หมอหญิงยอดมือสังหาร 286 ถอดถอนออกจากตระกูล (3)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 286 ถอดถอนออกจากตระกูล (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 286 ถอดถอนออกจากตระกูล (3)
แต่ไม่มีใครรู้ว่าหนานกงไหวไปผูกสัมพันธ์กับเฉียวเฟยเยียนตั้งแต่เมื่อใด หนานกงไหวเอ่ยปากรับเฉียวเฟยเยียนเป็นอนุภรรยาในตอนนั้นเมิ่งซื่อกำลังตั้งท้องหนานกงฮุย แน่นอนตระกูลเมิ่งไม่มีทางยอม ตระกูลเมิ่งยึดหลักคุณธรรมสืบทอดรุ่นต่อรุ่น บุรุษสามสิบแล้วยังไม่มีบุตรจึงสามารถรับอนุภรรยาได้ และอนุภรรยาผู้นี้ต้องเลือกโดยภรรยาเอกเท่านั้น แต่ยามนั้นหนานกงไหวพึ่งอายุได้ยี่สิบเจ็ด บุตรชายคนโตอายุได้สองปีแล้ว ในท้องของภรรยายังมีอีกหนึ่งคน ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเมื่อครั้งแต่งเมิ่งซื่อหนานกงไหวได้ให้คำสาบานเอาไว้ นอกจากเขาอายุสามสิบแล้วยังไม่มีบุตร ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางรับอนุภรรยาเด็ดขาด

ในครั้งนั้นอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ได้ก่อตั้งประเทศขึ้นมาแล้ว แม้บ้านเมืองจะยังไม่สงบแต่ฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว หนานกงไหวเองเป็นหนึ่งในกั๋วกงผู้มีอำนาจที่ฝ่าบาทแต่งตั้ง แต่สุดท้ายเพราะการต่อต้านของตระกูลเมิ่งและฮองเฮาไม่โปรดปรานจึงไม่อาจรับเฉียวเฟยเยียนเป็นอนุภรรยาได้ เฉียวเฟยเยียนเกือบถูกฮองเฮาสั่งประหารด้วยซ้ำ ต่อมาเฉียวเฟยเยียนหายตัวไปไม่มีใครรู้ ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินว่าแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้ เดิมหวาหนิงจวิ้นอ๋องนั่นไม่ใช่บุคคลสำคัญอันใด เพียงแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋องเพราะมีเชื้อสายใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ในยามนั้นบ้านเมืองกำลังรุ่งเรืองจึงไม่มีใครสนใจพวกเขา เฉียวเฟยเยียนได้ติดตามหวาหนิงจวิ้นอ๋องไปยังเหลียงโจวจากนั้นก็ไร้ข่าวคราวอีก

เพียงแต่นับตั้งแต่ครั้งนั้น ความสัมพันธ์ของเมิ่งซื่อและหนานกงไหวก็แปรเปลี่ยนไปหลายพันจั้ง ต่อมาเพราะการเอาคืนของฮั่นอ๋องและเป่ยหยวนที่เหลืออยู่ทำให้ตระกูลเมิ่งต้องดับสูญ ผ่านไปอีกสองปีเมิ่งซื่อตั้งท้องหนานกงมั่ว หนานกงไหวก็พาเจิ้งซื่อกลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้เมิ่งซื่อไม่เอ่ยสิ่งใดแม้แต่ประโยคเดียว นับตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์กับหนานกงไหวก็เป็นดั่งคนที่เดินสวนทางกันเท่านั้น

ไม่มีใครคาดคิด ผ่านไปสิบกว่าปี หนานกงไหวและเฉียวเฟยเยียนยังคงติดต่อกัน ยามนี้สามีของเฉียวเฟยเยียนพึ่งจากไป หนานกงไหวก็ต้อนรับขับสู้จะแต่งเข้าจวน กระทั่งเจิ้งซื่อที่โปรดปรานมาหลายปีและหนานกงซูผู้เป็นบุตรีที่รักก็ไม่สนใจแล้ว

ฟังแม่นมหลานเล่าจบ หนานกงมั่วจึงเลิกคิ้วพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นความรักที่หนักแน่น หากไม่ยอมให้พวกเขาสมหวัง ข้าจะไม่ดูเย็นชาไร้น้ำใจไปหรือ”

แม่นมหลานไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด วาจานี้ของคุณหนูใหญ่ใครได้ยินเข้าก็รู้ได้ว่ามันเต็มไปด้วยความรังเกียจ

“องค์หญิงเสด็จ” ทางด้านนอก เสียงสาวใช้ถวายพระพร หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วเองก็รีบลุกขึ้น มองเห็นองค์หญิงฉังผิงกำลังเดินเข้ามา มองเห็นสถานการณ์ด้านใน องค์หญิงฉังผิงจึงเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “อู๋สยากำลังโกรธเพราะจวนฉู่กั๋วกงหรือ”

หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยตอบว่า “เสด็จแม่กล่าวหนักแล้วเพคะ เพียงฟังแม่นมหลานเล่าเรื่องขำขันเท่านั้นเพคะ”

องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ โบกมือ เอ่ย “ฉู่กั๋วกงผู้นี้…เมื่อก่อนนึกว่าเป็นคนรู้เรื่อง หลายปีมานี้เหมือนจะเลอะเลือนแล้ว เจ้าไม่ต้องไปโกรธเพราะคนพวกนั้น ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไรพี่ใหญ่และพี่รองของเจ้าต่างหากที่เป็นผู้สืบทอดที่แท้จริง สองคนนั่น…” หยุดคิดชั่วครู่ องค์หญิงฉังผิงจึงเอ่ยต่อ “ข้ามาที่นี่ มีเรื่องจะไหว้วานเจ้า”

หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสด็จแม่มีอันใดได้โปรดรับสั่งมาเถิดเพคะ”

องค์หญิงฉังผิงเอ่ย “เมื่อครู่เสด็จพ่อเรียกข้าเข้าวัง บ่นกับข้าถึงเรื่องที่เฉียวซื่อแม่ลูกนั่นก่อเรื่องเอาไว้ แต่หากเสด็จพ่อมีรับสั่งลงโทษพวกเขาด้วยตนเองคงจะเป็นการไม่ไว้หน้าจนเกินไป ทั้งสามคนทำผิดเป็นที่สนใจของคนหมู่มาก ให้ข้าเป็นคนจัดการ เพียงแต่…เมื่อข้ากลับมาลองไตร่ตรองดูแล้ว เรื่องนี้เกรงว่าเสด็จพ่อไม่ได้ต้องการให้ข้าเป็นคนจัดการ แต่ต้องการรบกวนเจ้าจัดการแทน” องค์หญิงฉังผิงไม่ยุ่งเรื่องภายนอก ต่อให้อยากให้เป็นองค์หญิงที่ออกหน้า เมื่อดูจากนิสัยแล้วควรเป็นองค์หญิงหลิงอี๋จึงจะถูก องค์หญิงฉังผิงไตร่ตรองอยู่เกือบครึ่งค่อนวันจึงเข้าใจ ท่านพ่อยกเรื่องนี้ให้นางจัดการ คงเป็นเพราะลูกสะใภ้ของนางคือบุตรีเชื้อสายหลักจวนฉู่กั๋วกง

สตรีที่ออกเรือนแล้วแม้ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัวฝ่ายหญิง แต่หากวุ่นวายเกินไป ก็ลองเคาะสักหน่อยก็ดี

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสนอกสนใจ “เสด็จแม่ต้องการให้หม่อมฉันจัดการเช่นไรเพคะ”

องค์หญิงฉังผิงเอ่ย “เสด็จพ่อเองไม่สนใจพวกนาง คิดว่าเป็นเชื้อสายรองไม่อาจนับว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ขอเพียงพวกเขาไม่เอาฐานะของเชื้อพระวงศ์ไปทำเรื่องเสียหายก็เพียงพอ ส่วนอย่างอื่น อู๋สยาจัดการได้ตามเห็นสมควรเถิด หากไม่สำเร็จบอกแม่ แม่จะจัดการให้เจ้าเอง”

หนานกงมั่วเอ่ย “เช่นนี้ คงไม่มีเชื้อพระวงศ์คนใดวิ่งออกมาหนุนหลังพวกเขาหรอกใช่ไหมเพคะ”

“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว เชื้อพระวงศ์เองก็ไม่โง่ถึงขั้นมองไม่ออกถึงสีหน้าเสด็จพ่อ” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หนานกงมั่วเม้มริมฝีปากพลางยิ้ม “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ องค์หญิงวางใจเถิดเพคะ”

องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า หยิบม้วนหนังสือสีเหลืองทองออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นพระราชโองการลับจากเสด็จพ่อ อู๋สยานำไปให้สองพี่น้องนั้นเถิด” หนานกงมั่วเปิดออกดู เป็นพระราชโองการลับที่ถอดถอนเซียวเชียนหนิงและเซียวเย่ว์อู่ออกจากตระกูล ในเมื่อเป็นพระราชโองการลับ แน่นอนไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชน ให้เพียงผู้รับราชโองการเท่านั้นที่ได้เห็น จากนั้นให้เปลี่ยนแซ่ไปอย่างเรียบง่าย

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “เสด็จแม่ ไยหม่อมฉันจึงรู้สึกว่ากำลังโดนฝ่าบาทกลั่นแกล้งเล่าเพคะ เซียวเชียนหนิงและเซียวเย่ว์อู่เมื่อถูกถอดถอนแซ่แล้ว จากท่าทีของท่านพ่อที่มีต่อสามแม่ลูกนั่น ยากนักที่จะบอกว่าพวกเขาจะไม่เป็นแซ่หนานกงนะเพคะ” ตระกูลหนานกงมิใช่ตระกูลใหญ่ ไม่มีวงศ์ตระกูล ไม่มีหัวหน้าวงศ์ตระกูลคอยควบคุม หนานกงไหวก็คือหัวหน้าวงศ์ตระกูลโดยปริยาย เขาอยากทำอะไรย่อมไม่มีใครห้ามได้

องค์หญิงฉังผิงยกมือขึ้นปิดปากยิ้มขัน “เสด็จพ่อบอกแล้ว สองพี่น้องนั้นจะแซ่อะไร ก็ต้องดูความสามารถของเจ้าแล้ว อย่างไรพวกเขาก็ห้ามแซ่เซียว มิเช่นนั้นครั้งหน้าหากก่อเรื่องอันใดอีก พระองค์จะสั่งให้คนตระกูลหนานกงคัดด้วยกันทั้งหมดทุกคน” หนานกงมั่วยักไหล่ ถือว่ารับราชโองการรับมาแล้ว

องค์หญิงฉังผิงเอ่ยอีกเพียงไม่กี่ประโยคก็กลับไป เหลือไว้เพียงหนานกงมั่วที่จ้องมองราชโองการลับด้วยท่าทางสนอกสนใจ นอกจากพระราชโองการแต่งตั้งจวิ้นจู่แล้ว นี่เป็นพระราชโองการแรกที่นางเคยเห็น อีกทั้งยังเป็นพระราชโองการที่น่าสนใจอีกด้วย นางแทบรอไม่ไหวอยากรู้ว่าบิดาผู้นั้นของนางจะมีท่าทีเช่นไรเมื่อได้เห็นพระราชโองการนี้ แต่เรื่องนี้นั้นไม่ต้องรีบร้อน คิดว่าสองคนนั้นก็คงไม่โง่วิ่งออกไปโอ้อวดไปทั่วหรอกนะ

เมื่อสำรวจเสร็จจึงวางพระราชโองการไว้บนโต๊ะ หนานกงมั่วเงยหน้ามองไปยังเว่ยจวินมั่ว เอ่ยถาม “ท่านว่า ฝ่าบาทรับสั่งเสด็จแม่แล้วนำเรื่องนี้มาให้ข้าหมายความเช่นไรหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว กล่าวตอบ “ไม่มีอันใด ฝ่าบาทเองก็มิใช่จะจัดการทุกเรื่อง อาจเป็นเพราะเพียงเห็นหนานกงไหวแล้วรำคาญตาจึงอยากให้เจ้าช่วยจัดการ เพียงแต่ หากเจ้าคิดจะใช้โอกาสนี้จัดการหนานกงไหว เกรงว่าคงจะยาก” แม้แต่ขุนนางตรวจการมากมายฟ้องร้องเขายังทำอันใดหนานกงไหวไม่ได้ เรื่องหลังจากนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่อู๋สยาและหนานกงไหวคงมิได้มีความแค้นเคืองถึงขั้นนั้นหรอกใช่หรือไม่

“จะว่าไปก็คงใช่” หนานกงมั่วพยักหน้า “ข้ามิได้มีความแค้นฝังลึกต่อหนานกงไหว เพียงมองเขาแล้วรำคาญตาก็เท่านั้น…อยากเล่นอะไรสักหน่อย” ต่อให้มีความแค้น คิดกำจัดหนานกงไหวจริงย่อมจะให้หนานกงมั่วเป็นผู้ลงมือไม่ได้ โลกนี้ให้ความสำคัญกับความกตัญญู มีหนึ่งประโยคกล่าวไว้ว่า บิดามารดาทำเพื่อลูกทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่ผิด ในสายตาของนักปราชญ์ทั้งหลาย ไม่ว่าบิดามารดาจะทำผิดอันใดบุตรก็ไม่อาจไม่กตัญญูด้วยได้ กระทั่งหากบิดาก่อกบฏ บุตรีไปร้องเรียน จัดการกับญาติพี่น้องที่ทำผิด สุดท้ายก็ต้องมารับโทษที่บุตรีไม่กตัญญูต่อบิดา ถูกผู้คนบนโลกประณามอยู่ดี

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *