หมอหญิงยอดมือสังหาร 88 ความงดงามหนึ่งเดียวของดอกโบตั๋น (4)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 88 ความงดงามหนึ่งเดียวของดอกโบตั๋น (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เว่ยจวินมั่วหันกลับไป พยักหน้าให้เซียวเชียนเยี่ยที่เข้ามา “เย่ว์จวิ้นอ๋อง”

เซียวเชียนเยี่ยจนปัญญา น้องชายผู้นี้ช่างเฉยเมยต่อพวกเขาซึ่งเป็นหลานของฮ่องเต้ ถึงพวกเขาอาจจะเคยทำสิ่งใดไม่ดีไปบ้างเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก แต่นั่นเป็นเพราะยังเด็กจึงไม่รู้ความมิใช่หรือ เมื่อคิดถึงเสด็จพ่อที่ยังต้องการการสนับสนุนจากเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยจึงยิ่งเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น “เมื่อหลายวันก่อนยังไปมอบของกำนัลกับเสด็จอาอยู่เลย วันนี้ได้มาเจอน้องชายกับคุณหนูหนานกงมาเที่ยวที่นี่ ช่างบังเอิญเสียจริง พระชายา ผู้นี้คือคุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกง”

พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋อง หยวนซื่อ บุตรีของเอ้อกั๋วกงพยักหน้าส่งยิ้มให้หนานกงมั่ว เอ่ยขึ้น “ได้ยินท่านอ๋องเอ่ยชื่นชมคุณหนูหนานกงอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ได้เจอแล้วไม่ธรรมดาจริงๆ”

หนานกงมั่วไม่ชอบเซียวเชียนเยี่ยที่ล่อลวงหนานกงซู อีกทั้งยังมาวุ่นวายกับเซี่ยเพ่ยหวนไม่เลิก ยิ้มพลางเอ่ยตอบ “หม่อมฉันกับเย่ว์จวิ้นอ๋องเพียงพบกันไม่กี่ครั้ง ผู้ที่เย่ว์จวิ้นอ๋องชื่นชมเกรงว่าคงมิใช่หม่อมฉัน เพียงแต่ ยังคงต้องขอบพระทัยพระชายาที่ชื่นชมเพคะ”

หยวนซื่อชะงัก มองไปยังเซียวเชียนเยี่ยราวกับกำลังคิดสิ่งใดอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยแข็งค้าง กระแอมไอด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน พลันเปลี่ยนหัวข้อ “ในเมื่อมีวาสนาได้เจอ มิสู้พวกเราไปด้วยกันหรือไม่ น้องชาย เจ้าเห็นเช่นไร”

เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ “อีกเดี๋ยวข้ากับอู๋สยายังต้องขึ้นเขา”

ทางด้านหลัง หย่งชังจวิ้นจู่เอ่ยขึ้นบ้าง “พวกเราเองก็จะไปวัดต้ากวงหมิงเช่นกัน พี่สะใภ้รองกำลังจะไปแก้บน พี่ชาย พวกเราไปด้วยกันเถิด” หย่งชังจวิ้นจู่ผู้นี้เอ่ยขึ้นอย่างสนิทสนมราวกับลืมความเย็นชาที่เว่ยจวินมั่วมีต่อนางเมื่อคราก่อน

“พระชายาหรือ” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วสงสัย เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พระชายาตั้งครรภ์แล้ว กำลังจะไปแก้บนที่วัดต้ากวงหมิง” ที่แท้เพราะหยวนซื่อตั้งครรภ์ ครรภ์นี้ของหยวนซื่อนั้นมีความสำคัญต่อราชวงศ์เป็นอย่างยิ่ง มิน่าเซียวเชียนเยี่ยถึงได้ยินดีเช่นนี้ เซียวเชียนเยี่ยเป็นเชื้อสายหลักของรัชทายาท เมื่อพระชายาตั้งครรภ์ หากเป็นเด็กชายก็จะเป็นพระราชปนัดดาของฝ่าบาท แม้เชื้อพระวงศ์จะมีพระราชปนัดดามากมาย ทว่าพระราชปนัดดาที่เกิดจากเชื้อสายหลักนั้นความสำคัญย่อมแตกต่างกัน

ชายหนุ่มหญิงสาวด้านหลังเซียวเชียนเยี่ยเองก็เอ่ยเห็นด้วย อยากให้พวกเว่ยจวินมั่วทั้งสองคนไปด้วยกัน เว่ยจวินมั่วหันมองหนานกงมั่วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางพยักหน้า เขาจึงพยักหน้าตอบรับไปเงียบๆ

สวนดอกโบตั๋นกินพื้นที่เชิงเขาไปเป็นบริเวณกว้าง ยามนี้เป็นฤดูของดอกโบตั๋น เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สวนดอกโบตั๋นครึกครื้นเป็นที่สุด ในช่วงเวลาเช่นนี้ เป็นภาพที่สวยงามเมื่อคนกลุ่มนี้เดินอยู่ด้วยกัน ราวกับภาพจากบทกวีอันงดงาม เพียงแต่น่าเสียดาย บรรดาหลานขององค์ฮ่องเต้เหล่านี้มิได้มีความโดดเด่นทางด้านศิลปะอันใดเลย แม้พวกเขาจะเติบโตมาในรังที่สูงศักดิ์ แต่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยยากจนแม้กระทั่งข้าวยังไม่มีจะกิน บิดามารดาของพวกเขาก็ทุกข์ทรมานมามากเมื่อครั้งยังเด็ก เมื่อมาถึงรุ่นของพวกเขา แม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ทว่ากลับยังไม่ทันได้ปลูกฝังความสามารถใดๆ ไม่แปลกใจที่บรรดาผู้มีศิลปะทั้งหลายจะดูหมิ่นผู้มีอำนาจอย่างเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ ในสายตาของนักกวีทั้งหลาย คนเหล่านี้หากมิได้เป็นชนชั้นสูงก็คงเป็นได้เพียงพวกไร้ซึ่งปัญญาที่ใช้แต่กำลังเพียงเท่านั้น

“คุณหนูหนานกงเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงมิใช่หรือ หนานกงซู จวนฉู่กั๋วกงมีความโดดเด่นทางด้านวรรณกรรม มิสู้คุณหนูใหญ่ก็แสดงให้พวกเราได้เห็นหน่อยเป็นไร” หย่งชังจวิ้นจู่พึ่งแต่งกลอนเสร็จไปหนึ่งบท เหลือบมองหนานกงมั่วพลันรู้สึกโกรธขึ้นมา เอ่ยขึ้นเสียงดัง สายตาของทุกคนมองไปยังหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเพียงไหวไหล่ให้กับความโชคร้ายที่ลอยมาโดยไม่ทันตั้งตัว เอ่ยตอบกลับเสียงเรียบ “ข้าแต่งกลอนไม่เป็นหรอก”

“แต่งกลอนไม่เป็นงั้นหรือ” หย่งชังจวิ้นจู่กล่าวเสียงดังขึ้น ตกใจราวกับว่าสิ่งที่หนานกงมั่วเอ่ยออกมานั้นมิใช่คำว่าแต่งกลอนไม่เป็น ทว่าเป็นคำว่ากินข้าวไม่เป็น

หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “หย่งชังจวิ้นจู่เองก็รู้ว่าหม่อมฉันเติบโตมาจากชนบท การแต่งกลอนไม่เป็นมีอะไรน่าแปลกหรือ” แน่นอนหากเป็นกลอนธรรมดาเมื่อครู่ แน่นอนว่ามันไม่ยากนัก แต่เพราะหนานกงมั่วมีอาจารย์อาและศิษย์พี่ใหญ่ที่ชื่นชมในศิลปะ หนานกงมั่วจึงปฏิเสธที่จะมีประวัติอันดำมืดให้คนหัวเราะเยาะเอาได้ หลายปีมานี้เรียนรู้มากับอาจารย์อา หนานกงมั่วเข้าใจหลักเหตุผลหนึ่งอย่างลึกซึ้ง กวีผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์นั้นล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์ แต่นาง หนานกงมั่ว บังเอิญปราศจากพรสวรรค์ในด้านนี้

หย่งชังจวิ้นจู่ส่งเสียงหยันด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เป็นถึงคุณหนูกั๋วกง กระทั่งแต่งกลอนก็ยังไม่เป็น เจ้ายังกล้าแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องงั้นหรือ”

หนานกงมั่วอยากจะหัวเราะออกมา ถ้าข้าไม่กล้าแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแล้วเจ้าจะแต่งอย่างนั้นหรือ

“มีเวลามาโอ้อวดความสามารถอันน้อยนิดของเข้า มิสู้กลับไปตั้งใจเรียนหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา[1]กับพระสนมไม่ดีกว่าหรือ อู๋สยาแต่งกลอนได้หรือมิได้ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า หากแต่ละวันเอาแต่ท่องบทกวีที่เจ้าไม่รู้ความหมายนั่น มิสู้ไม่รู้จะดีกว่า” น้อยมากที่เว่ยจวินมั่วจะเอ่ยวาจาออกมายืดยาวต่อหน้าผู้อื่น อีกทั้งยังเป็นคำพูดร้ายกาจไร้ความปรานีเช่นนี้ด้วย จนใบหน้าของหย่งชังจวิ้นจู่เป็นสีแดงเข้มขึ้น หย่งชังจวิ้นจู่เอ่ยตอบด้วยท่าทีไม่พอใจ “พี่ชาย ข้าทำเพื่อท่าน ไยท่าน…”

“ยุ่งมิเข้าเรื่อง” เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ ยื่นมือไปดึงหนานกงมั่วมาอยู่ข้างกายของตน ดวงตาเย็นชามองหย่งชังจวิ้นจู่ “กล้าเอากลอนที่เจ้าแต่งไปท่องให้สำนักศึกษาหรือผู้เล่าเรียนหรือไม่ ดูว่าพวกเขาจะโยนกลอนของเจ้าทิ้งออกมาไหม เพียงเอ่ยออกมาง่ายๆ สองประโยคก็คิดว่าตนเองเป็นสตรีมีความสามารถอย่างนั้นหรือ”

“จวินมั่ว” หนานกงมั่วถอนหายใจ มองหญิงสาวตรงหน้าที่ดวงตาแดงก่ำก็รู้สึกสงสาร แม้ว่านางจะเกลียดหย่งชังจวิ้นจู่ แต่หญิงสาวถูกต่อว่าต่อหน้าผู้คนมากมาย ความรู้สึกเช่นนี้…มันเจ็บแสบเกินไป

“หรือว่าอู๋สยาอยากแต่งกลอน ข้าไม่ชอบฟังคนอ่านกลอน” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วพลางถาม

หนานกงมั่วรีบหลบไปอยู่ด้านหลังของเขา เอ่ยตามตรง “ไม่ เชิญท่านต่อเถิด”

“…”

“ฮ่าๆ หย่งชังเพียงล้อเล่น น้องชายก็รีบปกป้องหญิงงามเสียแล้ว มิน่าเสด็จอาถึงได้รีบอยากแต่งแม่นางหนานกงเข้าจวน” เซียวเชียนเยี่ยรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เราเพียงเล่นแก้เบื่อก็เท่านั้น ใครคิดจริงจังกันเล่า น้องชายอย่าได้ใส่ใจ แม่นางหนานกง ต้องขออภัยด้วย” หนานกงมั่วยิ้มตาหยี เอ่ยตอบ “เย่ว์จวิ้นอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ข้ามิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย” นางไม่ได้ใส่ใจจริงๆ เพียงได้มาเห็นบรรดาลูกหลานองค์ฮ่องเต้มาท่องกลอนเพื่อแสร้งทำตัวเป็นผู้มีศิลปะก็เหมือนกับนางกำลังดูละครอยู่ หากมีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่แน่อาจได้รับคำชื่นชมสักประโยคสองประโยคว่าพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถยิ่ง น่าเสียดายที่มีเพียงหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วสองคนเท่านั้น หนึ่งคนใจร้ายอยากเห็นคนขายหน้า อีกหนึ่งคนเย็นชาไร้ความรู้สึก ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องชื่นชมกันเอง ทว่าหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วอาศัยจังหวะที่พวกเขากำลังชื่นชมซึ่งกันและกันอยู่นั้นแยกตัวออกมาเงียบๆ

เดินออกมาทางประตูหลังของสวนโบตั๋นก็พบทางเดินสู่ยอดเขาจื่ออวิ๋นแล้ว ทางเดินที่มุ่งหน้าสู่วัดต้ากวงหมิงเส้นนี้ไร้ซึ่งความขรุขระเพราะบันไดล้วนทำมาจากหินทั้งหมด ว่ากันว่าจากตรงนี้ไปจนถึงวัดต้ากวงหมิงมีขั้นบันไดทั้งหมดหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น หากอยากเดินขึ้นไปถึงวัดต้ากวงหมิงด้านบนละก็ จำเป็นต้องอาศัยเพียงเท้าที่ก้าวขึ้นไปทีละก้าวๆ เท่านั้น แต่สตรีมากมายที่มาขอพรมักไม่ใช้เส้นทางนี้กัน ดังนั้นทางเดินเส้นนี้จึงไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านไปมานัก เป็นถนนอีกเส้นที่อยู่อีกฝั่งของภูเขาที่ใช้สัญจรมากกว่า ถนนเส้นดังกล่าวนั้นกว้างใหญ่ สามารถนั่งรถม้าหรือนั่งเกี้ยวไปจนถึงประตูใหญ่ที่เป็นทางเข้าของวัดได้เลย

[1] หลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา เป็นหนึ่งในหลักมาตรฐานทางจริยธรรมของจีนโบราณยุคศักดินา ซึ่งเป็นหลักที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของสตรีในสมัยนั้น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *