หมอหญิงยอดมือสังหาร 530 หญิงกบฏ (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 530 หญิงกบฏ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 530 หญิงกบฏ (2)

เซียวเชียนจย่งมองซ้ายมองขวา เอ่ยถามเสียงเบา “เช่นนั้น…ตอนนี้ไม่เป็นอันใดแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

ด้านข้าง เซียวเชียนชื่อส่ายหน้า “เกรงว่า…พึ่งจะเริ่มต้นขึ้นหรือไม่” เกิดความเปลี่ยนแปลงในวังหลวง ไยจะเป็นเพียงการสังหารเซียวฉุนเพียงคนเดียว จับหนานกงไหวแล้วก็จบอย่างนั้นหรือ

เซียวเชียนเหว่ยมองหนานกงมั่ว เอ่ยถามด้วยความกังวล “พี่สะใภ้จะไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ร่วมกันก่อกบฏนั่นโทษประหารเก้าชั่วโคตร แม้จะเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่ว่า…อย่างไรก็ยังนับว่าอยู่ในเก้าชั่วโคตร เพียงแต่…เมื่อนับเช่นนี้แล้วพวกเขาเองก็ถูกรวมอยู่ในเก้าชั่วโคตรนั้นด้วย คิดถึงจุดนี้ เซียวเชียนเหว่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

เว่ยจวินมั่วเหลือบมองเขาเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นอันใดแน่นอน พวกเจ้า…เตรียมตัวกลับโยวโจว”

เซียวเชียนชื่อลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ยถาม “พี่ชาย จากไปตอนนี้จะไม่เป็นการดีหรือไม่” ฮ่องเต้พึ่งถูกกบฏ พวกเขาก็รีบจากไป มองอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกสงสัยขึ้นมา เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ข้าบอกให้เตรียมตัว”

“โอ้ ได้ เตรียมตัวขอรับ” เซียวเชียนชื่อนวดขมับ รู้สึกขมขื่นทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ชายผู้นี้ ตนมักจะรู้สึกหายใจติดขัด ทว่าในเวลาเดียวกันน้องชายที่น่าปวดหัวทั้งสองของเขาก็สามารถยกให้พี่ชายจัดการได้ นี่นับเป็นเรื่องที่ดีใช่หรือไม่ หากเทียบกับน้องชายทั้งสองแล้วเซียวเชียนชื่อรู้สึกว่าเขายอมที่จะเผชิญหน้ากับพี่ชายดีกว่า

ครึ่งชั่วยามต่อมา ท้องฟ้าเริ่มสว่าง เหล่าผู้มีอำนาจรีบรวมตัวกันหลังจากหวาดวิตกกังวลมาทั้งคืนเพื่อเตรียมตัวเข้าไปยังราชสำนัก โชคดีก็คือก่อนฟ้าจะสว่าง เรื่องราวทั้งหมดได้สงบลงแล้ว ทหารองครักษ์ถืออาวุธเต็มไปด้วยไอสังหารเหล่านั้นได้สลายหายไปหมดแล้ว โจรหรือใครที่บุกเข้าจวนครั้งแล้วครั้งเล่าก็หายตัวไปแล้ว สงบเงียบราวกับเมื่อคืนนั้นเป็นเพียงความฝัน แต่ว่า…เมื่อมีคนเดินผ่านจวนผู้สำเร็จราชการแทนและจวนฉู่กั๋วกงรวมไปถึงบรรดาญาติใกล้ตัวของเซียวฉุนก็จะรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จวนเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยทหารของราชสำนักและคนจากหยาเหมินเขตอิ้งเทียน

คนในจวนเยี่ยนอ๋องแม้แต่พักผ่อนก็ไม่ทันได้พัก พอฟ้าสว่างก็มีคนเข้ามาเยือน หลังจากส่งทั้งผู้สืบทอดของคังอ๋อง องค์หญิงหลิงอี๋ เป็นต้นออกไปแล้ว เมื่อส่งเชื้อพระวงศ์เสร็จสิ้นต่อมาก็เป็นตระกูลเซี่ย ตระกูลฉิน บรรดาเหล่าตระกูลขุนนางในจินหลิง แม้แต่ตระกูลลิ่นยังส่งคนมาหาลิ่นฉังเฟิง แน่นอนว่าถูกคุณชายฉังเฟิงที่ปิดประตูทำสมาธิสั่งคนเชิญออกไปอย่างไม่ไยดี

ในห้องโถงใหญ่ ฉินจื่อซวี่ถือถ้วยชา พลางลอบสังเกตชายหญิงตรงหน้า คงเพราะเมื่อคืนทั้งคืนไม่ได้นอน สติของหนานกงมั่วก็เลือนลางขึ้นทุกที เอนตัวพิงไหล่เว่ยจวินมั่วด้วยท่าทางเกียจคร้าน ใบหน้าที่เคยงามสง่ายามนี้ซีดลงไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้คนที่นั่งอยู่ด้านข้างเป็นชายหนุ่มที่นั่งหลังตรงราวกับกระบี่ตั้งตรงทว่ากลับทำให้คนรู้สึกว่าเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด

ฉินจื่อซวี่อดยิ้มบางๆ ไม่ได้ สตรีบนโลกใบนี้ต่อให้เฉลียวฉลาดหรือโง่เขลา ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่หรือลูกสาวชาวบ้านธรรมดา อยู่ด้านนอกนั้นมักจะแสดงออกด้วยท่าทางงามสง่า น้อยมากที่จะเป็นธรรมชาติเช่นหนานกงมั่ว ที่หาได้ยากที่สุดคือท่าทางเช่นนั้นของนางกลับไม่ได้ดูน่าเกลียด ทว่ากลับยิ่งทำให้คนรู้สึกว่ายิ่งงดงามน่าหลงใหลขึ้นไปอีก หัวใจของฉินจื่อซวี่เต้นรัวขึ้นมาเบาๆ ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันได้คิดให้เข้าใจก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบซึ่งมองมายังตน ทั่วทั้งร่างแข็งทื่อขึ้นมา เงยหน้าขึ้น มองเห็นสายตาคมที่จับจ้องมายังตนเอง ดวงตาสีม่วงแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด

ฉินจื่อซวี่แค่นยิ้มขมขื่นอย่างจนปัญญา คลำจมูกเบาๆ พร้อมส่ายศีรษะ เอ่ย “คุณชายเว่ย เรื่องเมื่อคืน…ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านมีความเห็นเช่นไร” ฉินจื่อซวี่ไม่รู้ว่าเรื่องเมื่อคืนหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วก็เป็นคนในเหตุการณ์ จึงตั้งใจมาหาเพียงคิดว่าเมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว บางทีหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วอาจจะรู้อันใดมากกว่าก็เท่านั้น

เว่ยจวินมั่วมองฉินจื่อซวี่ เอ่ยเสียงเข้ม “เซียวฉุนตายแล้ว หนานกงไหวถูกจับ”

ฉินจื่อซวี่ตกใจ “ข่าวของคุณชายเว่ย…ช่างรวดเร็ว” เป็นอย่างที่คาดการณ์ ทว่าเขายังไม่ได้รับข่าวที่ละเอียดนัก อย่างน้อยก็ไม่รู้ว่าเซียวฉุนตายไปแล้ว

เว่ยจวินมั่วเองไม่คิดปิดบัง เอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อคืนข้ากับอู๋สยาก็อยู่ในวังหลวง”

ฉินจื่อซวี่ลูบจมูกตามความเคยชิน ถอนหายใจ เอ่ย “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าคงไม่อ้อมค้อม คุณชายคิดว่า…ฝ่าบาทจัดการเซียวฉุนแล้ว คิดจะเอาไฟมาไหม้ที่หัวของตระกูลขุนนางหรือไม่” อย่างไรเสียในตระกูลขุนนางของพวกเขาก็มีบางตระกูลที่ลักลอบติดต่อกับเซียวฉุนจริงๆ แม้จะมิใช่เรื่องของตระกูลฉิน แต่ว่า…รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน สูญเสียก็สูญเสียด้วยกัน ยามนี้ไม่มีใครไม่ระแวดระวังแล้ว

หนานกงมั่วลืมตาขึ้น มองฉินจื่อซวี่อย่างแปลกใจ เอ่ย “คุณชายฉินไยจึงมาถามพวกเราเล่า ไม่ว่าฝ่าบาทจะคิดเยี่ยงไร พวกเราเองก็ไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้”

ฉินจื่อซวี่ยิ้ม เอ่ย “คงเป็นเพราะว่า…ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของคุณช่ายเว่ยและจวิ้นจู่”

เว่ยจวินมั่วสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่ายังเอ่ยปากตอบฉินจื่อซวี่ “นั่นคงต้องรอดูว่าตระกูลฉินมีแผนการต่อไปเยี่ยงไร”

ฉินจื่อซวี่ท่าทางเคร่งขรึม เอ่ยจริงจัง “รอฟังคำชี้แนะ”

เว่ยจวินมั่วมองไปยังฉินจื่อซวี่ด้วยสายตาเย็นชา ไม่เอ่ยสิ่งใด ฉินจื่อซวี่ชะงักไม่เข้าใจว่าไยเว่ยจวินมั่วจึงเป็นเช่นนี้ ขมวดคิ้ว หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมา เอ่ยเสียงเข้ม “ยืมมือคนอื่น” ความจริง ไม่ต้องถามเว่ยจวินมั่วก็คิดได้ ตระกูลขุนนางเช่นพวกเขาเองก็ไม่ใช่ไร้ความสามารถ เพียงแต่ฉินจื่อซวี่ยังอยากฟังความเห็นของคนนอกบ้าง และหนึ่งในนั้นคือหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วที่เป็นหนึ่งในคนที่เขาชื่นชมในความสามารถ

หนานกงมั่วมองไปยังฉินจื่อซวี่ เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “หวังว่าคุณชายฉิน…คงไม่เอาไฟมาเผากายจึงจะถูก”

ฉินจื่อซวี่ยิ้มขมขื่น ส่ายศีรษะ “จวิ้นจู่เข้าใจผิดแล้ว ตระกูลฉิน…ผ่านเรื่องราวของอตีดฮ่องเต้ ท่านพ่อเองก็คิดว่าตระกูลขุนนางเองก็เถรตรงเกินไป ควรยืดควรหด จึงจะอยู่ได้ยืนยาวมิใช่หรือ” โบราณกล่าวเอาไว้ว่าคนไม่ได้ดีทุกพันวัน ดอกไม้ไม่ได้แดงตลอดร้อยวัน ตระกูลหนึ่งอยากสืบทอดต่อกันยาวนาน เวลาที่ควรปล่อยก็ต้องปล่อย ตระกูลฉินเป็นที่หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ของจินหลิงแล้ว เดินไปอีกสักก้าวแล้วเยี่ยงไรเล่า บุรุษในตระกูลแต่งตั้งเป็นขุนนาง สตรีแต่งตั้งเป็นชายา กระทั่งฮ่องเต้ในอนาคตก็มีเลือดเนื้อเชื้อสายของตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ตามหลักขุนนางที่ติดตามอดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ขุนนางใหม่ที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งก็ต้องแข็งขันเพื่อเลื่อนระดับ เจ้าเมืองต่างๆ มีกำลังทหารอยู่ในมือ นี่ยังไม่ใช่ยุคที่สามารถมีขุนนางที่มีอำนาจกำเนิดขึ้นมาได้

แน่นอนตระกูลฉินเองก็ไม่อาจอยู่เฉยโดยไม่ทำอันใด เช่นนั้นแล้วตระกูลฉินคงได้ถูกบรรดาพันธมิตรกลืนกินจนสิ้น

ฉินจื่อซวี่นั้นเป็นผู้นำตระกูลฉินในรุ่นต่อไปอย่างแน่นอน อนาคตตระกูลฉินจะเดินไปได้เท่าใดนั่นขึ้นอยู่กับตัวเขา ฉินจื่อซวี่คิดว่าเป็นเพื่อนกับหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วไว้นับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แม้ยามนี้ถึงดูไม่ออกว่าจะมีประโยชน์เป็นรูปธรรมอันใด ทว่าก็เป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้ เขาเชื่อในความรู้สึกของตนเอง เหมือนครั้งแรกที่เขาไม่ชอบหร่วนอวี้จือ

หนานกงมั่วเอ่ย “นายท่านตระกูลฉินช่างหลักแหลมยิ่งนัก” แม้ว่าหนานกงมั่วจะเคยพบกับนายท่านตระกูลฉินเพียงหนเดียว แต่ไม่เอ่ยไม่ได้ว่าสิบตระกูลใหญ่ในจินหลิงกระทั่งบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ นางประทับใจที่สุดก็คงเป็นหัวหน้าตระกูลฉินผู้ลึกลับและเอ้อกั๋วกงผู้ซื่อตรง นายท่านตระกูลฉินอาจไม่ใช่คนดี แต่สำหรับความรุ่งเรืองของตระกูลแล้ว นับว่าเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่พึ่งพาได้

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *