หมอหญิงยอดมือสังหาร 874 แม้แต่คนตายก็ไม่ละเว้น (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 874 แม้แต่คนตายก็ไม่ละเว้น (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 874 แม้แต่คนตายก็ไม่ละเว้น (1)

“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว น่าเสียดายที่กระหม่อมยังต้องกลับเมืองหลวงเพื่อรายงานฎีกา จึงไม่สามารถอยู่เชยชมความองอาจในสนามรบของท่านอ๋องต่อได้”

เว่ยหงเฟยเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ถ่อมตนพลางพยักหน้าเบาๆ ด้วยความพึงความพอใจ ความหมายก็คือเมื่อเขาเดินทางกลับไปถึงจินหลิงแล้วจะช่วยทูลเรื่องดีๆ ให้ฮ่องเต้ฟัง ถึงแม้ว่าขุนนางชั้นผู้น้อยระดับห้าระดับหกเหล่านี้จะดูไม่ค่อยสำคัญเท่าใดนัก แต่เว่ยหงเฟยที่เข้าออกวังหลวงในจินหลิงมายี่สิบกว่าปีย่อมรู้สัจธรรมที่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชานั้นยากยิ่งที่จะรับมือ บางครั้งคนที่ไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญกลับยิ่งสร้างปัญหาให้มากกว่าเสียอีก

ผู้ส่งสารผู้นั้นจ้องมองซังหรงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “แม่ทัพซัง พรุ่งนี้เช้าบุตรสาวและบุตรเขยของท่านจะเดินทางไปกับข้าน้อยแล้ว หากแม่ทัพมีอันใดจะฝากฝังทั้งสองก็ต้องรีบเอ่ยแล้ว” สีหน้าของซังหรงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที จากนั้นก็หลุบตาลงต่ำ เอ่ย “ขอบคุณที่ช่วยเตือน ข้ารู้แล้ว”

เมื่อเห็นว่าไม่สนุก ผู้ส่งสารก็ส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอและไม่ได้เอ่ยอันใดอีก

กลับเป็นเว่ยหงเฟยที่จ้องมองซังหรงพลางเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ในเมื่อเวลานี้ก็ว่างไม่มีอันใดทำอยู่แล้ว แม่ทัพซัง…พวกทหารกบฏเหล่านั้นอยู่ที่ไหนแล้ว”

ซังหรงจ้องมองเขาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ย “รายงานท่านอ๋อง ตอนนี้ได้เคลื่อนทัพมาถึงเสียนหนิงแล้ว คาดว่าอีกไม่เกินหนึ่งวันคงจะบุกรุกถึงหุบผาอี๋เซี่ยน ขอท่านอ๋องโปรดรับสั่งให้มีการเฝ้าระวังพื้นที่หุบผาอี๋เซี่ยนด้วย”

เว่ยหงเฟยชะงักไปชั่วครู่ ครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็ส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “หุบผาอี๋เซี่ยนขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยภัยธรรมชาติ ถึงแม้เหล่าบรรดาทหารกบฏคิดจะเข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสถานที่สำคัญที่จำเป็นจะต้องรักษาการณ์โดยแม่ทัพซัง หุบผาอี๋เซี่ยนก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาดีกว่า” ซังหรงขมวดคิ้วแน่น ยามนี้ยังมีสถานที่ใดที่สำคัญไปกว่าหุบผาอี๋เซี่ยนอีกหรือ แม้ว่าจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังเมืองเอ้อโจว แต่กองกำลังไท่หนิงสามารถติดปีกบินข้ามหุบเขาช่องแคบไปที่เอ้อโจวได้หรืออย่างไรกัน

“ความหมายของท่านอ๋องคือ”

เว่ยหงเฟยยิ้มพลางเอ่ย “ข้าเองก็เคยผ่านศึกสงครามมาก่อน ที่หุบผาอี๋เซี่ยนก็ให้พวกเขาพี่น้องมาเฝ้าระวังแทนเถิด ท่านแม่ทัพเห็นควรเช่นไร”

ซังหรงเอ่ยตอบกลับว่า “เช่นนี้…เกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก” ซังหรงย่อมรู้จักเว่ยจวินปั๋วสามคนพี่น้องอยู่แล้ว หากเทียบกับคุณชายเว่ย เว่ยจวินมั่วที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธจักรแล้ว เว่ยจวินปั๋ว เว่ยจวินเจ๋อ และเว่ยจวินอี้สามคนพี่น้องแทบจะดับวูบไร้ซึ่งแสงสว่างภายใต้รัศมีของเว่ยจวินมั่วเลยก็ว่าได้ เว่ยจวินปั๋วและเว่ยจวินเจ๋อสองพี่น้องเคยผ่านศึกสงครามมาก็จริง แต่ก็เพียงครั้งเดียว ทั้งยังดูแลรับผิดชอบทหารและเสบียงสำรองของทัพหลังเท่านั้น

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเว่ยหงเฟยพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงขรึม “ทำไมกัน แม่ทัพซังไม่เชื่อใจข้าอย่างนั้นหรือ”

ซังหรงเอ่ยตอบ “หุบผาอี๋เซี่ยนเป็นที่กำบังหนึ่งเดียวของเอ้อโจว หากเราสูญเสียหุบผาอี๋เซี่ยนไป กลุ่มทหารกบฏก็คงเหลืออุปสรรคในการเดินทัพเข้าเอ้อโจวแล้ว ขอท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองอีกครั้งด้วย”

เว่ยหงเฟยได้ยินเข้าก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาโบกปัดมือ เอ่ย “พอแล้ว! แม่ทัพซัง ข้าได้ตัดสินใจแล้ว หากแม่ทัพยังคงกังวลไม่วางใจ ข้าจะลงไปเฝ้าระวังด้วยตัวเอง เช่นนี้พอใจท่านแล้วหรือยัง หรือว่า…แม่ทัพซังไม่พอใจในความคิดเห็นของข้า” ซังหรงไม่ตอบอันใด เห็นได้ชัดว่าเว่ยหงเฟยต้องการแย่งความดีความชอบในการขับไล่กบฏออกจากหุบผาอี๋เซี่ยนมาไว้ในมือ ไม่ว่าเขาจะเอ่ยเช่นไรก็ดูเหมือนจะเป็นการเข้าไปแย่งผลงานเท่านั้น แต่ทว่า…การเอาชนะกบฏจะง่ายดายเพียงนั้นหรือ หุบผาอี๋เซี่ยนเป็นสถานที่ซึ่งทั้งยากต่อการป้องกันและยากต่อโจมตี ด้วยความสามารถของคุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ หากผ่านเวลาไปนานวันเข้าก็ใช่ว่าจะไม่สามารถหาวิธีจัดการได้

เมื่อเห็นว่าซังหรงไม่เอ่ยอันใด เว่ยหงเฟยก็หัวเราะในลำคอเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “หวังว่าท่านแม่ทัพจะนำกองกำลังทหารไปประจำการที่เอ้อโจว ข้าจะได้หมดกังวล ท่านแม่ทัพเข้าใจข้าหรือไม่”

บรรยากาศภายในกระโจมเงียบงันอยู่พักใหญ่ ซังหรงจึงค่อยถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ประสานมือคารวะน้อมรับคำสั่งของเว่ยหงเฟย

ไม่นาน เว่ยจวินปั๋วก็มารายงานว่าสมุดบัญชีถูกต้องไม่มีอันใดผิดพลาด มีราชทูตของราชสำนักเป็นประจักษ์พยานจึงถือเป็นการส่งมอบที่สำเร็จสมบูรณ์ ซังหรงไม่ขออยู่ต่อให้เสียเวลา ลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลากลับทันที ด้านหลังของเขาจึงตามมาด้วยเสียงซุบซิบนินทา “แม่ทัพผู้นี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง”

ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของเว่ยหงเฟยดังขึ้น จากนั้นก็เอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพอารมณ์ไม่ดี ขอใต้เท้าโปรดให้อภัยเขาด้วย”

หลังจากออกมาจากกระโจมแล้ว ซังหรงก็ทอดสายตามองเหล่าบรรดาทหารที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับงานเดินขวักไขว่ไปมาในค่ายทหาร อดทอดถอนใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ เขาไม่พอใจเท่าใดนักที่จู่ๆ ก็ถูกปลดอย่างกะทันหันเช่นนี้ และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกังวลใจมากกว่า…ก็คือการที่เว่ยหงเฟยที่จะเข้าไปเป็นผู้บังคับบัญชาการกองทัพด้วยตัวเองนั้นจะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ หลายปีมานี้คนที่ชิงผลงานความดีความชอบของแม่ทัพผู้ใต้บังคับบัญชามาเป็นของตัวเองย่อมมีให้เห็นไม่น้อย แต่กับคนเช่นเว่ยหงเฟยที่ค่อนข้างเปิดเผยและไม่ใส่ใจต่อสิ่งใดยังมีไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นดูเพียงการวางแผนของเว่ยหงเฟยก็รู้ได้ในทันทีว่าเว่ยหงเฟยนั้นไม่ได้เห็นเว่ยจวินมั่วและกองกำลังไท่หนิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย คิดว่าอาศัยเพียงกำลังทหารและม้าที่มากกว่าคู่ต่อสู้และหุบผาอี๋เซี่ยนแล้วจะสามารถมีชัยชนะเหนือศัตรูได้เช่นนั้นหรือ

เกรงว่า…คงจะไม่ง่ายเพียงนั้น

ไม่ว่าซังหรงและหนานกงฮุยจะยินยอมหรือไม่ หนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์ก็ต้องติดตามราชทูตกลับไปยังจินหลิงในเช้าวันรุ่งขึ้นอยู่ดี หากตัดสินใจแล้วลงมือทำโดยทันทีก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่เวลานี้อำนาจการทหารของซังหรงถูกส่งมอบไปเป็นที่เรียบร้อย คิดอยากจะทำสิ่งใดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว อย่างน้อยๆ…ขณะที่คนเหล่านี้ยังอยู่ในกองทัพ ก็คงจะไม่มีใครกล้าลงมือทำอันใดอย่างแน่นอน

หนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่บนรถม้าตามหลังขบวนกองทัพจินหลิงที่กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองจินหลิง

ซังเนี่ยนเอ๋อร์กุมมือหนานกงฮุยไว้แน่น ใบหน้าที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวลใจ นางเสียมารดาไปตั้งแต่อายุยังน้อย บิดาเป็นคนเลี้ยงดูนางตั้งแต่เด็กจนโต หากนางจำต้องจากบิดาเพราะติดตามสามีก็คงไม่มีสิ่งใดจะเอ่ย เพียงแต่ตอนนี้นางรู้ดีว่าหลังจากกลับไปยังจินหลิงแล้ว ก็เท่ากับว่าพวกนางได้กลายเป็นตัวประกันที่ฮ่องเต้ใช้ควบคุมบิดาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ที่เอ้อโจวกำลังมีศึกสงคราม ใครจะไปรู้ว่าวันข้างหน้า…ทุกครั้งที่นึกถึงวาจาของบิดาที่เอ่ยกับพวกเขาในค่ำคืนนั้น ในใจของซังเนี่ยนเอ๋อร์ก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

หนานกงฮุยเอื้อมมือข้างหนึ่งไปตบหลังมือของนางเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจ “ซังเนี่ยนเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว”

ซังเนี่ยนเอ๋อร์ได้ยินแล้วจึงฝืนยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆ

จู่ๆ ขบวนรถม้าก็ค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ หนานกงฮุยขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เขาเอื้อมมือเปิดม่านของรถม้าขึ้นพลางทอดสายตามองออกไปยังด้านนอก จากนั้นจึงเอ่ยถาม “เกิดอันใดขึ้นหรือ”

องครักษ์ที่ทำหน้าที่ขับรถม้าเอ่ยตอบว่า “ใต้เท้าสั่งไว้ว่าให้แวะพักระหว่างทางขอรับ”

หนานกงฮุยกวาดสายตามองบริเวณรอบๆ อยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาเดินทางมาครึ่งค่อนวันแล้ว ตอนนี้พวกเขาห่างจากเอ้อโจวราวร้อยกว่าลี้เห็นจะได้ หนานกงฮุยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงหันไปเอ่ย “เนี่ยนเอ๋อร์ ลงรถม้าไปพักผ่อนสักเดี๋ยวเถิด” จากนั้นหนานกงฮุยก็กระโดดลงจากรถม้าไปก่อนแล้วจึงหันไปอุ้มซังเนี่ยนเอ๋อร์ลงมา ทั้งสองพึ่งจะหมุนตัวลงจากรถม้า ราชทูตเห็นแล้วก็เดินเข้ามาหาทั้งสองทันที เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองแล้ว ราชทูตก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยลับลมคมนัย “ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของคุณชายหนานกงและฮูหยินช่างแน่นแฟ้นเสียจริง”

หนานกงฮุยนิ่งเงียบไม่ตอบอันใด กับแค่ขุนนางระดับห้า ย่อมไม่อยู่ในสายตาของหนานกงฮุยอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นราชทูตที่มาส่งสารของฮ่องเต้โดยตรง หากพวกเขาขุ่นเคืองใจแล้วไปเอ่ยถึงสิ่งไม่ดีของซังหรงต่อหน้าคนของเซียวเชียนเยี่ยก็คงจะไม่ค่อยดีนัก เพียงแต่หนานกงฮุยไม่รู้ว่าคนผู้นี้ได้ฟ้องเรื่องของซังหรงกับฮ่องเต้ตั้งนานแล้ว ไม่เกี่ยวว่าหนานกงฮุยจะได้ล่วงเกินหรือไม่ เมื่อนึกถึงความเฉยเมยของซังหรงและความเอาใจ่ใส่ของจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง อีกทั้งยังมีตั๋วเงินปึกหนาในแขนเสื้อของเขาที่จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมอบให้มา เขาย่อมต้องรู้ดีว่าควรจะต้องเอ่ยกับฝ่าบาทเช่นไร

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *