หมอหญิงยอดมือสังหาร 28 สมองโดนหมูแทะไปแล้วหรืออย่างไร

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 28 สมองโดนหมูแทะไปแล้วหรืออย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เซียวเชียนเยี่ยตรัสตอบว่า “หมู่บ้านซีเฟิงเป็นบ้านเก่าของฉู่กั๋วกง ได้มีโอกาสออกมาเยี่ยมเยียนถิ่นของเสาหลักในการก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยอย่างฉู่กั๋งกงแล้ว ช่างเป็นที่ที่ยอดเยี่ยมและผู้คนก็โดดเด่น ข้าเพียงออกมาเดินเล่นยามว่างเท่านั้น ทว่าไม่คิดว่าจวินมั่วและฉังเฟิงเองก็อยู่ที่นี่ด้วย” ลิ่นฉังเฟิงยิ้มร้าย เหลือบมองเว่ยจวินมั่วที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มชาอยู่ “เรื่องนี้หรือ เป็นเพราะฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสแก่จวินมั่วและคุณหนูใหญ่หนานกงแล้ว พวกเราจึงมาอยู่ที่นี่ได้ มีสิ่งใดน่าแปลกใจงั้นหรือ” แน่นอนว่าเมื่อราชวงศ์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ก็ต่างจากราชวงศ์เดิมที่เป็นชนเผ่า ประเพณีต่างๆ ก็เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ในยามนั้น ยามนี้นับว่าไม่ได้เคร่งครัดเท่าไร ยิ่งเมื่อเปรียบกับแต่ก่อนนั้นก็ถือว่าไม่ได้เข้มงวดจนเกินไปเลย แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงและแก้ไขอยู่ ถึงแม้ชื่อเสียงชายหญิงนั้นสำคัญ ทว่าชายหญิงที่มีการหมั้นหมายก็สามารถพบเจอกันได้ เพียงแค่ไม่นัดพบกันเป็นการส่วนตัวก็เพียงพอ เป็นเช่นนี้เพื่อเลี่ยงความรู้สึกกระอักกระอ่วนและอึดอัด รวมถึงความรู้สึกแปลกหน้าเมื่อต้องแต่งงานกัน

ความหมายของลิ่นฉังเฟิงก็คือ เว่ยจวินมั่วมาอยู่ที่นี่เพราะหนานกงมั่วคือคู่หมั้นของเขา เช่นนั้นแล้วหวงจั่งซุนมาอยู่ที่แห่งนี้เพราะเหตุใดกันเล่า

ดวงตาสวยราวกับลูกท้อคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม ชายตามองไปยังหนานกงซูที่นั่งอยู่ข้างเจิ้งซื่อ เขาไม่เชื่อว่าเซียวเชียนเยี่ยจะไม่รู้ว่าเดิมทีหญิงที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้แต่งงานกับเว่ยจวินมั่วคือหนานกงซู แน่นอนว่าบอกไม่ได้ว่าเซียวเชียนเยี่ยเป็นมือที่สาม เนื่องจากตอนที่เขามีสัมพันธ์กับหนานกงซูฝ่าบาทยังไม่มีรับสั่งใดออกมา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รับรู้เบื้องหลังของตระกูลหนานกง ในยามนี้เขาเพียงแสดงท่าทีบริสุทธิ์ใจต่อหน้าเว่ยจวินมั่วก็เท่านั้น ในโลกใบนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนโง่จริงๆ?

เมื่อได้ฟังคำพูดของลิ่นฉังเฟิง หนานกงซูมองไปยังหวงจั่งซุนอย่างใจจดใจจ่อ น่าเสียดายที่เซียวเชียนเยี่ยต้องทำให้นางผิดหวังแล้ว เขาทำราวกับไม่เข้าใจคำพูดของลิ่นฉังเฟิง รอยยิ้มของเซียวเชียนเยี่ยยังคงงดงาม “ยินดีกับจวินมั่วด้วยที่เจอคู่ครองที่ดี”

แววตาเย็นชาของเว่ยจวินมั่วอ่อนลง พยักหน้าตอบ “ขอบพระทัย”

เพราะรู้ว่าหนานกงมั่วพักอยู่ที่บ้านหลังเล็กข้างๆ นี้ เว่ยจวินมั่วและลิ่นฉังเฟิงจึงถือโอกาสขอเข้าพักในบ้านของชาวนาในหมู่บ้าน หนานกงไหวตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย ทำได้เพียงสั่งลงโทษผู้ดูแลที่เข้ามารับหน้าที่ใหม่ ความจริงผู้ดูแลเองก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาเป็นคนของฮูหยินก็จริง ก่อนนางจะมาฮูหยินได้สั่งกำชับเอาไว้ว่าเมื่อคุณหนูใหญ่มาถึงต้องทำให้นางดูมีราศี ให้ดูดี แต่เขายังไม่ทันได้ทำสิ่งใดเลย คุณหนูใหญ่ไม่เคยก้าวเข้าประตูเรือนหนานกงเข้ามาด้วยซ้ำ

เมื่อได้ฟังพ่อบ้านผู้ดูแลอธิบาย หนานกงฮุยที่อยู่ด้านข้างก็ลงโทษโดยการโบยเขาอีกครั้ง คุณหนูใหญ่ไม่กลับมาเจ้าไปเชิญไม่เป็นหรือ!

สุดท้ายทั้งสามก็ต้องย้ายกลับมาอยู่ในเรือนหนานกง ก่อนหน้านี้ไม่ใช่หนานกงมั่วเจ้าเล่ห์ แต่เพราะรู้ว่าคนของเจิ้งซื่อจะทำให้นางลำบากจึงไม่คิดจะโผล่หน้าไปให้ใครต้องมาไว้หน้า อีกทั้งก่อนจากไปนางยังมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการ พักที่บ้านตนเองนั้นค่อนข้างสะดวก ในเมื่อเตรียมจะไปจินหลิงแล้ว ไม่ว่าจะดื้อรั้นเพียงใด สุดท้ายก็ทนต่อความวุ่นวายของตระกูลกงหนานไม่ไหว

“เชียนเยี่ย…”

ภายใต้แสงจันทร์สลัว ในเงาของดอกไม้ นับเป็นช่วงเวลานัดหมายที่ยอดเยี่ยมของชายหนุ่มและหญิงสาว ภายใต้แสงจันทร์ หนานกงซูอยู่ในชุดคลุมสีขาว ริมฝีเคลือบไว้ด้วยสีจางๆ ยิ่งทำให้นางดูบอบบาง ขณะมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงจันทร์อย่างโกรธเคือง หนานกงซูเอ่ยขึ้นว่า “เชียนเยี่ย ท่าน…ท่านเกลียดซูเอ๋อร์แล้วหรือเพคะ” สายตาอ่อนโยนของเซียวเชียนเยี่ยมองไปยังหนานกงซู เอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”

“แต่ว่า…” หนานกงซูกัดริมฝีปากบางเบาๆ เอ่ยด้วยท่าทางลังเล

คล้ายเข้าใจว่านางอยากเอ่ยสิ่งใด เซียวเชียนเยี่ยสาวเท้าเข้าใกล้ คว้ามือหญิงสาวมากุมเอาไว้ “เด็กโง่ เจ้าไม่เข้าใจหรือ ข้ามาครั้งนี้เพื่อมาแสดงความจริงใจต่อท่านกั๋วกง คาดว่าฉู่กั๋วกงเองก็เข้าใจความหมายที่ข้าอยากจะสื่อ ซูเอ๋อร์เจ้าวางใจ ข้าจะรับเจ้าเข้าจวนอย่างแน่นอน”

หนานกงซูรู้สึกยินดี ทว่ายังคงมีความสงสัยหลงเหลืออยู่เล็กน้อย “แล้วเหตุใดพระองค์…หม่อมฉันไม่ชอบการหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ หม่อมฉันหวังว่าจะได้ยืนเคียงข้างพระองค์ได้อย่างสง่าผ่าเผย”

เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ “เสด็จปู่พึ่งจะออกราชโองการ ชาวเมืองจินหลิงรู้เรื่องราวของตระกูลหนานกงไม่น้อย แม้เสด็จปู่จะไม่ได้ดูแลจวินมั่วเท่าใด แต่ก็ยังต้องไว้หน้าเชื้อพระวงศ์อย่างเยี่ยนอ๋อง ฉีอ๋อง และองค์หญิงฉังผิงอยู่ ดังนั้น ซูเอ๋อร์ เรื่องราวของเราต้องมองออกไปไกลๆ อย่างน้อย…ต้องรอจนกว่าคุณหนูใหญ่หนานกงแต่งออกไปกับจวินมั่วเสียก่อน”

หนานกงซูถูกเซียวเชียนเยี่ยเกลี้ยกล่อมก็ส่งเสียงอ่อนตอบรับอยู่ในอ้อมกอดของเซียวเชียนเยี่ย “หม่อมฉันนึกว่า…หม่อมฉันนึกว่าพระองค์ไม่ต้องการหม่อมฉันแล้ว”

“ได้อย่างไรกัน ข้าจะไม่ต้องการเจ้าได้อย่างไร” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม “เพียงต้องรออีกสักหน่อย เพื่อไม่ให้เสด็จปู่และเสด็จพ่อมีข้อโต้แย้งในตัวเจ้า อีกอย่างก็คือ อาจจะไม่ยุติธรรมกับชื่อเสียงของเจ้าเล็กน้อย” ปีนี้เซียวเชียนเยี่ยอายุครบยี่สิบสองปี เมื่อห้าปีก่อนนั้นได้แต่งกับบุตรสาวของเอ้อกั๋วกงแต่งตั้งให้เป็นชายาเอก หากหนานกงซูแต่งเข้าไปอย่างมากก็เป็นได้เพียงชายารอง

ดวงตาของหนานกงซูอ่อนแสงลงเล็กน้อย กอดเซียวเชียนเยี่ยของนางเอาไว้แนบแน่นคล้ายกับมองไม่เห็นสิ่งใดอีก หนานกงซูเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมา “เพียงได้อยู่กับพระองค์ ซูเอ๋อร์ไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมหรอกเพคะ”

“ซูเอ๋อร์เด็กดี ข้าเซียวเชียนเยี่ยไม่มีทางทำให้เจ้าต้องเสียใจเป็นแน่”

“หม่อมฉันเชื่อพระองค์เพคะ”

ที่สวนด้านหลัง หนานกงมั่วเหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจอย่างอึดอัด ได้ยินเสียงพลอดรักด้วยคำหวานหูดังเข้ามา เมื่อมองดูแล้วก็คิดจะเดินไปในทางที่หนุ่มสาวประพฤติตัวไม่เหมาะสม เป็นครั้งแรกที่หนานกงมั่วรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย นางไม่ใช่คนไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อจะมายุ่งเรื่องของชาวบ้าน นางเพียงหนีมาจากคนที่ชอบวิ่งเข้ามาหานางเพื่อพูดถึงพี่ใหญ่พี่รอง เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยจึงหนีออกมาหลบอยู่ในสวน ใครจะคิดว่าสองคนนั้นจะมานัดกันที่นี่ล่ะ แล้วยังมาด้วยกันอีกด้วย นางจะออกไปหรือไม่ออกไปดีนะ

นางปิดปากแล้วหาวออกมาเบาๆ ขณะที่เสียงจากในสวนที่ด้านหลังเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทว่าจู่ๆ กลับหยุดชะงักลงไปดื้อๆ เสียงของเซียวเชียนเยี่ยดังขึ้นอีกครั้ง “ซูเอ๋อร์ คุณหนูหนานกงผู้นั้น…เป็นอย่างไรบ้าง”

“ทำไมหรือ พระองค์ชอบนางหรือเพคะ” น้ำเสียงหึงหวงของหนานกงซูดังขึ้น เซียวเชียนเยี่ยหัวเราะ “พูดอะไรโง่ๆ นางเป็นคู่หมั้นของจวินมั่ว เพียงแต่ว่าอย่างไรนางก็เป็นคุณหนูใหญ่ของจวนฉู่กั๋วกง ต่อไปจะกลายเป็นชายาของผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง จึงอยากทำความรู้จักไว้สักหน่อยเท่านั้นเอง”

หนานกงซูส่งเสียงไม่ชอบใจ “นางเติบโตมาจากหมู่บ้านชนบทตั้งแต่เด็ก ไม่มีใครสั่งสอนเรื่องมารยาท หลายวันมานี้ทำท่านพ่อโมโหอยู่บ่อยครั้ง กลับถึงจินหลิงคงต้องหาคนมาสอนมารยาทแก่นาง”

“อ้อ ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ กลับไปข้าจะให้หยวนซื่อส่งคนไปให้” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย

หนานกงซูไม่พอใจ “พระองค์เพิ่งบอกว่าไม่ได้ชอบนาง กลับต้องใส่ใจนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

“นางไม่ใช่พี่สาวของเจ้าหรือ ข้าเห็นแก่เจ้า ซูเอ๋อร์อย่าโกรธไปเลย…”

หนานกงซูเอ่ยด้วยท่าทางน่าสงสาร “ข้ามองนางเป็นพี่สาวของข้า เพียงแต่เกรงว่านางจะไม่มองข้าเป็นน้องสาว”

“หมายความเช่นไรหรือ”

หนานกงซูเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาในช่วงเวลาไม่กี่วันด้วยท่าทางน่าสงสาร เล่าเสริมเติมแต่งดิบดี และแน่นอนว่าเรื่องที่นางและมารดาคิดร้ายต่อหนานกงมั่วนั้นไม่ได้เอ่ยถึงแม้เพียงเล็กน้อย แม้กระทั่งเซียวเชียนเยี่ยเองยังต้องขมวดคิ้ว นึกถึงคำพูดไม่กี่ประโยคของหนานกงมั่วที่สามารถทำให้สองพี่น้องตระกูลเว่ยใบหน้าถอดสีได้ ประจักษ์ชัดแล้วว่าหนานกงมั่วเป็นผู้ทำเช่นนั้น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *