หมอหญิงยอดมือสังหาร 757 พิธีสรงสาม (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 757 พิธีสรงสาม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 757 พิธีสรงสาม (1)
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “จั๋วหวาหรือ ท้องามสะพรั่ง พราวไสวน่ะหรือ จิ่งเสา…วสันตฤดูอันงดงามหรือ ท่านแน่ใจหรือ”

เว่ยจวินมั่วพยักหน้า ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานไม่ใช่ว่าเขาไม่ตั้งชื่อที่โอ่อ่าหรือแสดงถึงความคาดหวังใดๆ แต่คิดไตร่ตรองมาแล้วก็ยังรู้สึกว่าสองชื่อนี้นั้นดีที่สุดแล้ว

หนานกงมั่วเองก็ไม่โต้แย้ง เมื่อเทียบกับเว่ยจวินมั่วนางยิ่งตั้งชื่อได้แย่กว่า ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “เอาเช่นนั้น ชื่อเล่นของบุตรีคือเยาเยา บุตรชาย…ชื่ออานอานก็ได้” อย่างไรความต้องการของเว่ยจวินมั่วก็คือให้ลูกทั้งสองนั้นมีความสุขและสงบสุข ความจริงหนานกงมั่วแทบอยากตั้งชื่อให้ลูกว่าความสุขเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่…เพียงอยากเท่านั้น

คุณชายเว่ยไม่รู้สึกว่าชื่อที่ภรรยาตั้งนั้นมีปัญหาตรงไหนเลยสักนิด ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงตั้งชื่อจริงและชื่อเล่นให้บุตรทั้งสองในห้องทำคลอดอย่างชื่นมื่น แทบลืมกลุ่มคนด้านนอกที่ยังรอคอยด้วยความวิตกกังวล ส่วนความหวังของเยี่ยนอ๋องที่คิดจะตั้งชื่อด้วยตนเอง คงต้องรอให้ทารกน้อยโตขึ้นแล้วค่อยตั้งจื้อ[1]ให้ “จวิ้นจู่ คุณชาย” ชวีเหลียนซิงเดินเข้ามาจากด้านนอก เม้มริมฝีปาก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง องค์หญิงอีกทั้งพระชายายังรอดูคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยอยู่ด้านนอกอยู่เลยเพคะ” ดังนั้นพวกท่านทั้งสองต้องส่งเด็กๆ ออกไปให้ทุกคนได้ดูก่อน ความจริงนางเองก็อยากเห็นเจ้านายน้อยทั้งสอง เพียงมองคุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ก็จินตนาการได้แล้วว่าเจ้านายน้อยทั้งสองจะงดงามโดดเด่นเพียงใด

เพียงแต่ความจริงนั้นโหดร้าย ดังนั้นเมื่อชวีเหลียนซิงเดินเข้ามาจึงมองเห็นเพียงลิงน้อยทั้งสองที่กำลังนอนหลับอยู่

“เอ่อ จวิ้นจู่ คุณชาย พวกเราสามารถอุ้มเจ้านายน้อยทั้งสองออกไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอ๋องและองค์หญิงกำลังรออยู่เจ้าค่ะ” ชวีเหลียนซิงยิ้มเจื่อน

หนานกงมั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไปเถิด ระวังจะเป็นไข้เอาได้”

ชวีเหลียนซิงยื่นมือออกไป ทว่ากลับดึงกลับคืนมา มองหมอตำแยด้านข้าง เอ่ย “ให้พวกท่านอุ้มเถิด” เจ้านายน้อยตัวอ่อนบอบบางดูแล้วน่าหวั่นใจ

หมอตำแยสองคนรีบเข้าไปช้อนอุ้มและเดินตามชวีเหลียนซิงออกไปด้านนอก ไม่นานพลันได้ยินเสียงดีอกดีใจของเซียวเชียนจย่งดังขึ้น ยังมีเสียงผู้คนกำลังแย่งกันอุ้มเด็กน้อยแทรกเข้ามา หนานกงมั่วนอนกลับลงไปอย่างสบาย ลูบหน้าผาก เอ่ย “ลืมเรื่องอันใดหรือไม่”

เว่ยจวินมั่วจับมือนางกลับเข้าไปอยู่ในผ้าห่มตามเดิม เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีประโยชน์ พักผ่อนเถิด”

“อย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วลังเล เพียงแต่มักรู้สึกว่าลืมอันใดบางอย่างไป

“นอนเถิด เสด็จแม่ต้มโจ๊กเอาไว้ เพียงแต่เสียนเกอบอกว่าเจ้าต้องพักผ่อนก่อนจึงจะกินได้” เว่ยจวินมั่วเอ่ย หนานกงมั่วจึงจำต้องหลับตาลง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้หลับไป มองดูลูกก็ดูเหมือนจะไม่ง่วง แต่เมื่อได้หลับตาลงความง่วงก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ทรมานมาทั้งวัน ความจริงนั้นเหนื่อยมาก

“ก็ได้ ข้าจะนอนสักหน่อย ท่านดูแลลูกเล่า อย่าให้ใครทำให้ลูกตกใจ พวกเขาเสียงดัง”

“ได้ นอนเถิด”

“อื้อ…ข้านึกออกแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยสะลึมสะลือ “ท่านอย่าลืมบอกเสด็จลุงและอาจารย์ พวกเรา…ตั้งชื่อให้ลูกแล้ว…ไม่ให้ ไม่ให้เปลี่ยน…”

“ได้”

ในห้องค่อยๆ เงียบลง เว่ยจวินมั่วนั่งอยู่ข้างเตียงมองใบหน้าที่เงียบสงบ ดวงตาสีม่วงเป็นประกายลุ่มลึก เว่ยจวินมั่วโน้มตัวลงไป สัมผัสใบหน้างดงาม เอ่ยกระซิบ “อู๋สยา ขอบคุณเจ้ามาก”

ขอบคุณที่เจ้ามีลูกให้ข้า

ขอบคุณที่เจ้ายินยอมที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับข้าไปตลอดชีวิต

ขอบคุณที่ให้ข้าได้มาพบกับเจ้า

ในห้องโถงห่างจากห้องนอนไม่ไกลนักมีแต่ความเปรมปรีดิ์ องค์หญิงฉังผิงอุ้มทารกน้อยในอ้อมแขนด้วยความอิ่มเอมใจ จากนั้นมองไปยังทารกน้อยในอ้อมแขนของคุณชายเสียนเกอ เอ่ยถามว่า “นี่…นี่คือคุณหนูหรือคุณชายหรือ” ชวีเหลียนซิงปิดริมฝีปากยิ้ม เอ่ย “องค์หญิงเพคะ ห่อผ้ารูปกิเลนนั้นคือคุณชายน้อย ส่วนผ้าปักลายนกกระเรียนนั้นเป็นคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ”

องค์หญิงฉังผิงเหลือบมอง ที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขนของตนนั้นก็คงเป็นคุณหนูแล้ว แม้จะหลับตาพริ้ม ดูหลับสบาย ใบหน้าเล็กยังแดงอยู่ ทว่ากลับดูน่ารักจนไม่อยากวาง จากนั้นมองไปยังหลานชายที่อยู่ในมือของคุณชายเสียนเกอ องค์หญิงฉังผิงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

คุณชายเสียนเกออุ้มเด็กน้อยในมืออย่างมีความสุข เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นเด็กผู้ชายหรือ” หันกลับไปมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนขององค์หญิงฉังผิง เด็กชายคงจะเหมือนเว่ยจวินมั่วเป็นแน่ สุดท้ายก็ยังเป็นศิษย์น้องของเขาที่น่ารักที่สุดนะ

ความจริง…เด็กทั้งสองไม่ว่าจะหน้าตาเหมือนใคร อย่างไรก็ต้องสวยหล่ออย่างแน่นอน

ชายชราหาโอกาสอยู่ก่อนแล้ว อาศัยจังหวะคุณชายเสียนเกอคลายมือออกแย่งทารกน้อยจากมือเขาไป คุณชายเสียนเกอกลับไม่แย่งอาจารย์ลุงคืน อย่างไรก็เป็นอาจารย์ลุงที่สอนวิชาการแพทย์กับเขา อีกทั้งยังมีอาจารย์ที่คอยยืนข่มขู่อยู่ด้านข้าง

เซียวเชียนจย่งมองฝั่งนั้นมองฝั่งนี้ สุดท้ายจึงเดินเข้าไปหาองค์หญิงฉังผิง “เสด็จอา นี่คือหลานสาวหรอกหรือ ช่าง…น่ารัก…”

ไหนเลยองค์หญิงฉังผิงจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เด็กที่เพิ่งคลอดออกมาล้วนเป็นเช่นนี้ ผ่านไปไม่กี่วันก็เกลี้ยงเกลาแล้ว”

มีเซียวเชียนจย่งที่นำไปก่อน ทุกคนจึงตามเข้ามารุมล้อม เด็กน้อยที่กำลังหลับสนิทถูกล้อมเยอะเกินไปรู้สึกไม่สบายแล้ว ปากเล็กเบ้พร้อมส่งเสียงร้องขึ้นมาสองครั้ง องค์หญิงฉังผิงรีบไล่ทุกคนขยับออกไป ตบเบาๆ ลงบนห่อผ้าเพื่อปลอบหลานสาวที่รัก

“อะแฮ่ม ฉังผิง ให้พี่สามดูสักหน่อย” เยี่ยนอ๋องที่นั่งอยู่เริ่มอดไม่ได้ กระแอมไอขึ้นมา มิใช่ว่าเขารักหลานสาวมากกว่าหลานชาย แต่เพราะเขารู้ดีว่าต่อให้เขาเอ่ยปากสามคนนั้นก็ไม่มีทางปล่อยเด็กมาให้เขา อย่างไรชายหญิงก็มีครบแล้ว อุ้มคนที่อุ้มได้ก่อนค่อยว่ากัน

องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า ส่งทารกน้อยเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยนอ๋องอย่างระมัดระวัง ที่น่าตกใจก็คือเยี่ยนอ๋องอุ้มเด็กน้อยได้อย่างชำนาญ ทำให้สามพี่น้องตระกูลเซียวเกิดความคิดแปลกประหลาดขึ้นมาในหัว หรือว่าเมื่อก่อนเสด็จพ่ออุ้มพวกเขาอยู่บ่อยๆ ภาพนั้นงดงามเกินไปพวกเขาไม่กล้าจินตนาการ

เยี่ยนอ๋องสัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคนที่มองมา เอ่ยอธิบาย “ข้าเคยอุ้มน้องสิบสี่และน้องเจ็ด”

ก็ได้ ครานั้นยังไม่มีต้าเซี่ย เยี่ยนอ๋องก็ยังมิใช่องค์ชาย คงเคยดูแลน้องชายน้องสาวคนไหนก็ได้

เยี่ยนอ๋องไม่สนใจคนอื่นจะคิดเช่นไร ก้มลงไปมองทารกหญิงในอ้อมแขน คิ้วบางเล็กๆ ขมวดขึ้น ปากเล็กขยับจ๊อบแจ๊บเบาๆ ดูหลับสบาย เยี่ยนอ๋องยื่นนิ้วหนึ่งนิ้วไปจับมือเล็กเบาๆ นุ่มนิ่มจนใจอ่อนยวบ ใบหน้าเคร่งขรึมของเยี่ยนอ๋องมีรอยยิ้มและอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน

ในห้องโถง มองท่าทีของเยี่ยนอ๋องที่กำลังอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ คิ้วสวยของจูชูอวี้พลันขมวดมุ่น เยี่ยนอ๋องดูเอาใจใส่เด็กสองคนนี้เกินไปสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นในอ้อมแขนของเขานั้นยังเป็นเด็กผู้หญิงอีกด้วย ลูกสาวของเซียวเชียนชื่อในจวนเยี่ยนอ๋องคนนั้นอายุเกือบสองขวบแล้วอย่าว่าแต่อุ้มเลยแม้แต่เจอหน้าเยี่ยนอ๋องได้เจอสักกี่ครั้งกัน

เยี่ยนอ๋องอุ้มเด็กน้อยเอาไว้มองไปยังองค์หญิงฉังผิง เอ่ยถาม “ชื่อของเด็กสองคนนี้พวกเจ้าหารือกันเยี่ยงไร”

[1] จื้อ หมายถึงชื่ออย่างเป็นทางการซึ่งจะถูกตั้งให้ หากเป็นผู้ชายจะตั้งชื่อเมื่ออายุครบยี่สิบปีโดยถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว และหากเป็นผู้หญิงจะตั้งเมื่ออายุครบสิบห้า โดยจะเข้าพิธีปักปิ่น หมายความว่าพร้อมจะออกเรือนแล้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *