องครักษ์หลุบตาลง “ท่านอ๋องคิดว่าใช่ แน่นอนว่าก็ต้องใช่พ่ะย่ะค่ะ” เขาเป็นเพียงองครักษ์ตัวเล็กๆ ไหนเลยจะกล้าวิจารณ์คุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่เล่า แม้ว่าหนิงอ๋องจะเป็นคนที่ไม่มีข้อห้าม แต่คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้ขอบเขตโดยไม่มีข้อห้ามใดๆ เหมือนเขาอย่างแน่นอน

แม้หนิงอ๋องจะไม่พอใจกับคำตอบนี้นักทว่าไม่ทำให้เขาลำบากใจ เพียงส่งเสียงหยันในลำคอ เอ่ย “คำนวณดูแล้ว พื้นที่ของเฉินโจวก็ไม่ได้เล็กไปกว่าสีโจวกระมัง นอกจากสถานะ อำนาจของเว่ยจวินมั่วเจ้าเด็กคนนั้นก็เป็นดั่งผู้ปกครองเมือง” ไม่เพียงไม่เล็ก เว่ยจวินมั่วยึดเมืองเล็กๆ หกเมืองรอบเฉินโจวอีก เมื่อเทียบกับพื้นที่สีโจวของหนิงอ๋องรวมไปถึงโยวโจวของเยี่ยนอ๋องเกรงว่าคงมากกว่าด้วยซ้ำ ต่อให้อยู่ในยุคสมัยของอดีตฮ่องเต้ กำลังทหารในหมู่ของผู้ปกครองเมืองก็ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ

“แต่เจ้าดูสิ จวนหยาเหมินแห่งนี้ยังคงเหมือนครั้งที่เรามาเมื่อสองปีก่อนไม่มีอันนใดเปลี่ยนแปลง เว่ยจวินมั่วตระหนี่แม้แต่จวนก็คร้านจะปรับปรุงซ่อมแซม” หนิงอ๋องส่งเสียงหยัน นึกถึงใครบางคนควักเงินออกมาเมื่อหลายปีก่อนก็อารมณ์ไม่ดี สามารถพลิกฟื้นเมืองเฉินโจวที่แร้นแค้นขึ้นมาได้ จนมาถึงตอนนี้หนิงอ๋องรู้สึกว่าตนเองไม่อาจประเมินได้ว่าครอบครัวของเว่ยจวินมั่วร่ำรวยเพียงใดกันแน่

องครักษ์หันไปมองท่านอ๋องของพวกเขา เขาคิดว่าท่านอ๋องกำลังอึดอัดใจที่ไม่รู้ว่าคุณชายเว่ยเอาเงินมากมายนั้นมาจากที่ใด

“เจ้าว่า เจ้าเด็กคนนี้ไม่สนใจอำนาจชื่อเสียงหรืออย่างไร อีกทั้งซิงเฉิงจวิ้นจู่นั่น อยู่ในสถานที่แย่ๆ เพียงนี้ยังไม่บ่นสักคำ”

องครักษ์มองไปรอบๆ ความจริง…ที่นี่คงไม่เรียกว่าแย่กระมัง

กวาดตามององครักษ์ของตนเพียงเล็กน้อยก็รู้แล้วว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ หนิงอ๋องจนปัญญาที่จะเอ่ยกับเขา ส่งเสียงหึเบาๆ จากนั้นเดินเข้าไปด้านใน ใต้ต้นไม้ในมุมหนึ่งของจวนห่างออกไปไม่ไกล ก้อมกลมนุ่มนุ่มกำลังนั่งย่อตัวอยู่ใต้ต้นไม้ไม่รู้กำลังทำอันใด ดวงตาหนิงอ๋องวาววับขึ้นมายกมือขึ้นห้ามองครักษ์ รีบสาวเท้าเดินเข้าไป

“โอ้ เยาเยาน้อย มาอยู่คนเดียวที่นี่แต่เช้าทำไมกัน” หนิงอ๋องยิ้มตาหยีเดินมาด้านหลังเยาเยา

ทว่าเยาเยากลับไม่ตกใจ หันกลับมาหาหนิงอ๋องพร้อมรอยยิ้มหวาน “เสด็จปู่ ทักทายยามเช้าเจ้าค่ะ” หนิงอ๋องกระแอมไอ ก้าวเข้าไปสองก้าว “อรุณสวัสดิ์ ไยเยาเยาจึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวเล่า อานอานล่ะ” เยาเยายู่ปากเล็ก “ท่านแม่ไปคุยกับท่านอาฉินและท่านน้าชวี พี่ชายและพี่อาเจี้ยวกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ เยาเยามาเยี่ยมเฟยเฟย”

“”หืม เฟยเฟยหรือ ผู้ใดกัน” หนิงอ๋องงุนงง ที่นี่เหมือนจะไม่มีคนอื่นนี่นา

เยาเยายิ้มเอ่ย “เฟยเฟยเป็นเพื่อนของเยาเยา เยาเยาชอบเล่นกับเฟยเฟยที่สุด พี่อาเจี้ยวและพี่ชายมักไม่มีเวลาว่าง”

“เพื่อนหรือ”

เยาเยาดวงตาเปร่งประกาย “เสด็จปู่จะเล่นกับเฟยเฟยด้วยกันหรือไม่”

“ได้สิ เอามาให้ปู่ดู เฟยเฟยเป็นอย่างไร” หนิงอ๋องก้าวเข้าไปใกล้ อยากรู้ว่าเฟยเฟยที่เยาเยาเอ่ยถึงคืออันใด คงจะไม่ใช่คน เป็นกระต่ายน้อยหรือ นกน้อย แมวน้อย หมาน้อยหรือ

เยาเยาก้มลงไปทำอันใดบางอย่างใต้ต้นไม้อยู่ชั่วครู่ หันกลับมาแล้วยื่นบางอย่างมาตรงหน้าหนิงอ๋องด้วยรอยยิ้มยินดี “เสด็จปู่ดูสิเจ้าคะ เฟยเฟยสวยมาก”

ชั่วครู่…สวนที่เรือนด้านหลังหยาเหมินพลันมีเสียงร้องดังขึ้นมา “อ๊ากกก เจ้ารีบเอาเจ้านี่ออกไป เอาออกไป”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *