หมอหญิงยอดมือสังหาร 369 พิษร้ายแรงที่สุดคือใจสตรี (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 369 พิษร้ายแรงที่สุดคือใจสตรี (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 369 พิษร้ายแรงที่สุดคือใจสตรี (2)
ไม่เกินกว่าที่คาดไว้ เบาะแสได้ถูกทำลายไปก่อนที่ตู้ชวีและตู้หงจะกลายเป็นศพแล้ว แม้พบว่าประวัติก่อนเข้ามาอยู่ในวัดของทั้งสองคนนั้นเป็นเท็จแต่ก็ตรวจไม่พบสิ่งใดเพิ่มเติมอีก อย่างเช่น ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก่อนจะเข้ามาอยู่ในวัดต้ากวงหมิง พวกเขาทำอันใดมาก่อนนั้นไม่มีข้อมูลเลย อย่างน้อย นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนอย่างเหอเหวินลี่จะสามารถหาได้ด้วยตัวคนเดียว เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่สามารถค้นหาสิ่งใดเพิ่มได้แล้ว เหอเหวินลี่จึงบอกกับเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วให้กลับจินหลิงไปก่อน อย่างไรก็ตามวัดต้ากวงหมิงจะยังคงถูกปิดล้อมไว้อยู่ ไต้ซือคงหรูและเจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิงจำต้องไปพำนักอยู่ที่เขตอิ้งเทียนก่อนชั่วคราว ส่วนพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปรวมถึงเนี่ยนหย่วนยังคงต้องอยู่ภายในวัดต้ากวงหมิง ออกไปไหนไม่ได้

เพิ่งกลับมาถึงจินหลิง ยังไม่ทันได้คารวะองค์หญิงฉังผิงก็มีคนจากวังมารอมอบราชโองการให้ทั้งสองคนอยู่แล้วให้เดินทางเข้าวัง ฉะนั้นทั้งคู่จึงรีบเข้าวังทันที เมื่อมาถึงห้องทรงอักษรก็เห็นฮ่องเต้พระพักตร์เคร่งเครียดอยู่ ฮ่องเต้จ้องมองเว่ยจวินมั่วอยู่นาน เอ่ย “เราสั่งให้เจ้าสอบสวนคดี แต่เจ้ากลับแอบหนีไปเกียจคร้านอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง”

เว่ยจวินมั่วนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้กำลังยัดเยียดความผิดให้เขา เขาจะเอ่ยอันใดย่อมผิดหมด ยิ่งเอ่ยมากยิ่งผิดมาก

ฮ่องเต้รับสั่งขึ้นโดยพลัน “ไปหา! หากไม่พบพระคัมภีร์ก็สอบสวนต่อไป! ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินจินหลิงหาก็ต้องเอาพระคัมภีร์ของฮองเฮากลับมาให้จงได้!”

หนานกงมั่วอดไม่ได้จึงเอ่ยถาม “แล้วหาก…พระคัมภีร์ถูกหัวขโมยนำออกไปแล้วล่ะเพคะ” รู้ได้เยี่ยงไรว่าพระคัมภีร์ยังคงอยู่ในจินหลิง แน่นอนว่าหากฮ่องเต้สั่งให้เว่ยจวินมั่วเดินทางออกไปตามหา นางก็ยินดีที่จะเดินทางไปกับเขา ฮ่องเต้จ้องนางเขม็ง ก่อนหันไปมองเว่ยจวินมั่วอย่างพิโรธ เอ่ยว่า “ไปหามาให้ได้!”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เว่ยจวินมั่วตอบเสียงหนักแน่น เมื่อมองไปยังเว่ยจวินมั่วที่มีใบหน้าเย็นชาเคร่งขรึมละม้ายคล้ายองค์หญิงฉังผิง ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เราขอให้เจ้าช่วยเชียนเยี่ยเล็กๆ น้อยๆ แต่เจ้ากลับรีบหนีไป หรือเห็นเราเป็นคนไร้จิตเมตตา คิดว่าเราจะไม่หนุนหลังเจ้าหรือ” หากฮ่องเต้ยังไม่เข้าใจในตอนแรก สองสามวันที่ผ่านมาก็เพียงพอแล้วที่จะเข้าใจมากขึ้น แม้ว่าเดิมจะนึกโมโหอยู่บ้างแต่อย่างไรก็เป็นหลานของตน อีกทั้งก็เป็นหลานชายของตนที่ไม่ได้เรื่องจนพลาดเสียรู้ผู้อื่น ฮ่องเต้จึงทำได้เพียงทั้งโกรธทั้งขบขันในเวลาเดียวกัน

เว่ยจวินมั่วสีหน้านอบน้อม “ฝ่าบาท เย่ว์จวิ้นอ๋องเป็นผู้ขอให้กระหม่อมออกจากเมืองไปช่วยใต้เท้าเหอพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ถอนหายใจเสียงเบา เอ่ย “แล้วตอนนี้เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วสินะ! เราสั่งให้เจ้าช่วยเย่ว์จวิ้นอ๋อง จัดการคดีนี้”

“กระหม่อมรับราชโองการ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยรับ อย่างไรก็ตามเรื่องของผู้กระทำผิดเซียวเชียนเยี่ยก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะมีสิ่งใดให้จัดการอีกหรือ

ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่นึกอยากเห็นหน้าเว่ยจวินมั่วสักเท่าใดนัก หลังจากรับสั่งเสร็จสิ้นแล้วจึงโบกมือให้ทั้งสองลากลับไปทันที

เมื่อกลับมายังจวนเยี่ยนอ๋อง องค์หญิงฉังผิงกำลังรอพวกเขาอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่องค์หญิงฉังผิงจะไม่รู้ถึงเหตุการณ์ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา สำหรับเรื่องที่บุตรชายและสะใภ้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แน่นอนว่าองค์หญิงฉังผิงย่อมรู้สึกกังวลไม่น้อย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่มีคดีใหญ่ๆ ใดเลยที่มิใช่คดีนองเลือด มีคนจากตระกูลชั้นสูงและพระราชวงศ์ที่เสียชีวิตมากมายเกินกว่าจะนับได้ เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาด้วยตาตัวเองแล้วองค์หญิงฉังผิงจึงโล่งใจ

“หากรู้เช่นนี้จะไม่ยอมให้เจ้าไปเรือนพำนักที่เขาจื่ออวิ๋นเด็ดขาด เรายังมีเรือนพำนักอื่นอยู่ไกลออกไปอีกหลายแห่ง” องค์หญิงฉังผิงกล่าวอย่างขุ่นเคือง หนานกงมั่วยิ้มอ่อน เอ่ยปลอบองค์หญิงฉังผิง “ท่านแม่ มีกี่เรื่องในโลกที่สามารถคาดเดาได้เล่า อีกอย่างหากฝ่าบาทประสงค์ให้จวินมั่วเข้าไปเกี่ยวข้องจริง ไม่ต้องเอ่ยถึงที่ห่างไกลกว่านี้ ต่อให้เป็นโยวโจว หากฝ่าบาทมีรับสั่งให้กลับจะไม่กลับได้หรือ สถานการณ์ในตอนนี้ดีที่สุดแล้วเพคะ”

องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “เจ้าเด็กเชียนเยี่ยผู้นี้ก็หุนหันพลันแล่นเกินไป” สองวันที่ผ่านมาไม่เพียงแต่ฮ่องเต้เท่านั้นที่ไม่ได้พักผ่อน แม้แต่องค์หญิงฉังผิง องค์หญิงหลิงอี๋ ทั้งสองพระองค์ก็ต้อนรับแขกผู้มาเยือนไม่ได้หยุดเช่นกัน ลูกหลานตระกูลขุนนางและบรรดาญาติพี่น้องจำนวนมากถูกเย่ว์จวิ้นอ๋องสั่งกักขัง คนเหล่านี้ไม่สามารถเข้าไปอ้อนวอนต่อหน้าฮ่องเต้ได้จึงลองมาเข้าทางองค์หญิงดู ให้องค์หญิงฉังผิงขอความเมตตาแทนพวกเขา องค์หญิงฉังผิงไม่เคยสนใจเรื่องในราชสำนัก อีกทั้งเรื่องครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง แน่นอนว่ายิ่งเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ จึงทำได้เพียงสั่งปิดจวนมิให้แขกเข้าพบเท่านั้น

หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วเหลือบมองกัน พวกเขาไม่ต้องการให้องค์หญิงฉังผิงคิดอย่างเรียบง่ายเช่นนั้น จริงอยู่ที่เซียวเชียนเยี่ยค่อนข้างหุนหันพลันแล่น แต่ความบุ่มบ่ามใจร้อนของเขาก็ไม่ได้เกิดจากความเยาว์วัยและเย่อหยิ่งเท่านั้น ยามนี้ฮ่องเต้ได้ให้อันจวิ้นอ๋องและเฉิงจวิ้นอ๋องเข้ามาร่วมด้วยแล้ว เกรงว่าจะยังมีเรื่องวุ่นวายให้เจออีก บางทีนี่คงเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทประสงค์ให้เกิด ในเมื่อย้อนไปแก้ไขไม่ได้แล้วเช่นนั้นยิ่งวุ่นวายก็ยิ่งดี

ทุกวันนี้สถานการณ์ในเมืองจินหลิงนั้นแปรเปลี่ยนไปมาจนหูตาพร่ามัวไปหมด เดิมทีที่เย่ว์จวิ้นอ๋องเข้าไปยุ่งกับขุนนางจากตระกูลชั้นสูงก็ทำให้คนตื่นกลัวกันอยู่แล้ว แล้วยังมีอันจวิ้นอ๋องและเฉิงจวิ้นอ๋องมาร่วมด้วยอีก เมืองจินหลิงจึงอยู่ในสถานการณ์ลมพายุเข้า ไม่รู้ว่ามีข่าวหลุดออกมาจากที่ใดว่าเหตุผลที่ราชวงศ์เคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ เป็นเพราะพระคัมภีร์ที่ถูกขโมยไปจากวัดต้ากวงหมิงมีความลับเพียงพอที่จะล้มล้างอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้ เป็นผลให้ผู้คนทุกที่เริ่มคำนวณกำลังพลและสืบข่าวด้วยตนเองอย่างลับๆ เพื่อจะดูว่าใครเป็นคนสร้างปัญหาวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ และใครกันแน่ที่เอาพระคัมภีร์ไป

ขณะเดียวกัน จวิ้นอ๋องทั้งสามซึ่งได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ก็เริ่มสอบสวนตระกูลชั้นสูงในเมืองจินหลิง ในเมื่อเริ่มแล้วแน่นอนย่อมมิใช่เพียงตรวจสอบความเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์เท่านั้น ยังมีคนในวังอีกหลายร้อยที่เพิ่งถูกตัดคอไป บังอาจเข้ามาหาข่าวถึงใต้จมูกฮ่องเต้ พวกเจ้ากำลังพยายามทำสิ่งใดกัน

ไม่ว่าจวิ้นอ๋องทั้งสามจะต้องการใช้โอกาสนี้แก้แค้นเรื่องส่วนตัวหรือทำเพื่อเอาหน้าให้ฮ่องเต้เห็น แต่อย่างน้อยพวกเขาย่อมต้องทุ่มเทสุดความสามารถ ยิ่งมีอีกฝ่ายคอยจับตาควบคุมอยู่ จึงไม่มีใครเอาเปรียบใครได้ ฉะนั้นจึงจำต้องละความคิดอย่างอื่นและสอบสวนคดีอย่างเถรตรง เมื่อมีเซียวเชียนหลิงและเซียวเชียนลั่วคอยคุกคามอยู่ เซียวเชียนเยี่ยก็เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น คดีก็จัดการได้ดีไม่น้อย ทว่าหากกล่าวไปแล้ว ชนชั้นสูงในเมืองหลวงโดยเฉพาะลูกหลานของตระกูลใหญ่ล้วนแต่ต้องสูญเสียอย่างมาก แน่นอนว่าพวกตระกูลขุนนางคงไม่ยอมทั้งสามคนโดยไม่โต้กลับ ทว่าพวกเขาเพียงวางแผนอย่างลับๆ รอเวลาเอาคืนที่เหมาะสม

อีกด้านหนึ่ง มีข่าวมาจากจวนฉู่กั๋วกงว่าเฉียวเย่ว์อู่นั้นถูกหนานกงซูกระทำอย่างน่าสังเวช เดิมทีที่เซียวเชียนเยี่ยเอาตัวเฉียวเย่ว์อู่กลับมาก็เพื่อให้หนานกงซูได้ระบายความแค้น ใครจะรู้ว่าเมื่อเฉียวเฟยเยียนฆ่าตัวตาย หนานกงไหวก็กลับคำทันที ไม่รู้ว่าให้สัญญากับเซียวเชียนเยี่ยไว้มากมายเพียงใด แต่เซียวเชียนเยี่ยก็ตกลงที่จะส่งเฉียวเย่ว์อู่กลับคืนให้ไป ในมุมมองของเซียวเชียนเยี่ย การที่หนานกงซูทรมานเฉียวเย่ว์อู่อย่างหนักก็ถือว่าได้ระบายแค้นไปบ้างแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าการสูญเสียลูกจะส่งผลกระทบต่อหนานกงซูมากเท่าใด รวมถึงหนานกงซูจะเกลียดเฉียวเย่ว์อู่เพียงใดกัน ในที่สุดเฉียวเย่ว์อู่ที่ยังมีชีวิตก็ถูกส่งกลับไปยังจวนฉู่กั๋วกง แต่เมื่อเฉียวเฟยเยียนเห็นสภาพเฉียวเย่ว์อู่ที่ถูกส่งตัวกลับมา นางก็พลันหมดสติไปทันที

เฉียวเย่ว์อู่ที่ถูกทรมานถูกส่งกลับไปยังจวนฉู่กั๋วกงในสภาพแทบไม่เป็นคน ทั่วทั้งร่างไม่มีส่วนใดไม่บอบช้ำ ใบหน้าอันสวยงามแต่เดิมของนางถูกบาดเป็นแผลลึกและยาวหลายรอย แม้แต่หมอหลวงฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดก็ทำได้เพียงส่ายหน้าและถอนหายใจ กล่าวว่าไม่สามารถทำสิ่งใดกับแผลเป็นอันน่าเกลียดนี้ได้ เฉียวเย่ว์อู่คงจะต้องเสียโฉมไปเช่นนี้ ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือหลังจากที่หนานกงซูได้ข่าวว่าเฉียวเย่ว์อู่จะถูกส่งตัวกลับ นางจึงมอบเฉียวเย่ว์อู่ให้กับบ่าวขุดส้วมคนหนึ่งในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋อง กว่าจะถึงเวลาที่จวนฉู่กั๋วกงส่งคนไปรับ ความบริสุทธิ์ของเฉียวเย่ว์อู่ก็ถูกทำลายลงไปแล้ว ดูเหมือนว่าหนานกงซูจะยังไม่สะใจพอ นางจึงตัดสินใจส่งบ่าวคนนั้นกลับไปยังจวนฉู่กั๋วกงพร้อมกับเฉียวเย่ว์อู่เสียเลย

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *