หมอหญิงยอดมือสังหาร 399 พบกับกงอวี้เฉินอีกครั้ง (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 399 พบกับกงอวี้เฉินอีกครั้ง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 399 พบกับกงอวี้เฉินอีกครั้ง (2)
แม้ว่าราชสำนักจะไม่จำเป็นต้องกลัวกลุ่มโจรเพียงไม่กี่คน แต่หากเป็นสถานการณ์ดังเช่นหลิงโจวในยามนี้ทำให้สงบก่อนสักหนึ่งวันคงจะเป็นสิ่งดีที่สุด

หนานกงมั่วพยักหน้า “ออกจากเมืองไปยังเขาฝูวั่ง ก่อนที่คนที่ฝ่าบาทส่งมาจะมาถึง ต้องจัดการเขาฝูวั่งเอาไว้ให้ได้” ชวีเหลียนซิงไม่รู้ว่าคนที่ฝ่าบาทส่งมาเป็นผู้ใด แต่ในเมื่อจวิ้นจู่เอ่ยเช่นนี้แน่นอนว่าต้องปฏิบัติตาม เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”

หนานกงมั่วมองนาง เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าอยู่ในเมืองไม่ต้องออกไปหรอก ด้านนอกอันตรายเกินไป”

ชวีเหลียนซิงส่ายหน้า “ข้าไม่กลัวเจ้าค่ะ จวิ้นจู่วางใจเถิด ผู้บัญชาการฝังให้อาวุธลับกับข้า ข้าดูแลตัวเองได้เจ้าค่ะ”

“ระวังตัวด้วย”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณจวิ้นจู่”

ยามที่หนานกงมั่วและชวีเหลียนซิงมาถึงเขาฝูวั่ง ลิ่นฉังเฟิงได้พาคนมารออยู่ตีนเขาก่อนแล้ว มองเห็นทั้งสองขี่ม้ามาถึง คิ้วคมของลิ่นฉังเฟิงเลิกขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวนี่ แม่นางชวีควบม้าได้เร็วเพียงนี้แล้ว” ชวีเหลียนซิงพลิกตัวลงจากหลังม้า ยิ้มเจื่อน เอ่ย “หากมิใช่เพราะจวิ้นจู่รอข้าก็คงมาถึงตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ”

จะว่าไปนี่เป็นครั้งที่สองที่นางขี่ม้า และเป็นครั้งแรกที่นางขี่ม้าด้วยตนเอง ตลอดทางไม่ต้องเอ่ยถึงควบม้าวิ่งเลย หนานกงมั่วต้องหยุดรอนางเป็นระยะ เพียงแต่การควบม้าคนเดียวตลอดระยะทางยี่สิบลี้ แม้จะเหนื่อยไม่น้อยแต่กลับดูเข้าท่า

ลิ่นฉังเฟิงมิได้มาเพียงคนเดียว นอกจากฝัง เวย และหลิ่วแล้ว นอกจากนั้นยังมีชายแต่งตัวแตกต่างกันออกไปที่หนานกงมั่วไม่เคยเห็นกว่าสิบคนด้วย แต่ว่าดูจากท่าทางของพวกเขา มองด้วยสายตาหนานกงมั่วก็มองออกว่าพวกเขาคือมือสังหารของวังจื่อเซียว ลิ่นฉังเฟิงควงพัดในมือเล่น เอ่ย “ใครจะรู้ว่าฝ่าบาทคิดเช่นไร ถึงได้ให้เย่ว์จวิ้นอ๋องเป็นคนคุมกองทัพขนเสบียงมา รอพวกเขามาถึงพวกเราก็คงทำอันใดไม่สะดวก ดังนั้นเราต้องรีบจัดการกับเขาฝูวั่งโดยไว” หลังจากจัดการกับเขาฝูวั่ง คนของวังจื่อเซียวต้องหลบซ่อนตัวอีกครั้ง ไม่ให้เซียวเชียนเยี่ยได้เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา

หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบ “หายนะที่เซียวเชียนเยี่ยสร้างขึ้น ให้เขามาทำคุณงามความดี อย่างน้อยก็ช่วยกู้ชื่อเสียงของเขากลับมาได้บ้าง อีกทั้งยังสามารถแก้ตัวกับเหล่าขุนนางในราชสำนักได้อีกด้วย” ความจริงเรื่องนี้ไม่นับว่าเซียวเชียนเยี่ยเป็นคนก่อขึ้น เพียงแต่มีหรือที่เหล่าลูกหลานของฮ่องเต้จะไม่ซ้ำเติม เพียงเกิดปัญหาเพราะคนของเซียวเชียนเยี่ย ต่อให้ตัวเขามิได้สนิทชิดเชื้อแต่ย่อมต้องซวยไปด้วย

ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้า ชี้ไปยังยอดเขาสูงพลางยักไหล่ เอ่ย “แม่นางมั่วมีแผนอันใดหรือไม่”

“บนเขาสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงมั่วเอ่ยถาม

ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “หัวหน้าโจรบนเขามีนามว่าจิ้นจั๋ว เป็นหัวหน้าโจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหลิงโจวรวมไปถึงทั่วทั้งแถบราบลุ่มแม่น้ำ เมื่อก่อนในยุทธภพเคยมีข่าวลือกันว่าผู้คนหรือพ่อค้าที่เดินทางผ่านเส้นทางทางน้ำต้องเคารพจินผิงอี้ เดินทางทางบกต้องได้เห็นหน้าจิ้นจั๋ว เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้นำแห่งป่าอันเขียวชอุ่ม หมู่บ้านเล็กใหญ่บนเขาแทบจะเชื่อฟังคำสั่งของเขาทั้งหมด ขณะเดียวกันหากเป็นในยุทธภพ จิ้นจั๋วและเชาอู่แน่นอนว่ามีมิตรภาพไมตรีต่อกัน หากเขาต้องการช่วยเชาอู่และขัดขวางพวกเรา นั่นคงเป็นปัญหาไมน้อย เมื่อก่อนไม่มีใครรู้ว่าจิ้นจั๋วซ่อนตัวอยู่ที่ใด ครั้งนี้สอบสวนจากตานซินจึงรู้ว่าที่แท้…รังของคนผู้นี้อยู่ในสถานที่ที่ใกล้กับเมืองหลิงโจวถึงเพียงนี้”

“เช่นนี้ เขาสนิทสนมกับตานซินอย่างนั้นหรือ”

ลิ่นฉังเฟิงลูบปลายคาง ยิ้มพลางเอ่ย “คนผู้นี้กว้างขวางไม่ค่อยเหมือนโจร เขาสนิทกับตานซินจริง ไม่เพียงตานซินเท่านั้นยังมีผู้บัญชาการกองทัพหลิงโจวที่พึ่งตายไปอีกด้วย ดังนั้นทหารเมืองหลิงโจวจึงไม่เคยมายังรังโจรแห่งนี้”

“ชื่อเสียงของคนผู้นี้เป็นเยี่ยงไร” หนานกงมั่วขมวดคิ้วถาม ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “ผสมปนเป คนดีปล้นคนเลวก็ปล้น ทำความดีบ้างเป็นบางครั้งบางครา เรื่องเลวก็ทำเอาไว้ไม่น้อย เพียงแต่ครั้งนี้เชาอู่ก่อกบฏยังเคยไปหาเขา แต่เขากลับไม่เห็นด้วย โจรป่าในเขตหลิงโจวก็เข้าร่วมกับเชาอู่ไม่ถึงสี่ส่วน คนอื่นๆ คาดว่าคงรอดูท่าทีของจิ้นจั๋ว เขาน่าจะไม่ค่อยอยากเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นข้าจึงมีความเห็นว่า…หากไม่ลงมือได้ก็ไม่ต้องลงมือ นอกจากนั้น…เพิ่งได้รับข่าวมาว่าเชาอู่ส่งคนไปพบจิ้นจั๋วแล้ว”

หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “เช่นนั้น พวกเราก็ไปกันเถิด”

ลิ่นฉังเฟิงเบิกตากว้าง เอ่ย “เจ้าจะไปหรือ แม่นางมั่ว เจ้ารออยู่ด้านล่างจะดีกว่า เดี๋ยวข้าพาคนขึ้นไป” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ต่างกันอย่างไร หากสำเร็จแน่นอนว่าไม่เป็นไร หากไม่สำเร็จข้ายังต้องขึ้นเขาไปช่วยท่าน” ลิ่นฉังเฟิงพูดไม่ออก “ความหมายของเจ้าคือพาคนขึ้นเขาไปทั้งหมดอย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วยิ้มร่า เอ่ยถาม “เจ้าลองเดาดูสิว่าจิ้นจั๋วรู้หรือไม่ว่าพวกเรามา”

ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่ ไร้ซึ่งคำพูด

เป็นเช่นนั้น ยามที่พวกเขากำลังจะขึ้นเขาก็มีคนลงมาจากบนเขาแล้ว ผู้มาใหม่มองลิ่นฉังเฟิงที่อยู่หน้าสุด ยกมือขึ้นประสาน เอ่ย “คุณชายท่านนี้ ทุกๆ ท่าน หัวหน้าของเราเชิญทุกท่านขึ้นไปบนเขา”

หนานกงมั่วและลิ่นฉังเฟิงมองสบตากัน ลิ่นฉังเฟิงเคาะพัดในมือเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เชิญนำทาง”

ทุกคนเดินตามคนนำทางตรงไปตามเส้นทางที่ขรุขระมุ่งตรงไปยังยอดเขา ใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าพวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่กลางเขา ถึงจะบอกว่าเป็นหมู่บ้านโจร ที่น่าตกใจก็คือหมู่บ้านแห่งนี้ดูแล้วกลับเป็นเหมือนหมู่บ้านคนธรรมดาทั่วไป ระหว่างทางเดินเข้าไปในหมู่บ้านมีควันลอยขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ แต่สามารถสร้างหมู่บ้านอยู่บนไหล่เขาสูงชันเพียงนี้ได้ ดูแล้วไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้

“เชิญด้านใน” คนนำทางพามาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้ที่สูงกว่าบ้านหลังอื่นๆ เล็กน้อย หันกลับมาเอ่ยกลับลิ่นฉังเฟิงด้วยท่าทีนอบน้อม ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้า เหลือบมองหนานกงมั่วเล็กน้อยก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน ห้องโถงกว้างดูโทรมอยู่บ้าง มีเก้าอี้ตัวหนึ่งตั้งอยู่โดดเด่นและมีเก้าอี้สองแถวขนาบด้านข้าง เพียงเดินเข้าไป พลันมองเห็นตำแหน่งที่นั่งเหนือสุดนั้นมีชายร่างหนานั่งอยู่

“ท่านผู้นี้คือหัวหน้าจิ้นหรือ” ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นประสานพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จิ้นจั๋วนั้นดูอายุยังไม่มาก ราวกับไม่ถึงสามสิบปี เอนตัวพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน กวาดสายตามองพวกเขาอย่างขี้เกียจ จิ้นจั๋วนั้นดูแตกต่างจากโจรทั่วไป แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าหล่อเหลา แต่องค์ประกอบใบหน้าของเขานั้นถือว่าดูดี แม้แต่สีหน้าที่ปรากฏออกมายังไม่มีความร้ายกาจใดๆ

สายตาของจิ้นจั๋วหยุดอยู่ที่ลิ่นฉังเฟิงชั่วครู่ จากนั้นมองเลยผ่านมายังหนานกงมั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างลิ่นฉังเฟิง เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้นี้…”

จิ้นจั๋วลุกขึ้นมา มองสำรวจหนานกงมั่ว เอ่ย “มิกล้า มีคนบอกกับข้าว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่นั้นเป็นสตรีที่น่าทึ่งไม่อาจมีใครเทียบได้ เดิมข้ายังไม่เชื่อ วันนี้ได้เจอ…ไม่ธรรมดาจริงๆ จวิ้นจู่เชิญนั่ง”

“ขอบคุณ”

หนานกงมั่วและลิ่นฉังเฟิงนั่งลงไปยังเก้าอี้ด้านขวามือของจิ้นจั๋ว ฝัง เวยและชวีเหลียนซิงที่ติดตามทั้งสองขึ้นเขามาด้วยยืนอยู่ด้านหลัง ที่นั่งฝั่งตรงข้ามยังมีชายวัยกลางคนที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนในยุทธภพนั่งอยู่ กำลังมองมายังเหล่าหนานกงมั่วด้วยแววตาฉงน เพียงแต่ในสายตานั้นไม่มีความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *