หมอหญิงยอดมือสังหาร 580 ก็แค่เรื่องแม่สามีกับลูกสะใภ้ (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 580 ก็แค่เรื่องแม่สามีกับลูกสะใภ้ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 580 ก็แค่เรื่องแม่สามีกับลูกสะใภ้ (2)
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยว่า “เสด็จแม่อยู่แล้วมีความสุข หม่อมฉันและจวินมั่วจึงจะรู้สึกสบายใจเพคะ”

พระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็ยิ้มตามพลางเอ่ย “อู๋สยาพูดถูก นี่ถือเป็นความตั้งใจของพวกจวินมั่วสองสามีภรรยา น้องหญิงห้าวาสนาดีจริงๆ หากบุตรชายทั้งสามของข้าได้สักครึ่งหนึ่งของอู๋สยา ข้าคงจะดีใจจนล้นพ้น รีบกราบไหว้ฟ้าดินแทบไม่ทันเลยกระมัง” หนานกงมั่วยิ้มแล้วจึงเอ่ย “เสด็จป้ากล่าวเกินจริงไปแล้ว น้องชายทั้งสามเองก็กตัญญูต่อเสด็จลุงและเสด็จป้าไม่น้อยเลยเพคะ”

เฉินซื่อที่เดินตามหลังมาไม่ได้เอ่ยวาจาเลยแม้แต่คำเดียว นางเพียงแค่ฟังพร้อมกับยิ้มบางๆ เท่านั้น ทว่าดูออกได้อย่างชัดเจนว่ารอยยิ้มนางนั้นค่อนข้างฝืน เกรงว่าสองวันมานี้พระชายาเยี่ยนอ๋องคงจะเหน็บแนมนางไม่น้อย เวลานี้ยังไม่วายจะเหน็บแนมเรื่องความกตัญญูของหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วต่อหน้านาง หากเฉินซื่อคิดมากแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าคงจะฟุ้งซ่านไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

เห็นได้ชัดว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องตั้งใจเสียดสีลูกสะใภ้ จึงพูดคุยหัวเราะกับองค์หญิงฉังผิงราวกับว่ามองไม่เห็นสีหน้าของเฉินซื่อเลยอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าสายตาขององค์หญิงฉังผิงและหนานกงมั่วจะเต็มไปด้วยความจนใจและลำบากใจ ทว่าเรื่องระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้คนนอกย่อมไม่สะดวกที่จะยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายมากเกินไป จึงได้แต่หวังว่าเฉินซื่อจะรีบเข้าใจได้ในเร็ววัน เพราะตอนนี้นางยังไม่มีกำลังเพียงพอที่จะสามารถลุกขึ้นมาต่อต้านแม่สามีได้

หนานกงมั่วพาคนทั้งกลุ่มเดินชมทั่วทั้งเรือนหนึ่งรอบ พระชายาเยี่ยนอ๋องและองค์หญิงฉังผิงต่างก็ออกปากชมไม่ขาดสาย เพียงแต่องค์หญิงฉังผิงรู้สึกว่าชื่อเรือนซี่จ้าวไม่ค่อยไพเราะเท่าใดนัก จึงเปลี่ยนชื่อเป็นเรือนชิงมั่วหยวนแทน อีกทั้งจะย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ในอีกสามวันเลย

หลังจากกลับไปถึงจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว พระชายาเยี่ยนอ๋องก็ให้เฉินซื่อไปพักผ่อน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจหมุนตัวมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือที่เรือนด้านหน้า

ในห้องหนังสือ เยี่ยนอ๋องและเว่ยจวินมั่วกำลังนั่งสนทนางานราชสำนักกันอยู่ด้านใน ไม่รู้ว่ากำลังคุยเรื่องใดอยู่ ในยามที่พระชายาเยี่ยนอ๋องเข้าไปนั้น ก็เห็นเยี่ยนอ๋องกำลังจ้องมองเว่ยจวินมั่วตาเขม็งด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก เว่ยจวินมั่วก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ยังคงนั่งถือถ้วยน้ำชาอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าสงบและสุขุม พระชายาเยี่ยนอ๋องจึงยิ้มพลางเอ่ย “เกิดอันใดขึ้นหรือ มีอันใดก็ค่อยๆ พูดจากัน อย่าทำหลานเสียขวัญเช่นนี้เลยเพคะ”

เยี่ยนอ๋องสบถในลำคอเบาๆ พร้อมกับเหลือบมองเว่ยจวินมั่วด้วยสายตาดุดัน “ให้เจ้าเด็กนี่พูดเองดีกว่า!”

พระชายาเยี่ยนอ๋องจึงหันไปมองเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยด้วยความจนใจ “เสด็จลุง เดิมทีของเหล่านั้นท่านเป็นคนให้กระหม่อมเอง ยามนี้กระหม่อมจะคืนกลับเจ้าของเดิม ไม่ถูกต้องตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ที่แท้แล้ว เมื่อตอนที่เว่ยจวินมั่วไปอยู่ที่เจียงหนานเป็นครั้งแรก เขาสามารถสร้างวังจื่อเซียวที่กว้างขวางใหญ่โตได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี นอกเหนือจากความสามารถของเว่ยจวินมั่วและลิ่นฉังเฟิงแล้ว แน่นอนว่าย่อมขาดการสนับสนุนทางการเงินของเยี่ยนอ๋องไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าเว่ยจวินมั่วจะคืนเงินทองให้เยี่ยนอ๋องกลับไปเป็นสิบเป็นร้อยเท่าแล้ว ทว่าในมุมมองของเว่ยจวินมั่วแล้ว ก็เห็นว่าจวนเยี่ยนอ๋องมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของวังจื่อเซียวด้วย ยามนี้เขาไม่มีความคิดจะใช้ชีวิตอยู่ที่เจียงหนานต่อ จึงควรต้องคืนส่วนนี้ให้กับจวนเยี่ยนอ๋อง แต่เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนอ๋องไม่ได้คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับเขา เพราะในตอนนั้นเพื่อค่าใช้จ่ายของกองทัพโยวโจวแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงต้องจำใจให้หลานชายคนสนิทที่อายุเพียงสิบกว่าปีต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปเปิดกิจการค้าขายที่เจียงหนาน แค่นี้เยี่ยนอ๋องก็รู้สึกผิดเกินพอแล้ว ไหนเลยจะมาสนใจเรื่องเหล่านี้ได้ เขาเป็นเสด็จลุงทั้งคน ให้เงินทองหลายชายไปทำมาค้าขายเพียงแค่นั้น ทว่าเว่ยจวินมั่วกลับคิดทุกอย่างละเอียดชัดเจนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเว่ยจวินมั่วไม่ได้เห็นเสด็จลุงเช่นเขาเป็นคนในครอบครัวเลย

เยี่ยนอ๋องหัวเราะในลำคอเบาๆ “เช่นนี้…ก็แสดงว่าจวนเยี่ยนอ๋องจะต้องคืนเงินที่เคยได้รับจากวังจื่อเซียวกลับไปให้เจ้าอย่างนั้นหรือ ขอโทษทีหลานข้า เสด็จลุงของเจ้ายากจนเสียไม่มี จึงไม่สามารถคืนเงินเหล่านั้นให้กับเจ้าได้”

เว่ยจวินมั่วมิใช่คนที่มีนิสัยถนอมน้ำใจผู้อื่นนัก เมื่อเห็นว่าไม่สามารถพูดให้เสด็จลุงของเขาเข้าใจได้ ก็ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวลา “เสด็จแม่กลับมาแล้ว กระหม่อมขอตัวไปถวายพระพรเสด็จแม่สักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

“หยุดอยู่ตรงนั้น!” เยี่ยนอ๋องปัดกล่องไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะทิ้งทันที “ไสหัวไปซะ! เห็นหน้าเจ้าแล้วข้าโมโห เอาของของเจ้าแล้วไสหัวไปเสีย!”

เว่ยจวินมั่วไม่ได้หันกลับไปมองแต่อย่างใด ยังไม่ทันที่กล่องไม้จะกระทบโดนตัวเขาได้ เขาเพียงแค่ผลักกล่องไม้ใบนั้นกลับไปเบาๆ กล่องไม้ใบนั้นก็กระเด็นกลับไปตั้งบนโต๊ะหนังสือของเยี่ยนอ๋องดังเดิม หลังจากที่เยี่ยนอ๋องตั้งสติได้ เว่ยจวินมั่วก็หายไปจากห้องหนังสือแล้ว

“เจ้าเด็กบ้า!” เยี่ยนอ๋องเดือดดาลเป็นอย่างมาก อยากจะจับตัวเว่ยจวินมั่วมาสั่งสอนเสียให้เข็ด พระชายาเยี่ยนอ๋องที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม เอ่ยว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ไปดุจวินมั่ว หากน้องหญิงห้าได้ยินเข้าจะเสียใจเอาได้นะเพคะ” ถึงแม้จะเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ แม้พวกเชียนจย่งสามพี่น้องที่ซุกซนและเกเรเป็นที่สุดยังไม่กล้าทำให้เยี่ยนอ๋องพิโรธถึงเพียงนี้ เขากลับทำให้เยี่ยนอ๋องโมโหขนาดนี้แล้วยังหน้านิ่งได้ ก็ไม่แปลกที่เยี่ยนอ๋องจะรู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ การเป็นผู้อาวุโสล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น เวลาที่ผู้อาวุโสตำหนิติเตียนหรืออบรมสอนสั่งผู้เยาว์แล้วผู้เยาว์แสดงออกถึงความเกรงกลัว ความฉุนเฉียวก็จะทุเลาไปกว่าครึ่ง หากเป็นผู้เยาว์ที่สุขุมหนักแน่นเช่นเว่ยจวินมั่ว เยี่ยนอ๋องจะปะทุความโกรธออกมาก็ไม่ได้ ครั้นจะกลืนลงคอไปก็กลืนไม่ลง แล้วจะไม่ให้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟได้เยี่ยงไร แต่นอกเหนือจากความโมโหเดือดดาลแล้ว เกรงว่าคงจะแฝงไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูมากกว่ากระมัง

เยี่ยนอ๋องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เปิดกล่องไม้ใบนั้นออกดู เอ่ย “เจ้าเองก็รู้ ตอนที่เว่ยจวินมั่วไปเปิดกิจการค้าขายที่เจียงหนาน ข้าเองได้มอบเงินก้อนหนึ่งให้กับเขา หลายปีมานี้เงินที่มาจุนเจือค่าใช้จ่ายในกองทัพก็เอามาจากทางนั้นเสียส่วนใหญ่ ยามนี้เขาจะแบ่งกิจการค้าขายให้กับข้าครึ่งหนึ่ง หากข้ารับไว้ เสด็จลุงเช่นข้า…จะกล้ามองหน้าน้องหญิงห้าได้เยี่ยงไร”

เรื่องนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องเองย่อมรู้ดี หลายปีก่อนเยี่ยนอ๋องได้มอบเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงให้กับเว่ยจวินมั่วที่อายุเพิ่งจะสิบหกปีเท่านั้น หากจะบอกว่าไม่มีความเห็นเลยก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่ากิจการของจวนเยี่ยนอ๋องจะดูรุ่งเรืองใหญ่โต แต่จวนเยี่ยนอ๋องยังต้องหล่อเลี้ยงทหารและม้าอีกหลายแสนชีวิตจึงมิใช่เรื่องง่ายเลย ในขณะที่เจ้าเมืองหรือขุนนางข้าราชการเมืองอื่นๆ กำลังขึ้นหรือลดภาษี มีแร่ธาตุในพื้นที่มากน้อยแค่ไหน ทว่าเมืองโยวโจวกลับเป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นและแห้งแล้ง ลำพังราษฎรในโยวโจวก็ใช้ชีวิตลำบากมากพออยู่แล้ว เยี่ยนอ๋องย่อมปฏิเสธการเพิ่มภาษีที่แสนโหดเป็นธรรมดา อีกอย่างโยวโจวก็มิได้มีทรัพยากรแร่ธาตุเหมือนเช่นเมืองอื่นๆ จวนเยี่ยนอ๋องเองก็มิได้ร่ำรวยไปกว่าตระกูลขุนนางหรือตระกูลชนชั้นสูงแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เรื่องที่เยี่ยนอ๋องตัดสินใจควักเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงให้กับหลานชาย จึงทำให้พระชายาเยี่ยนอ๋องรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก

ทว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ถึงแม้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะไม่รู้แน่ชัดว่าเว่ยจวินมั่วส่งเงินมาจุนเจือจวนเยี่ยนอ๋องจำนวนเท่าใด แต่ก็พอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง จึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดเยี่ยนอ๋องถึงได้ให้ความสำคัญกับหลานชายขนาดนี้ เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่าเว่ยจวินมั่วจะจิตใจกว้างขวางถึงเพียงนี้ ถึงขั้นแบ่งกิจการค้าขายที่เขาทุ่มเททำมันอย่างหนักเป็นเวลาหลายปีให้กับจวนเยี่ยนอ๋องครึ่งหนึ่งเช่นนี้

พระชายาเยี่ยนอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ ที่เว่ยจวินมั่วทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นแก่จวนเยี่ยนอ๋องและตัวท่านเอง แต่ท่านกลับมาโกรธและดุด่าต่อว่าเขาเช่นนี้ พลอยแต่จะทำให้เจตนาดีของเขากลายเป็นร้ายแทน” ถึงแม้เว่ยจวินมั่วจะตัดสินใจวางแผนล้มเลิกกิจการค้าขายทั้งหมดของวังจื่อเซียว ภายภาคหน้าค่าใช้จ่ายของกองทัพโยวโจวก็จะขาดหายไป การที่เว่ยจวินมั่วแบ่งทรัพย์สินเหล่านี้ให้กับจวนเยี่ยนอ๋องก็เพื่อต้องการที่จะช่วยเหลือเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องไม่เพียงแต่ไม่ดีใจเท่านั้น ซ้ำยังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟดุด่าว่ากล่าวเว่ยจวินมั่วเสียยกใหญ่ เช่นนี้แล้วคนอื่นเขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจได้อย่างไร

เยี่ยนอ๋องทอดถอนใจออกมาเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มีแต่คนเอ่ยว่าเสด็จลุงเช่นข้ารักใคร่และเอ็นดูหลานชายเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ใครเลยจะล่วงรู้…ว่าหลายปีมานี้จวนเยี่ยนอ๋องของเราพึ่งพาอาศัยจวินเอ๋อร์มากมายเพียงใด หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าอยู่นอกเขตจินหลิงเสียส่วนใหญ่ นอกจากเงินที่มอบให้เขาในตอนนั้นแล้ว ยังจะสามารถช่วยอันใดเขาได้อีกเล่า ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ…”

พระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ยปลอบใจ “ยามนี้จวินมั่วและน้องหญิงห้าก็มาอยู่ที่โยวโจวแล้ว เมื่อก่อนเป็นเพราะเราดูแลไม่ถึง ต่อไปภายภาคหน้าท่านอ๋องก็แค่ต้องดีกับจวินมั่วให้มากเป็นพอ หลายปีมานี้ตอนจวินมั่วอยู่ที่จินหลิง เขาเองคงลำบากไม่น้อย ยามนี้เขาย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว ท่านอ๋องยังจะดุด่าว่ากล่าวให้เขารู้สึกเสียใจอีกหรือเพคะ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของเยี่ยนอ๋องก็คร่ำเคร่งขึ้นมาทันที พยักหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “ช่างเถิด ตอนนี้มีข้าอยู่ที่นี่ ย่อมไม่มีใครกล้าล่วงเกินจวินมั่วและฉังผิงอย่างแน่นอน” เยี่ยนอ๋องเอื้อมมือไปปิดฝากล่องไม้ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือโฉนดที่ดินอย่างช้าๆ จากนั้นก็นำไปเก็บในตู้ลิ้นชักที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ามาหาข้าในเวลานี้ มีเรื่องใดหรือ”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *