หมอหญิงยอดมือสังหาร 484 เจ้าเด็กกวนประสาท (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 484 เจ้าเด็กกวนประสาท (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 484 เจ้าเด็กกวนประสาท (1)
หนานกงมั่วรู้สึกขบขัน เพราะมิได้เดือดร้อนเรื่องเงินจึงสมควรถูกพังร้านแล้วอย่างนั้นหรือ นี่มันตรรกะแบบใดกัน

มองไปยังหนานกงเจียวที่ยืนกรานเหตุผลของตัวเอง หนานกงมั่วจึงเอ่ยเสียงเข้ม “หากสมองเจ้ามีปัญหาก็รีบกลับไปกินยาเสีย อย่ามาเที่ยวเล่นข้างนอกอีก”

“ท่านด่าข้าหรือเจ้าคะ”

“ไม่ใช่ ข้าเป็นห่วงเจ้า” หนานกงมั่วหันกลับมาแล้วโบกมือให้เสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้าง “ส่งคนไปที่เรือนหนานกง ให้ส่งคนมารับคุณหนูหนานกงกลับไป”

หนานกงเจียวกลัวว่าหนานกงมั่วจะส่งคนไปบอกหนานกงไหว ไม่กล้าเอ่ยอันใดมากอีกแล้ว จึงรีบออกไป

จิ้นจั๋วเข้ามาก็บังเอิญสวนกับหนานกงเจียวที่กำลังออกไปพอดี เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังวิ่งหนีไปทั้งน้ำตา จิ้นจั๋วก็เลิกคิ้วขึ้น เอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ยอดเยี่ยมเสมอไม่ว่าอยู่ที่ใด เพียงครู่เดียวก็ไล่คนไปได้อีกกลุ่มหรือ หนานกงมั่วมองเขาไม่เอ่ยอันใด “ขอบคุณหัวหน้าจิ้นสำหรับคำชม”

“…” นี่ข้ากำลังชมนางหรือ จิ้นจั๋วคิดเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยออกมา

ภายในจวนเยี่ยนอ๋อง เซียวเชียนจย่งเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่เซียวเชียนเหว่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ เขากลับมีใบหน้าผ่อนคลาย หลังจากดื่มชาไปสักพักก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ว่า “เจ้าสาม นั่งลงได้หรือไม่ เจ้าทำให้ข้าเวียนหัวไปหมด”

เซียวเชียนจย่งจ้องไปที่เซียวเชียนเหว่ย เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หนานกงมั่วแย่งม้าข้าไป พี่รอง ท่านก็ไม่ช่วยข้า”

เซียวเชียนเหว่ยทำอันใดไม่ได้ “ซิงเฉิงจวิ้นจู่เอ่ยว่าจะคืนม้าให้เจ้ายามที่ออกจากจินหลิง ไม่ได้ต้องการจะขโมยม้าเจ้า” เซียวเชียนจย่งถอนหายใจ “ใครจะรู้ว่านางอาจอยากครอบครองไว้เอง” เซียวเชียนเหว่ยยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง ซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่โลภถึงขนาดอยากได้ม้าของเจ้าหรอก เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าเมื่อครั้งซิงเฉิงจวิ้นจู่ออกเรือน ได้รับสินสอดทองหมั้นมากมาย ตระกูลเมิ่งมอบให้นางเกินกว่าครึ่ง เจ้าคิดว่านางจะอยากได้ม้าของเจ้าอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น พี่สะใภ้เองก็มีม้าดีอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็เห็นม้าในคอกของจวนไม่ได้แย่ไปกว่าม้าเจ้าเลย เกรงว่าจะเป็นของซิงเฉิงจวิ้นจู่เสียด้วย”

เซียวเชียนจย่งประหลาดใจ “ท่านรู้แม้กระทั่งเรื่องนี้หรือ” แม้ว่าเขาจะชอบม้ามากเพียงใด ก็ยังไม่ได้ไปเดินดูคอกม้าเลยด้วยซ้ำ

เซียวเชียนเหว่ยยิ้มพลางเอ่ย “เบื่อก็เลยเดินเตร่ไปเรื่อย ฉะนั้นเจ้าเองก็อย่าก่อเรื่องอีก ระวังเสด็จอาจะเขียนจดหมายถึงเสด็จพ่อ ถึงตอนนั้นเจ้าก็คงต้องรับผลที่ตามมาแล้ว”

เซียวเชียนจย่งถอนหายใจเบาๆ กลอกตาพลางเอ่ย “ข้าเห็นหนานกงมั่วมีวรยุทธ์ด้วย”

เซียวเชียนเหว่ยไม่ได้ใส่ใจ “แล้วอย่างไร”

“ข้าอยากจะท้านาง! หากนางแพ้ นางต้องคืนม้าให้ข้า!” เซียวเชียนจย่งเอ่ยเสียงดัง

เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยเสียงเรียบ “สุภาพบุรุษไม่สู้กับสตรี”

เซียวเชียนจย่งส่งเสียงหยัน เดิมเขาไม่เคยมีนิสัยไม่สู้กับสตรีอยู่แล้ว แต่ความกังวลกลับเอาชนะได้ “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปหานาง หากนางไม่กล้ารับคำท้า ก็เป็นเพียงคนขี้ขลาด” คุณชายเซียวสามตัดสินใจโดยลืมไปว่าเขาแพ้หนานกงมั่วไปตั้งแต่บนถนนนั่นแล้ว

ภายในวังหลวง

เซียวเชียนเยี่ยนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยสีหน้ามืดมน บนพื้นตรงหน้าเขามีเศษชิ้นส่วนของเครื่องลายครามที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมทั้งนางกำนัลและนางในที่คุกเข่าอยู่ ผู้คนที่คุกเข้าอยู่บนพื้นก้มลงจนหน้าผากแตะพื้น รอคอยอารมณ์พิโรธของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่กำลังจะมาถึง คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนเก่าแก่ในวังหลวง พวกเขาล้วนประหลาดใจกับอารมณ์ร้อนเช่นนี้ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ในความทรงจำของพวกเขา ในยามที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังเป็นหวงจั่งซุนนั้นอ่อนโยนและสง่างาม นิสัยและอารมณ์ของเขาก็สุภาพอย่างหาได้ยาก แม้ว่าเขาจะทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเอ่ยถึงฮ่องเต้ผู้ล่วงลับก็ย่อมรู้สึกเสียดายอย่างช่วยไม่ได้ เทียบกัยแล้วราวกับว่าเอ่ยถึงเด็กที่ยังไม่โต ใครจะไปรู้ว่าหลังจากหวงจั่งซุนเข้ามาอยู่ในวังหลวงจริงๆ อารมณ์ของเจ้านายองค์ใหม่นั้นกลับไม่ดีเลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ไม่มีรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างเก่าก่อนแล้ว ทั้งวันก็สีหน้าเคร่งขรึมและไม่พอพระทัยจนกลายเป็นสิ่งที่เห็นชินตาไป

แน่นอนคนเหล่านี้ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเซียวเชียนเยี่ยซ่อนอารมณ์ดุร้ายของเขาได้ลึกเกินกว่าผู้คนจะมองออก แต่เพราะวันเวลานั้นผ่านไปอย่างอึดอัดเหลือเกิน แม้แต่คนที่อารมณ์ดีก็อาจเปลี่ยนเป็นแย่ได้

“ฝ่าบาท”

จูชูอวี้เดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษร มองไปยังเซียวเชียนเยี่ยที่ยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม นางเลิกคิ้วแล้วยิ้มบางๆ

เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจแผ่วเบา มองจูชูอวี้แล้วจึงเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้ามีความกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ จะเข้าห้องทรงพระอักษรก็ไม่ให้คนมารายงานก่อน ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วใช่หรือไม่” พูดตามตรงจูชูวี้ก็มิได้เห็นเซียวเชียนเยี่ยอยู่ในสายตาสักเท่าใด ทว่าแน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวเชียนเยี่ยแล้ว นางไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ยามนี้เซียวเชียนเยี่ยกำลังจะขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

“ชูอวี้มิกล้า พรุ่งนี้ก็เป็นวันพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ไยฝ่าบาทยังท่าทางไม่พอพระทัยอยู่เพคะ” จูชูอวี้เอ่ยถาม เซียวเชียนเยี่ยมองนางแล้วจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “มาหาข้อมูลแทนเซียวฉุนหรือ” จูชูอวี้ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยเบาๆ “ฝ่าบาทเข้าใจหม่อมฉันผิดแล้วเพคะ ก่อนหน้านี้…หม่อมฉันเคยคิดว่าฝ่าบาทจะรับรู้ถึงใจอันจงรักภักดีของชูอวี้แล้วเสียอีก”

เซียวเชียนเยี่ยยิ้มหยัน เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อสิ่งที่จูชูอวี้เอ่ย ตอนที่เขาถูกเซียวฉุนคุมขังจูชูอวี้ทำอันใดอยู่ หากตอนนั้นจูชูอวี้ยินดีที่จะช่วยเขาส่งข่าว บางทีตอนนี้อาจจะไม่มีสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องขึ้นครองบัลลังก์เช่นนี้ ต้องงอมืองอเท้าราวกับหุ่นเชิด สู้เป็นอิสระดั่งเมื่อครั้งเป็นเพียงหวงจั่งซุนในยามที่เสด็จปู่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่เสียดีกว่า

หลายคนในโลกนี้มักชอบเอาความผิดพลาดหรือความล้มเหลวของตัวเองไปโยนให้ผู้อื่น และไม่ยอมรับว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของตนเอง

จูชูอวี้ถอนหายใจ “ฝ่าบาท…ตระกูลจูพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทยังสงสัยพวกหม่อมฉันอยู่อีกหรือ อยากรู้นัก…หากหม่อมฉันช่วยฝ่าบาทจริงๆ ไม่แน่ว่าผู้สำเร็จราชการคงจับได้ หากจูชูอวี้ตายไปก็คงไม่เป็นอันใดหรอก ทว่า…สวรรค์สูงฮ่องเต้ห่างไกล ฝ่าบาทจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าเซียวฉุนจะไม่ลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท แม้ว่าฝ่าบาทจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเซียวฉุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแทนที่กันไม่ได้ หากฝ่าบาทไม่อยู่แล้ว ก็ยังเหลือเฉินจวิ้นอ๋องกับอันจวิ้นอ๋องที่แทนที่ได้อยู่” สิ่งที่จูชูอวี้ยังมิได้เอ่ยออกไปก็คือ ไม่คิดว่าอดีตฮ่องเต้อยู่นานเกินไปหรือ ต่อให้ฮ่องเต้สวรรคตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ที่จะได้ครองบัลลังก์ก็คงมิใช่เซียวเชียนเยี่ยแต่เป็นองค์รัชทายาท หากองค์รัชทายาทเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ก็ยังมิรู้ว่าเชียวเชียนเยี่ยซึ่งมิใช่คนโปรดจะได้ตำแหน่งรัชทายาทในอนาคตหรือไม่ เรื่องพวกนี้จูชูอวี้ไม่เชื่อว่าเซียวเชียนเยี่ยจะคิดไม่ได้ เพียงแต่ไม่ต้องการคิดเสียมากกว่า

หลังจากได้ยินคำพูดของจูชูอวี้ สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยก็ปรากฏความลังเลเล็กน้อย มิใช่ว่าเขาเชื่อมั่นในตระกูลจู แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่สามารถผลักคนไปอยู่ข้างเซียวฉุนได้อีกต่อไป มิฉะนั้นต่อไปเขาจะเสียเปรียบเรื่องการปกครองราชสำนักอย่างมาก อีกทั้งขุนนางที่เป็นคนของเขาและปรมาจารย์ที่เคยสั่งสอนเขาก็ยังไม่กลับมา ยามนี้สถานการณ์ในจินหลิงไม่อยู่ในความได้เปรียบของเขา

เมื่อเห็นสีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยผ่อนคลายลงเล็กน้อย จูชูอวี้จึงกล่าวต่อ “ฝ่าบาท ต่อให้ผู้สำเร็จราชการแทนจะทรงอำนาจเพียงใด ทว่าตอนนี้เขาก็อายุไม่น้อยแล้ว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มีทายาทที่เก่งกาจอันใด ยิ่งไปกว่านั้น…เหตุผลที่ผู้สำเร็จราชการแทน…” เหตุผลที่เซียวฉุนมีอำนาจมากในตอนนี้ นอกเหนือจากกองทหารรักษาพระองค์ กองกำลังคุ้มกันเมืองหลวงส่วนหนึ่ง รวมถึงพวกขุนนางที่เขาลอบติดสินบนแล้ว อันที่จริงเขาไม่ได้มีอำนาจในราชสำนักมากนัก ไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในจินหลิงนานกว่ายี่สิบปียิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย อำนาจทางทหารในอาณาจักรเซี่ยทั่วไปแล้วจะถูกปกครองโดยฮ่องเต้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะอยู่ในมือของเมืองต่างๆ ต่อให้เซียวฉุนต้องการหาตำแหน่งให้คนของตัวเองก็จำเป็นต้องใช้เวลา

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *