หมอหญิงยอดมือสังหาร 367 มรดกสติปัญญา (4)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 367 มรดกสติปัญญา (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 367 มรดกสติปัญญา (4)
ใต้เท้าเหอผู้เฝ้าดูซิงเฉิงจวิ้นจู่เดินจากไปอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเอง “สมองข้านี่นะ”

ขณะเดินกลับไปที่เรือนพัก ซิงเฉิงจวิ้นจู่แหงนหน้ามองดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้าพลางพึมพำ “จะว่าไปแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้แต่เขากลับทิ้งข้าไว้ รู้สึกโหวงๆ อยู่ไม่น้อย เป็นความไม่พอใจต่อเว่ยจวินมั่วงั้นหรือ”

รุ่งสาง หนานกงมั่วลืมตาและเห็นเว่ยจวินมั่วนั่งอยู่ข้างเตียงและมองมาที่ตนอย่างอ่อนโยน นางอดยิ้มตอบไม่ได้ นางคงเคยชินและไว้ใจคนผู้นี้จริงๆ เสียแล้วสิ แม้แต่เขาเข้ามาในห้องของนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้เลย

“มาเช้าเช่นนี้ได้เยี่ยงไร” เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างเพิ่งค่อยๆ สว่างขึ้น ประตูเมืองยังคงไม่เปิดในยามนี้แน่ เว่ยจวินมั่วจึงยกป้ายทองขึ้นมา “ฝ่าบาทประทานสิ่งนี้ให้ สามารถเข้าออกประตูเมืองได้ตลอดเวลา” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่น้อยเลย”

เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เล่าเรื่องที่ฮ่องเต้บอกให้กับหนานกงมั่วฟัง เมื่อฟังจบแล้ว หนานกงมั่วจึงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ลืมแม้แต่จะลุกขึ้น เอ่ยทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนเตียง “เก็บความลับของราชวงศ์ไว้ที่วัดต้ากวงหมิงหรือ วงจรสมองของฝ่าบาทเป็นเช่นไรกัน”

แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าวงจรสมองคือสิ่งใด แต่เว่ยจวินมั่วก็เข้าใจสิ่งที่หนานกงมั่วหมายถึง เขาชำเลืองมองนางอย่างไม่เห็นด้วยนัก “ไม่ควรเอ่ยถึงฝ่าบาทเช่นนั้น” หนานกงมั่วกลอกตา แน่นอนว่านางย่อมเอ่ยเช่นนี้เพียงต่อหน้าเขาเท่านั้น อย่าแสร้งทำเหมือนเจ้าจงรักภักดีต่อฮ่องเต้นักเลย

“เมื่อคืนพวกท่านมิได้กลับมาที่วัดต้ากวงหมิง มัวเที่ยวเล่นอยู่ในวังหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม

เว่ยจวินมั่วเอ่ยท่าทีเคร่งขรึม “เย่ว์จวิ้นอ๋องต่างหากเที่ยวเล่น ข้าอยู่สอบสวนคดี”

หนานกงมั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ตั้งแต่บ่ายถึงเย็นเมื่อวาน คนในวังกว่าเจ็ดแปดร้อยคนถูกคุมขัง ในจำนวนนั้น…เป็นนางสนมสูงศักดิ์นางหนึ่งและนางสนมระดับล่างสามนาง มีคนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในนั้นที่หัวจะหลุดจากบ่าในวันนี้”

หนานกงมั่วเข้าใจดี บรรดาคนพวกนี้กว่าแปดส่วนคงเป็นสายลับจากฝ่ายต่างๆ ที่แทรกซึมอยู่ในวัง หากคนเหล่านี้ถูกประหารทิ้งก็เท่ากับหูตาของฝ่ายนั้นๆ ถูกกำจัดไปด้วย หากยังคงสะสางเรื่องนี้ต่อไป…ย่อมมีแต่จะทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง เช่นนั้น… “ฝ่าบาทตั้งใจให้ท่านรับผิดชอบร่วมกับเซียวเชียนเยี่ยใช่หรือไม่ แล้วท่านหนีมาเช่นนี้จะดีหรือ” แม้ว่าฮ่องเต้จะหน้าเนื้อใจเสือเช่นนี้ แต่ก็เป็นไปตามประโยค หากกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางย่อมต้องตาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าหากเป็นไปเพื่ออบรมสั่งสอนหวงจั่งซุนแล้ว เกรงว่าในสายตาฝ่าบาทนั้นจะมองเป็น ข้าเรียกใช้เจ้าเพราะไว้ใจเจ้า เจ้าต้องกตัญญูรู้คุณถึงจะถูก ทว่าน่าเสียดายที่เว่ยซื่อจื่อเป็นประเภท ‘กษัตริย์สั่งให้ตาย แต่ขุนนางมิยอมตาย’ เสียมากกว่า ความปรารถนาของฮ่องเต้คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

เว่ยซื่อจื่อแสดงออกว่าแม้ตัวเขาจะมิชอบสนทนาปราศรัย ทว่าหากจะฝังเซียวเชียนเยี่ยนั้นเป็นเรื่องง่ายดายมากทีเดียว

เว่ยซื่อจื่อเอ่ยแย้ง “เย่ว์จวิ้นอ๋องเป็นผู้ให้ข้าออกมาจากเมืองเอง เขาคิดว่าสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้”

“เช่นนั้น เขายังคงสืบสวนอยู่หรือ” ดวงตาของหนานกงมั่วเบิกกว้าง เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “เขาคิดว่าหากสืบสวนไปเรื่อยๆ น่าจะเจอเบาะแสมากขึ้น” แน่นอนว่าการสืบสวนนี้มีทิศทางที่ชัดเจน อย่างเช่น จวนเอ้อกั๋วกง จวนฉู่กั๋วกง ตระกูลจู ตระกูลพระชายารัชทายาท คนพวกนี้สามารถปล่อยไปได้ แต่บรรดาคนอีกประเภทหนึ่ง เช่น ตระกูลพระชายาเฉิงจวิ้นอ๋องกลับต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด และแน่นอนว่ายังมีตระกูลฉิน ตระกูลเซี่ย และตระกูลอื่นๆ อีกด้วย

หนานกงมั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้มร่า เอ่ย “นับเป็นรางวัลใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าจะเดินไปเหยียบกับระเบิดหรือเป็นผู้ถือลูกระเบิดไว้เอง” หวังว่าฝ่าบาทจะไม่กระอักเลือดไปเสียก่อน สมกับที่เย่ว์จวิ้นอ๋องต้องการขึ้นเป็นฮ่องเต้ เพียงแค่เริ่มลงมือก็แตกต่างจากคนธรรมดาแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้จะรับมือกับพวกตระกูลขุนนางยังต้องคิดทบทวนไตร่ตรองแต่เขากลับกล้าแหย่รังแตนเพียงลำพัง กระทั่งเว่ยจวินมั่วที่สามารถช่วยรับความแค้นแทนให้เขาได้ยังกล้าไล่ออกมา เย่ว์จวิ้นอ๋องนี่ได้รับตกทอดสติปัญญาเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ก็เห็นอยู่ว่าฮ่องเต้ องค์รัชทายาท และพระชายารัชทายาทก็ปกติดี “คิดสิ่งใดอยู่หรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นว่านางกอดผ้าห่มเหม่อลอย หนานกงมั่วส่ายหัวแล้วเอ่ยตอบ “มิมีอันใด เราไปหาใต้เท้าเหอกันเถิด เมื่อคืนเขายุ่งมาทั้งคืน” เว่ยจวินลุกขึ้นก่อนพลางเอ่ยชวนว่า “ค่อยไปหลังกินข้าวเช้า”

ทั้งสองคนกินข้าวเช้าเสร็จแล้วจึงไปหาเหอเหวินลี่ด้วยกัน แน่นอนว่าเหอเหวินลี่ยังอยู่ในเรือนเดิมมาตั้งแต่เมื่อวาน เพียงแต่เมื่อเทียบกับใต้เท้าเหอผู้มีสง่าราศีเมื่อวานแล้ว ยามนี้เขากลับมีขอบตาดำ หน้าซีด ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าหมองคล้ำไร้ความรู้สึก มองตรงไปยังคู่สามีภรรยาที่จูงมือกันเข้ามา ท่าทางของเขาเชื่องช้า สะลึมสะลือเต็มที

“ใต้เท้าเหอ ท่านคงจะยังมิได้กินข้าวเช้าใช่หรือไม่” หนานกงมั่วยื่นซาลาเปานึ่งสองสามลูกส่งให้ ถามด้วยท่าทีระวัง หากเสียงดังไปจนใต้เท้าเหอตกใจจะทำเช่นไร

“อ๋า? อ้อ…” เหอเหวินลี่รับซาลาเปาแล้วยัดเข้าปากท่าทีงุนงง อีกมือหนึ่งหยิบหนังสือบนโต๊ะยื่นส่งให้ทั้งสองดู เอ่ยเสียงเรียบ “ทั้งตู้ชวี ตู้หง และหมิงคง ข้าตรวจสอบทั้งหมดแล้ว หมิงคงไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย ตู้ชวีและตู้หงมาจากที่เดียวกัน เมื่อสามปีที่แล้วพวกเขาเข้ามาอยู่ในวัดต้ากวงหมิงพร้อมกัน ที่บ้านพวกเขาไม่มีญาติเหลือแล้ว แต่…ฐานะเดิมอาจจะปลอมขึ้นมาได้ ยังต้องใช้เวลาในการตรวจสอบสักหน่อย ส่วนเรื่องสารหนู ตู้ชวีเป็นผู้ซื้อมาจากร้านขายยาในเมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากเขาจื่ออวิ๋น เขาอ้างว่ามีหนูในวัด ประวัติของพระภิกษุทั้งหมดที่ผลัดกันเฝ้าพระคัมภีร์รวบรวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว มีผู้ต้องสงสัยทั้งหมด 5 ราย เรื่องนี้ก็จำเป็นต้องใช้เวลาตรวจสอบเช่นกัน แล้วก็ผู้แสวงบุญที่มาวัดต้ากวงหมิงเมื่อวานนี้ มี 132 คน เป็นชาวบ้านในละแวกนี้ มี 21 คน เป็นนักเรียนต่างถิ่น และมี 48 คนเป็นพวกตระกูลชั้นสูงในจินหลิงรวมถึงบ่าวรับใช้ ตอนนี้มีสามตระกูลใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเรือนพัก รวมทั้งหมด 83 คน นี่เป็นข้อมูลส่วนตัวและคำให้การของพวกเขา ในหมู่พวกเขามี 7 คนที่ให้การขัดแย้งกัน สรุปแล้วว่าคนหนึ่งให้การผิดเพราะมิได้ใส่ใจ ความจำจึงคลาดเคลื่อน มีจำนวน 3 คน ที่กลัวคนอื่นรู้เรื่องแต่มิได้เกี่ยวข้องกับคดี แล้วก็อีก 3 คน สั่งให้คนไปตรวจสอบแล้ว แค่กๆ…แล้วก็…แล้วก็ เหมือนจะมีเท่านี้”

หนานกงมั่วประหลาดใจไม่น้อย เทน้ำสะอาดถ้วยหนึ่งให้เขา เกรงว่าใต้เท้าเหอที่ดวงตาเหม่อลอยจะขาดใจตายเสียก่อน ภายในคืนเดียวเขาสามารถอ่านข้อมูลได้มากมาย รู้ถึงความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างทุกคน อีกทั้งยังวิเคราะห์ความไม่สมเหตุสมผลและตรวจสอบข้อมูลเท็จได้อีก ใต้เท้าเหอช่างเป็นผู้มีความสามารถ ไม่เหมือนคนท่าทางธรรมดาเมื่อวานเลย ไม่แปลกที่แม้อายุยังน้อยแต่สามารถเป็นถึงผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนได้

แต่ดูท่าทางแห้งเหี่ยวใกล้ตายของเขาแล้ว หนานกงมั่วก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้เป็นเพื่อนของลิ่นฉังเฟิง อย่างไรก็ต้องรักษาหน้าไว้บ้าง ซิงเฉิงจวิ้นจู่พยักหน้าพลางเอ่ยเบาๆ “พวกเราเข้าใจแล้ว รบกวนใต้เท้าเหอแล้ว ท่านไปพักผ่อนเถิด”

“พักผ่อนหรือ” เหอเหวินลี่ฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก แล้วขณะที่พวกหนานกงมั่วทั้งสองกำลังมองอยู่นั้น เขาก็ล้มลงไปทั้งที่ซาลาเปาครึ่งลูกยังคาอยู่ในปาก

ภายในเรือนเงียบลง จากนั้นไม่นานหนานกงมั่วก็ยักไหล่พลางมองไปยังเว่ยซื่อจื่อ “หลับไปแล้ว”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *