หมอหญิงยอดมือสังหาร 188 ซิงเฉิงจวิ้นจู่ (3)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 188 ซิงเฉิงจวิ้นจู่ (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากนั้นฮ่องเต้ยังชื่นชมหนานกงมั่วต่อหน้าองค์หญิงฉังผิงและคนอื่นๆ อย่างไม่ปิดบังอีกรอบ… “บุตรีคนโตตระกูลหนานกงฉลาดและเก่งกาจ ไม่ยอมเป็นรองบุรุษ เหมือนซินหยางน้องสาวของข้า ข้าจึงมีความรักใคร่ แต่งตั้งเป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่” ประโยคนี้เอ่ยออกไป ทุกคนพลันตกตะลึง ไม่ว่าจะเท็จหรือจริงทว่ากลับเป็นคำชื่นชมจากฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาสามารถทั้งหมด นึกถึงท่าทีที่มีต่อคุณหนูใหญ่หนานกงอยู่ในใจ ดูจากท่าทางของพระองค์แล้ว คล้ายกับว่าคุณหนูหนานกงนั้นเป็นที่โปรดปรานของพระองค์เสียแล้ว

เซียวเชียนเยี่ยยืนฟังคำแสดงความยินดีมากมายอยู่ในท้องพระโรงใหญ่ด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก เดิมเป็นการประทานรางวัลอยู่ดีๆ สุดท้ายกลายเป็นหวงจั่งซุนถูกกดจนแทบมองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นหนานกงไหว เว่ยจวินมั่ว หรือหนานกงมั่วที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ต่างก็มีหน้ามีตามากกว่าเขา หากเขามิได้อยู่ตรงนี้ เกรงว่าคงถูกลืมไปแล้วจริงๆ

โดยเฉพาะหนานกงไหว ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าก่อนเข้าวังมาเขายังโมโหเรื่องของหนานกงซูอยู่เลย หนานกงซูแต่งเข้าไปเป็นอนุภรรยาที่จวนเย่ว์จวิ้นอ๋องแล้วอย่างไร บุตรีคนโตของเขาถูกฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่ เกียรติเช่นนี้ไม่ว่าจะตระกูลใดล้วนไม่ได้รับมัน ผู้ใดจะกล้าหัวเราะเยาะว่าหนานกงไหวสั่งสอนบุตรไม่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อเห็นสีหน้าของเซียวเชียนเยี่ย หนานกงไหวยิ่งมีความสุขมากขึ้น เจ้าอยากมีหน้ามีตามิใช่หรือ ข้าจะกดเจ้าเอาไว้ เจ้าเป็นจวิ้นอ๋องเป็นหวงจั่งซุนแล้วอย่างไร หากยังไม่ขึ้นครองราชย์ หลานของกษัตริย์มิได้มีอำนาจไปกว่าขุนนางใหญ่ที่มีกำลังอำนาจอยู่ในมือหรอกหนา

ในท้องพระโรง ฮ่องเต้เกศาขาวผู้นั้นย่อมดูออกถึงสีหน้าท่าทางของทุกคน มองหน้าหลานชายที่ปกปิดเอาไว้ไม่มิด พระองค์ได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ ตนคาดหวังกับหลานชายผู้นี้เพราะเขาเป็นโอรสเชื้อสายหลักของรัชทายาท เดิมหากเป็นประชาชนทั่วไปจะเชื้อสายหลักเชื้อสายรองนั้นย่อมไม่สำคัญ แต่เมื่อใดที่ขึ้นครองราชย์และไม่ต้องการถูกแย่งชิงไปก็จำเป็นต้องสนับสนุนโอรสที่มาจากเชื้อสายหลัก ไม่เพียงสนับสนุนเชื้อโอรสเชื้อสายหลักเท่านั้นเขายังต้องสนับสนุนหลานที่เป็นเชื้อสายหลักอีกด้วย แสดงให้ทุกคนเห็นชัดเจนว่าราชวงศ์สนับสนุนเชื้อสายหลัก ดังนั้นองค์ชายคนอื่นๆ ขอเพียงเติบโตก็ต้องส่งออกนอกวังไปเสีย ไม่เรียกหาไม่มีสิทธิ์กลับเข้าเมืองหลวง ใช่ว่าฮ่องเต้จะไม่รับรู้ถึงจุดอ่อนของการทำเช่นนี้ แต่ว่า…หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์จากราชวงศ์เก่าก่อนแล้ว ชายชราจึงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซากขึ้นอีก

ยิ่งไปกว่านั้น รัชทายาทเป็นคนมีเมตตา อนาคตก็จะกลายเป็นกษัตริย์ที่มีเมตตา พระองค์เข้าใจดีว่าตนเองนั้นแข็งดั่งเหล็ก มือเต็มไปด้วยเลือด สังหารผู้คนมานับไม่ถ้วน เวลานี้บ้านเมืองสงบสุข กษัตริย์คนต่อไปนั้นต้องการคนมีเมตตาห่วงใยประชาชน มิใช่คนที่จะมากดขี่ข่มเหงประชาชน แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกกังวลก็คือตนเองนั้นอายุมากกว่าเจ็ดสิบปีไปแล้ว รัชทายาทก็อายุมากแล้ว ซ้ำร่างกายยังอ่อนแอ ไม่รู้ว่าต่อไปจะนั่งอยู่บนบัลลังก์ไปได้นานเพียงใด ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับเซียวเชียนเยี่ยผู้ฉลาดหลักแหลม หลานเชื้อสายหลักที่ร่ำเรียนรอบรู้

แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าเซียวเชียนเยี่ยนั้นยังต้องได้รับการขัดเกลาอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่ไปไหว้บรรพบุรุษที่ตานหยาง หรือการออกรบครั้งนี้ การกระทำของเซียวเชียนเยี่ยนับว่าไม่น่าพอใจเอาเสียเลย แต่ไม่เป็นไร เขายังมีเวลา ค่อยๆ สั่งสอนกันไป

“ทุกคนออกไปเถิด เย่ว์จวิ้นอ๋องและผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงนั่งอยู่ก่อน” ในท้องพระโรง ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นเสียงเข้ม

“กระหม่อมทูลลา” ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้นและเดินถอยออกไป

ไม่นาน ท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยผู้คนยามนี้ว่างเปล่าลง เหลือไว้เพียงเซียวเชียนเยี่ยและเว่ยจวินมั่วสองคนที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น ฝ่าบาทนั่งอยู่บนที่นั่งมองสำรวจทั้งคู่ ไม่นานจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นว่าสีหน้าของพวกเจ้าไม่ค่อยดี จวินมั่ว หรือว่าเจ้าไม่พอใจรางวัลที่ข้าประทานให้”

เว่ยจวินมั่วหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าว่าเจ้าดูไม่เหมือนมิกล้านะ” น้ำเสียงขององค์ฮ่องเต้นั้นฟังไม่ออกถึงความยินดียินร้าย เห็นเพียงเขาหรี่ตาลงพลางลูบปลายคาง “ข้ารู้ ว่าเจ้าไม่พอใจที่ข้าแต่งตั้งเด็กหนานกงผู้นั้น ในเมื่อตระกูลหนานกงสร้างความดีความชอบ แน่นอนต้องประทานรางวัล ข้ามิใช่กษัตริย์ที่ไม่รู้ความไม่รู้จักแยกแยะ”

เว่ยจวินมั่วเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย เอ่ยตอบ “พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ฝ่าบาทเลิกคิ้วมองเว่ยจวินมั่ว แล้วหันกลับไปมองเซียวเชียนเยี่ย เอ่ยเสียงเรียบ “เชียนเยี่ย เจ้าไม่พอใจอันใดเล่า”

สีหน้าเซียวเชียนเยี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลุบตาลงท่าทางสุภาพ “เสด็จปู่ หลานมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

“มิกล้าหรือ หรือว่าไม่มี” ฝ่าบาทถาม

เซียวเชี่ยนเยี่ยเงียบ “มิกล้า และไม่มีพ่ะย่ะค่ะ หลานขอบพระทัยเสด็จปู่ที่ประทานรางวัล”

ฝ่าบาทส่ายหน้า ถอนหายใจ “พวกเจ้านี่ยังหนุ่มแน่นแท้ๆ กลับมิรู้ความ เจ้าลองว่ามา… ก่อนออกรบข้าบอกกับเจ้าเช่นไร” เซียวเชียนเยี่ยรีบเอ่ยตอบ “ทูลเสด็จปู่ เสด็จปู่กล่าวว่าหลานยังไม่เคยออกรบ ไม่มีประสบการณ์ต่อสู้กับศัตรู ให้ฟังฉู่กั๋วกงและน้องชายให้มาก”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าทำเช่นไร” ฝ่าบาทถาม

เซียวเชียนเยี่ยเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ยขึ้น “หลานผิดไปแล้ว ขอเสด็จปู่ลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฝ่าบาทส่งเสียงหยัน เอ่ย “ลงโทษงั้นหรือ เจ้าช่างพูดง่าย เจ้าว่าหากครั้งนี้จวินมั่วกลับมาไม่ได้ เจ้าจะบอกกับเสด็จอาฉังผิงของเจ้าเช่นไร จะบอกกับเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องเช่นไร หากครั้งนี้ฉู่กั๋วกงเป็นอันใดไป…กองทัพสูญสิ้น เจ้าจะบอกกับข้าเช่นไร จะบอกกับประชาชนเช่นไร”

เซียวเชียนเยี่ยใบหน้าซีดขาว คุกเข่าลงไปบนพื้น “หลานผิดไปแล้ว ขอเสด็จปู่ได้โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ช่างเถิด โชคดีที่มิได้เป็นเรื่องใหญ่โตอันใด” ฝ่าบาทโบกมือบอกให้เขาลุกขึ้น กล่าวว่า “เจ้าอย่าได้โทษข้าที่วันนี้ไม่ไว้หน้าเจ้า เจ้าเด็กหนานกงผู้นั้น หากมิใช่เพราะเรื่องของเจ้า ไยข้าต้องแต่งตั้งนางเป็นจวิ้นจู่ หนานกงไหวเป็นบุคคลที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ หรือ ล่วงเกินเขาแล้วเจ้าไม่หาวิธีชดเชยกลับกลายเป็นหนักขึ้นจนเป็นปรปักษ์กับเขา นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์เจ้าสั่งสอนหรือ หรือว่า…เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นหวงจั่งซุนแล้วเขาจะมิกล้าทำอะไรเจ้าเช่นนั้นหรือ เชียนเยี่ย ฉู่กั๋วกงมีคนเดียว หวงซุนนั้นมิได้มีคนเดียว กระทั่ง…โอรสเชื้อสายหลักของรัชทายาทก็มิได้มีเจ้าเพียงผู้เดียว หากเขาโกรธแค้นเจ้าขึ้นมาจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเอาคืนเจ้าด้วยตนเอง แน่นอนว่ามีคนลงมือแทนเขาอย่างแน่นอน โลกใบนี้มิได้บอกว่าหากเจ้ามีฐานะสูงส่งกว่าคนอื่นแล้วคนอื่นจะอ่อนน้อมว่านอนสอนง่ายต่อเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่ เจ้าต้องการดึงคนสนับสนุนข้าไม่ว่าเจ้า แต่ว่า…หากเจ้าดึงไม่สำเร็จซ้ำยังทำให้เขามีความขุ่นเคืองใจต่อเจ้า ข้าคงรู้สึกผิดหวังกับเจ้ามาก”

ถ้อยคำนั้นรุนแรง แม้เซียวเชียนเยี่ยจะมิได้คุกเข่าลงไปอีกครั้ง ทว่าแผ่นหลังกับชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ มิใช่เพียงเพราะคำตำหนิของเสด็จปู่ แต่เป็นเพราะเสด็จปู่นั้นมองแผนการของเขาทะลุปรุโปร่ง สมแล้ว…ที่เป็นถึงผู้ก่อตั้งประเทศ หากเสด็จปู่คิดเอาความเรื่องแผนการของเขาล่ะก็ เซียวเชียนเยี่ยสั่นไหวอยู่ในใจ มิกล้าจินตนาการถึงสิ่งที่จะตามมา

มองดูท่าทางสั่นระริกของเขา ฝ่าบาทก็ใจอ่อนขึ้นมา ถอนหายใจพลางโบกมือ เอ่ย “เจ้าพึ่งกลับมาก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเสียเถิด คนยังหนุ่มย่อมไม่ควรรีบร้อนเกินไป”

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่ หลานทูลลา”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *