หมอหญิงยอดมือสังหาร 733 ไต้ซือผู้พยากรณ์ (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 733 ไต้ซือผู้พยากรณ์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 733 ไต้ซือผู้พยากรณ์ (2)
ห่างออกไปราวพันลี้ ณ วังหลวงในจินหลิง เซียวเชียนเยี่ยกำลังอ่านสาส์นลับในมือที่ถูกส่งมาโดยม้าเร็วด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ในที่สุดเขาก็อดทนต่อไม่ไหว เซียวเชียนเยี่ยง้างมือกวาดสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะทิ้งลงกับพื้น ข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด เหล่าบรรดานางกำนัลที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องทรงอักษรต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบพากันคุกเข่าหน้าผากเสมอพื้น ไม่กล้าจ้องมองสีหน้าที่กำลังกริ้วโกรธของโอรสสวรรค์แม้แต่นิดเดียว

“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าโจวและใต้เท้าหันขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเชียนเยี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงเอ่ย “เข้ามาได้”

เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงปี เซียวเชียนเยี่ยก็สามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าตำแหน่งนี้ไม่ง่ายเลย ปีนี้เขาไม่ได้โลภที่จะเสพเสวยสุขแต่อย่างใด แต่กลับตื่นแต่เช้า เข้านอนดึกดื่น ขยันขันแข็งตั้งแต่เช้าจรดค่ำในทุกๆ วัน จนร่างกายซูบโทรมผ่ายผอมกว่าตอนที่ยังไม่ได้ครองราชย์เสียด้วยซ้ำ แต่ทว่า ความคืบหน้าทางการเมืองยังคงไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เพียงแค่พอจะเสมอตัวกับตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองจินหลิงเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้เซียวเชียนเยี่ยร้อนใจยิ่งกว่าเดิมนั่นคือกองทัพทหารจำนวนมากที่อยู่ในมือของเสด็จอาเยี่ยนอ๋องของเขา โดยเฉพาะ…สายตาของเขาจ้องมองไปยังสาส์นลับที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้น เซียวเชียนเยี่ยขบกรามแน่น

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!” โจวเซียงและหันหมิ่นพากันเดินเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นข้าวของที่ระเกะระกะเต็มพื้นไปหมด ทั้งสองก็พากันเงียบไม่เอ่ยอันใด

เซียวเชียนเยี่ยก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านทั้งสองรีบลุกขึ้นเร็ว”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หันหมิ่นที่เป็นคนตรงไปตรงมาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดฝ่าบาทถึงได้กริ้วเช่นนี้”

เซียวเชียนเยี่ยสบถเสียงต่ำในลำคอพลางเอ่ย “สาส์นลับจากผู้ว่าการโยวโจว ท่านทั้งสองเชิญอ่านเองเถิด”

ทั้งสองหันมาสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นโจวเซียงก็โน้มตัวไปเก็บสาส์นลับขึ้นมาอ่าน เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ส่งให้กับหันหมิ่น เซียวเชียนเยี่ยอดทนรอทั้งสองอ่านจนเสร็จ จึงค่อยเอ่ยถาม “ท่านทั้งสองคิดเห็นเยี่ยงไร” หันหมิ่นตอบกลับเสียงดัง “เยี่ยนอ๋องใจกล้าบ้าบิ่นไม่เกรงกลัวใคร ถึงได้กล้าตัดเงินภาษีรายได้ของทางราชสำนัก ถือเป็นการดูหมิ่นราชบัลลังก์ ขอฝ่าบาทโปรดทรงรับสั่งตักเตือนเขาพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเชียนเยี่ยยิ้มเจื่อน กล่าวตักเตือนแล้วจะเป็นผลอย่างนั้นหรือ

“ไม่ได้มีแค่เสด็จอาเยี่ยนอ๋องคนเดียวเท่านั้น หลายเดือนที่ผ่านมานี้ หนังสือราชการที่ได้รับไม่เคยน้อยลงเลย คังอ๋องก่อคดีฆาตกรรม จิ้นอ๋องสั่งเฆี่ยนขุนนางข้าราชการ หลู่อ๋องลักลอบหล่อเงินเป็นการส่วนตัว…” ยิ่งเอ่ยถึงก็ยิ่งโมโห เซียวเชียนเยี่ยโกรธจนสั่นเทาไปหมด “แต่ละเรื่อง…มีเสด็จลุงคนไหนเห็นข้าเป็นฮ่องเต้ในสายตาบ้าง”

หันหมิ่นและโจวเซียงต่างก็พากันเงียบงัน ชินอ๋องที่อายุมากแล้วล้วนเคยผ่านศึกในสนามรบทั้งนั้น ส่วนชินอ๋องที่ยังหนุ่มก็เป็นถึงทัพหน้าคอยคุ้มกันเมืองมานานหลายปี จึงมีทหารอยู่ในมือไม่น้อย ผู้ใดจะเห็นหลานชายที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่กี่ปีอยู่ในสายตากัน แต่ฝ่าบาท… ทั้งสองหันมาสบตากัน ราวกับว่าได้ตัดสินใจอันใดบางอย่าง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงว่า “ฝ่าบาท โปรดทรงรับสั่งให้มีการปลดอำนาจการปกครองของชินอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

บรรยากาศในห้องทรงอักษรเงียบสนิท เซียวเชียนเยี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เงียบงันไม่เอ่ยวาจา ทุกอย่างเงียบเชียบไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ราวกับว่าสามารถได้ยินกระทั่งเสียงเข็มที่หล่นลงพื้นอย่างไรอย่างนั้น

ผ่านไปพักใหญ่ จึงค่อยได้ยินเซียวเชียนเยี่ยทอดถอนใจ “เสด็จพ่อเคยรับสั่งเมื่อนานมาแล้วว่าองค์รัชทายาทรักษาการเมืองหลวง ชินอ๋องพิทักษ์ด่านชายแดน แต่ตอนนี้ข้ากลับ…”

“ฝ่าบาท” โจวเซียงประสานมือคารวะพลางโน้มน้าวต่อไปว่า “เหล่าบรรดาชินอ๋องทั้งหยาบคายและยโสโอหัง บังอาจหยามพระเกียรติของฮ่องเต้ หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ เกรงว่าแผ่นดินคงจะไม่เป็นแผ่นดินแล้ว สู้ถือโอกาสนี้รีบปลดศักดินาของเหล่าชินอ๋องโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะไม่ต้องเกิดการกระทบกระทั่งกันภายในราชวงศ์ในกาลข้างหน้า จะกลายเป็นที่น่าขบขันของราษฎรได้” เซียวเชียนเยี่ยหลุบตาลงต่ำพลางเอ่ยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ที่ใต้เท้าโจวเอ่ยมามีเหตุผล ไม่ทราบว่าใต้เท้าทั้งสองมีแผนการเยี่ยงไร”

โจวเซียงจึงได้เอ่ยขึ้น “กระหม่อมเห็นว่าในเหล่าบรรดาเจ้าเมืองต่างๆ เยี่ยนอ๋องทรงอิทธิพลอำนาจที่สุด การตัดภาษีในครั้งนี้ถือเป็นเหตุผลที่ดี จะจับโจรควรจับตัวการสำคัญก่อน ขอเพียงแค่จัดการกับเยี่ยนอ๋องได้ คาดว่าชินอ๋องคนอื่นๆ ก็คงจะไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามคิดทำอันใดหุนหันพลันแล่นพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเลว่า “เสด็จอาเยี่ยนอ๋องกุมกองทัพม้าเหล็กหลายแสนนายอยู่ในมือ ยุทธวิธีก็เก่งกาจยอดเยี่ยมกว่าผู้ใด อีกทั้งยังมียอดฝีมืออยู่ใต้บังคับบัญชาจำนวนมาก เกรงว่า…” สำหรับเซียวเชียนเยี่ยแล้ว เยี่ยนอ๋องถือเป็นเสด็จอาที่ค่อนข้างสนิทสนมคนหนึ่ง ในใจของเซียวเชียนเยี่ยจึงยังคงรู้สึกหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก

โจวเซียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ พลางเอ่ย “ยามนี้ที่ด่านชายแดนกำลังต่อสู้รบกันดุเดือด ฝ่าบาทส่งกำลังทหารไปที่โยวโจวโดยอ้างว่าไปสนับสนุนกองทัพ ยังมีแม่ทัพเซี่ยคอยช่วยตีขนาบประสานในและนอก ขอเพียงแค่แม่ทัพเซี่ยนำกำลังทหารเข้าจู่โจมปีกหลังของกองทัพโยวโจวก่อน แล้วเราก็ฉวยโอกาสนี้นำกองทัพเข้าประกบหน้าหลัง จะต้องจัดการเยี่ยนอ๋องได้อย่างแน่นอน”

“ไม่ได้” หันหมิ่นเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้วแน่น

เซียวเชียนเยี่ยจึงถามขึ้นว่า “ใต้เท้าหันคิดเห็นอย่างไร”

หันหมิ่นจึงเอ่ยตอบ “กองกำลังโยวโจวกำลังพัวพันอยู่กับเป่ยหยวน ฝ่าบาทบุกเข้าไปจับตัวเยี่ยนอ๋องในเวลานี้ ภารกิจอาจจะสำเร็จลุล่วง แต่ราษฎรจะมองว่าฝ่าบาทเป็นคนอย่างไร ชินอ๋องที่มีกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมือไม่ใช่แค่เยี่ยนอ๋องคนเดียวเท่านั้น หากข้าราชบริพารทั่วดินแดนรวมไปถึงเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพากันครหาว่าฝ่าบาทนั้นไร้ซึ่งคุณธรรม จึงพากันรวมตัวเข้าร่วมกองทัพของเยี่ยนอ๋องขึ้นมา แล้วเราจะรับมืออย่างไรกันดี”

สิ่งที่หันหมิ่นเอ่ยมานั้นเป็นสิ่งที่เซียวเชียนเยี่ยกำลังกังวลใจที่สุด เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่เสด็จปู่ที่กล้าฆ่ากระทั่งแม่ทัพทหารและขุนนางข้าราชการในราชสำนักโดยไม่สนใจว่าใครจะเอ่ยอันใดทั้งนั้น

“เช่นนั้น ความหมายของใต้เท้าหันก็คือ”

หันหมิ่นจึงเอ่ยขึ้นว่า “กระหม่อมคิดว่าควรจะเริ่มจากฉีอ๋อง จิ้นอ๋อง หลู่อ๋องและคนอื่นๆ ก่อน คนเหล่านี้มีกำลังทหารในมือไม่มาก ที่ตั้งก็ใกล้กับจินหลิงมากกว่าโยวโจว อีกอย่าง ในบรรดาคนเหล่านี้มีคนที่ก่อเรื่องร้ายแรงอยู่หลายคน หากฝ่าบาทคิดจะปลดตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของคนเหล่านี้ก็จะต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน แต่เยี่ยนอ๋อง…เยี่ยนอ๋องมีชื่อเสียงเลื่องลือในทางตอนเหนือ หากฝ่าบาททรงต้องการปลดตำแหน่งศักดินาของเยี่ยนอ๋องจริงๆ เกรงว่าถึงแม้จะเป็นราษฎรของทางตอนเหนือ ก็คงจะพากันวิพากษ์วิจารณ์เป็นแน่แท้”

เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้วแน่น ทว่าโจวเซียงกลับคัดค้านอย่างตรงไปตรงมา “ใต้เท้าหัน ความคิดนี้ไม่ถูกต้อง หากปลดตำแหน่งศักดินาของจิ้นอ๋อง หลู่อ๋องและคนอื่นๆ ก่อน เมื่อเห็นความเคลื่อนไหว เยี่ยนอ๋องก็จะไหวตัวและเตรียมตั้งรับ…”

หันหมิ่นส่ายหน้าพลางเอ่ย “สงครามทางตอนเหนือไม่มีทางที่จะยุติภายในสามเดือนอย่างแน่นอน ขอเพียงแค่เราลงมือรวดเร็ว อาศัยจังหวะก่อนที่เยี่ยนอ๋องจะถอนกำลัง รีบลงมือจัดการชินอ๋องเหล่านี้ก่อน”

โจวเซียงยังคงไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ทั้งสองยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเอง จนเกือบจะทะเลาะกันขึ้นมา เซียวเชียนเยี่ยรู้สึกปวดหัวจนต้องนวดหัวคิ้วเบาๆ “ใต้เท้าทั้งสองต่างคนต่างเขียนวิธีการของตนเองออกมาก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่สามารถกำหนดแผนการเสร็จสรรพได้ในวันเดียว”

ฮ่องเต้ตรัสมาเช่นนี้แล้ว ทั้งสองก็ไม่ดันทุรังทะเลาะกันต่อ เพียงแค่ประสานมือคารวะน้อมรับคำสั่งเท่านั้น เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็โบกมือพร้อมกับเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็รบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว พวกท่านกลับไปเถิด”

“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”

พริบตาเดียวก็มาถึงกลางเดือนสิบ ในเรือนชิงมั่ว หนานกงมั่วสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกที่ค่อนข้างหนาตั้งแต่เช้าตรู่ ภายในห้องเต็มไปด้วยไออุ่นจากถ่านไร้ควันชั้นดี ลมหนาวพัดผ่านนอกหน้าต่าง แต่ด้านในยังคงอบอุ่นเฉกเช่นฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน

หนานกงมั่วและองค์หญิงฉังผิงกำลังนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่ในห้อง องค์หญิงฉังผิงกำลังเย็บผ้าอ้อมผืนเล็กสีแดงสด ทารกจะคลอดประมาณเดือนสี่ของปีหน้า เนื้อผ้าที่องค์หญิงฉังผิงใช้เย็บผ้าอ้อมและเสื้อทารกนั้นค่อนข้างบางและนิ่มเป็นอย่างมาก นางมักจะคอยเงยหน้ามาดูหนานกงมั่วที่กำลังเย็บเสื้อเอี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง และคอยโน้มน้าวให้หนานกงมั่วพักสายตาบ้าง สตรีที่กำลังตั้งครรภ์เย็บปักถักร้อยมากจนเกินไปจะไม่ดีต่อดวงตาได้

ปกติแล้วหนานกงมั่วไม่ค่อยทำเรื่องจำพวกนี้เท่าใดนัก แต่อย่างไรเสียก็เป็นคนที่เคยใช้เข็มมาก่อน เวลาเย็บปักถักร้อยขึ้นมาก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกทึ่งไม่น้อย

หนานกงมั่วคลี่ผ้าปักที่ปักด้วยลายกิเลนประทานบุตรกว่าครึ่งผืนขึ้นมาดูอย่างอารมณ์ดี นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ไม่ได้ปักผ้ามานาน มือไม้แข็งทื่อไปหมด”

องค์หญิงฉังผิงได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางเอ่ย “วันธรรมดาเจ้ายุ่งจะแย่ งานพวกนี้เอาไว้ให้เด็กๆ ทำดีกว่า อีกอย่าง เสด็จย่าเช่นข้าก็ว่างไม่มีอันใดทำอยู่แล้ว” เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้อุ้มหลานแล้ว องค์หญิงฉังผิงจึงค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

หนานกงมั่วจึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันเองก็ว่างไม่มีอันใดทำเพคะ ตอนนี้ เหลียนซิงและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่ยอมให้หม่อมฉันออกไปข้างนอก หากไม่เย็บปักถักร้อย หม่อมฉันก็ไม่มีอันใดให้ทำแล้วเพคะ”

เพื่อที่จะให้นางได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ชวีเหลียนซิง หลิ่วหัน จือซูและคนอื่นๆ จึงพากันรับผิดชอบงานในจวนจนหมด เยี่ยนอ๋องเองก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะฝึกฝนเซียวเชียนชื่อ จึงสั่งห้ามไม่ให้เซียวเชียนชื่อมาขอความช่วยเหลือจากหนานกงมั่วอีกด้วย ช่วงนี้นางจึงว่างเป็นพิเศษ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *