หมอหญิงยอดมือสังหาร 563 ลุงที่แสนดีแห่งอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ (2)
ตอนที่ 563 ลุงที่แสนดีแห่งอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ (2)
หนานกงมั่วพยักหน้า เอนตัวพิงเขา “เหนื่อยจริงๆ” การเดินทางครั้งนี้กินเวลาเกือบหนึ่งเดือน จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
“พักผ่อนก่อนเถิด” เว่ยจวินมั่วลูบผมนางเบาๆ หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “นอนไม่หลับ นั่งพักสักหน่อยแล้วค่อยไปดูเสด็จแม่” พวกนางมีวรยุทธ์ อย่างไรก็มีกำลังดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งนางไม่คุ้นชินกับการนอนกลางวันอีกด้วย
“มาถึงโยวโจวแล้ว รู้สึกผ่อนคลายไปมากทีเดียว” แม้ต่อไปอาจมีปัญหาต่างๆ เข้ามาอีกมากมาย แต่เมื่อเทียงกับจินหลิงที่แต่ละคนล้วนมีความสัมพันธ์ที่วุ่นวายแล้ว โยวโจวยังเรียบง่ายกว่ามาก มีหนึ่งประโยคกล่าวได้ดี ชีวิตคนเรานั้นมีปัญหาซ้อนปัญหา ตอนนี้โยนปัญหาอื่นๆ ทิ้งไปเสียก่อน ผ่อนคลายบ้างก็คงไม่เลว
ดวงตาสีม่วงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นนวดไหล่ให้นาง เอ่ยถาม “อู๋สยาชอบบ้านแบบใด”
“เอ๋” หนานกงมั่วเบิกตาโตมองเขา เอ่ย “พวกเราจะย้ายออกไปอยู่กันเองหรือ”
“อู๋สยาเห็นเช่นไร”
หนานกงมั่วเอนตัวกลับลงไปอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา ถอนหายใจ “แน่นอนว่าข้าแยกออกไปอยู่ได้ แต่ว่าเสด็จลุงเยี่ยนอ๋องคงจะไม่ยอมหรือไม่ อีกทั้ง หากพวกเราย้ายออกไปแล้วเสด็จแม่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพังเกรงว่าจะเหงาเอาได้” พวกเขาคงไม่ได้อยู่บ้านบ่อยๆ อีกอย่างนางและองค์หญิงฉังผิงนั้นอายุห่างกันมาก ต่อให้อยู่ด้วยบางครั้งก็ไม่รู้จะพูดคุยอย่างไร
เว่ยจวินมั่วอย่างไรก็ได้ “บ้านของเราแน่นอนว่าอยู่ไม่ห่างจากจวนเยี่ยนอ๋องมาก หากเสด็จแม่อยู่คนเดียวแล้วเหงาสามารถมาหาเสด็จป้าที่จวนเยี่ยนอ๋องได้ และสามารถออกไปเดินเล่นได้” เมืองโยวโจวไม่มีข่าวลือมากมายเช่นในจินหลิง รวมถึงสายตาแปลกประหลาดของผู้คนที่มองมา หากองค์หญิงฉังผิงเบื่อก็สามารถออกไปเดินเล่นได้ ไม่มีทางเบื่อหน่ายอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นพวกเราก็แยกออกไปอยู่กันเถิด” หนานกงมั่วเอ่ยอย่างดีอกดีใจ เยี่ยนอ๋องรักเว่ยจวินมั่วนางเองก็รู้ แต่อย่างไรก็เป็นลุงหลาน ต่อให้สนิทสนมเพียงใดอย่างไรก็มีความเกรงอกเกรงใจ เซียวเชียนชื่อแต่งงานแล้ว เซียวเชียนเหว่ยและเซียวเชียนจย่งก็คงอีกไม่นาน ต่อไปมีคนมากมายคงเลี่ยงที่จะมีปัญหาไม่ได้ มิสู้ไปอยู่ข้างนอกเองเสียจะดีกว่า อย่างไรเสีย…พวกเขาก็ไม่ขาดเงิน
“ได้ เดี๋ยวให้ฝังไปดูบ้านให้” เว่ยจวินมั่วเอ่ยบอก
“แล้วเสด็จลุงเยี่ยนอ๋อง…” เพียงดูจากความใส่ใจในการตกแต่งเรือนนี้ก็รู้ได้ เยี่ยนอ๋องต้องการให้พวกเขาอยู่ที่นี่ด้วยกันนานๆ เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เดี๋ยวข้าไปคุยกับเสด็จลุงเอง ไม่ต้องกังวลไป”
“ขอบใจท่านมาก” หนานกงมั่วแนบใบหน้าลงกับอกของเขา เอ่ยเสียงเบา นางรู้ดีว่าเว่ยจวินมั่วทำเช่นนี้เพราะกลัวว่านางจะไม่คุ้นชิน อยากให้นางมีอิสระ
เว่ยจวินมั่วยกมือลูบแผ่นหลังของนาง ไม่เอ่ยอันใด เตาไฟที่อยู่ไม่ไกลส่องประกายไฟสีแดงสวย ทั่วทั้งห้องไม่มีความหนาวเหน็บเลยแม้เพียงนิด
จนกระทั่งยามเย็นหนานกงมั่วจึงได้เจอคนในจวนเยี่ยนอ๋องทั้งหมด สำหรับผู้ปกครองเมืองแล้ว จวนเยี่ยนอ๋องนับว่ามีคนค่อนข้างน้อย นับตั้งแต่พระชายาหยวนจากไปจนกระทั่งตอนนี้แต่งพระชายาองค์ใหม่หลานซื่อ นอกจากนั้นมีพระสนมสองคนและอนุภรรยาหนึ่งคน เยี่ยนอ๋องมีบุตรชายสามบุตรีสอง บุตรชายทั้งสามกำเนิดโดยพระชายาเยี่ยนอ๋อง บุตรีหนึ่งคนกำเนิดโดยพระสนมหวังซื่อ ถูกแต่งตั้งเป็นหย่งเฉิงจวิ้นจู่ บุตรีอีกหนึ่งคนกำเนิดโดยอนุภรรยา ไม่ได้รับการแต่งตั้งแต่อย่างใด มีนามอย่างไม่เป็นทางการว่าอวี้หมิง คนทั้งในและนอกจวนต่างเรียกว่าอวี้จวิ้นจู่ นอกจากนี้ยังมีภรรยาและอนุภรรยาของเซียวเชียนชื่อ เซียวเชียนชื่อเป็นผู้สืบทอดของเยี่ยนอ๋อง แต่งงานตอนอายุสิบหกปี ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสคือบุตรีเชื้อสายหลักคนรองของเสนาบดีกรมโยธาในราชสำนัก เฉินซื่อ นอกจากนั้นยังแต่งตั้งอานซื่อสตรีขั้นห้าจากสำนักศึกษาฮั่นหลินเป็นอนุภรรยา เมื่อเดือนสิบปีที่แล้วอานซื่อเพิ่งคลอดบุตรีหนึ่งคน ดังนั้นจวนเยี่ยนอ๋องนับว่าสามชั่วอายุคนแล้ว เมื่อมองดูเยี่ยนอ๋องที่นั่งด้วยท่าทีองอาจห้าวหาญ หนานกงมั่วรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ ไม่คิดว่าเยี่ยนอ๋องนั้นจะเป็นปู่แล้ว
“ถวายพระพรเสด็จอา คารวะพี่ชายพี่สะใภ้” หลังจากพระสนมทั้งสองทำความเคารพคารวะให้แล้ว พระชายาผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋องเองก็นำเชื้อสายรองแสดงความเคารพ เฉินซื่อนั้นเกิดในตระกูลนักปราชญ์ บิดาของนางนับว่าเป็นขุนนางคนสำคัญของกรมโยธาที่เริ่มมาตั้งแต่ขั้นหนึ่ง ดูท่าทีสง่างาม บุคลิกโดดเด่น สตรีตระกูลนักปราชญ์ในจินหลิงต้องเดินทางมาไกลจากจินหลิงสู่โยวโจวกว่าพันลี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อานซื่อผู้นั้นอาจจะดูสวยกว่าสักเล็กน้อย ทว่ามิได้ดูโดดเด่นมากนักเพียงแต่ดูซื่อตรง คิดว่าเมื่อครั้งฝ่าบาทเลือกให้คงไม่อยากเพิ่มความวุ่นวายให้เรือนหลังของหลานชาย
หนานกงมั่วรีบลุกขึ้นรับการคารวะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พระชายาซื่อจื่อไม่ต้องมากพิธี”
เฉินซื่อยิ้มหวาน เอ่ย “หากพี่สะใภ้ไม่รังเกียจ เรียกข้าว่าน้องสะใภ้ก็ได้เจ้าค่ะ”
เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็ดูจะพึงพอใจต่อลูกสะใภ้ผู้นี้อยู่ไม่น้อย เยี่ยนอ๋องพยักหน้า เอ่ย “เฉินซื่อกล่าวไม่ผิดเลย หลังจากนี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว หากเกรงใจเกินไปจะดูห่างเหิน”
หนานกงมั่วพยักหน้า “เพคะ เสด็จลุง”
องค์หญิงฉังผิงหยิบของขวัญออกมามอบให้กับเฉินซื่อ แน่นอนว่ามีของอานซื่อด้วยหนึ่งชุด เพียงแต่เมื่อเทียบกับเฉินซื่อแล้วดูน้อยกว่าเพียงเท่านั้น หนานกงมั่วเองก็มอบของขวัญพบหน้า เฉินซื่อรับไปพร้อมกล่าวขอบคุณ
หลังจากพระชายาผู้สืบทอดแล้วก็เป็นจวิ้นจู่ทั้งสอง หย่งเฉิงจวิ้นจู่อายุสิบห้าปี มีการหมั้นหมายแล้ว อวี้หมิงจวิ้นจู่นั้นอายุเพียงเก้าขวบ ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู
“ถวายพระพรเสด็จอา คารวะพี่ชายพี่สะใภ้เจ้าค่ะ”
องค์หญิงฉังผิงประคองจวิ้นจู่ทั้งสองขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “สวยจริงๆ พี่สามพี่สะใภ้สามช่างโชคดี หม่อมฉันมักเสียดายที่ไม่มีบุตรีเลยสักคน โชคดีตอนนี้มีอู๋สยาแล้ว มิเช่นนั้นหม่อมฉันคงอยากแย่งสักคนกลับไปเลี้ยงเป็นแน่” เยี่ยนอ๋องสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าชอบก็เอาไปเลี้ยงไว้ข้างกายก็ไม่เป็นไร นับว่าเป็ยวาสนาของนาง”
“เสด็จอา หมิงเอ๋อร์ไปเล่นเป็นเพื่อนเสด็จอาเองเพคะ” อวี้หมิงจวิ้นจู่เบิกตาโต เอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจ
องค์หญิงฉังผิงยิ้ม “ได้สิ มีเวลาก็มาเล่นเป็นเพื่อนเสด็จอาที่เรือน” ยื่นมือออกไปรับถุงหอมสองถุงมาจากสาวใช้ด้านหลังมอบให้กับทั้งสองคน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาไปเล่นเถิด”
“ขอบพระทัยเสด็จอาเพคะ”
หนานกงมั่วเองก็ยื่นของขวัญให้ตามองค์หญิงฉังผิงอีกครั้ง ได้รับรอยยิ้มจริงใจจากเด็กน้อยน่ารักมาหนึ่งครั้ง
หนานกงมั่วลอบถอนหายใจอยู่ภายใน ไม่ว่าอย่างไรจวนเยี่ยนอ๋องนั้นนับว่ามารยาทงาม เจอกันครั้งแรก ทุกคนล้วนแต่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่ออาหารเย็นผ่านไป หนานกงมั่วกลับไปพร้อมกับองค์หญิงฉังผิง เว่ยจวินมั่วถูกเยี่ยนอ๋องเรียกไปพบยังห้องหนังสือ
ประคององค์หญิงฉังผิงเดินตรงกลับเรือนไป ด้านหลังมีแม่นมหลานและเหล่าหมิงฉินเดินตามหลัง ใบหน้าขององค์หญิงฉังผิงมีรอยยิ้มบางๆ แม้หลายวันมานี้จะยากลำบากทว่ากลับเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงฉังผิงบ่อยขึ้น เห็นได้ชัดว่าการออกจากจินหลิงทำให้จิตใจของนางดียิ่งขึ้น
“อู๋สยาคุ้นชินกับจวนเยี่ยนอ๋องหรือไม่” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยถามเสียงเบา
“ดีมากเลยเพคะ เสด็จป้าจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เป็นอย่างดี” หนานกงมั่วเอ่ย “หม่อมฉันกับจวินมั่วออกไปข้างนอกบ่อยไม่เท่าไรหรอกเพคะ เสด็จแม่เล่า คุ้นชินแล้วหรือเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บรรยากาศรอบๆ เย็นกว่าจินหลิง แต่ว่าก็ดีไปทั้งหมด พี่สะใภ้สามเป็นคนรอบคอบอยู่เสมอมา มีอันใดไม่คุ้นชินหรือขาดเหลืออันใดก็ให้บอกมารดา” หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “อู๋สยารู้เพคะ เสด็จแม่วางใจเป็นพอ”
Comments