หมอหญิงยอดมือสังหาร 351 ละทิ้งความตายแล้วก้าวต่อไป (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 351 ละทิ้งความตายแล้วก้าวต่อไป (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 351 ละทิ้งความตายแล้วก้าวต่อไป (1)
หนานกงมั่วเพียงยิ้มไม่ได้เอ่ยตอบกลับไป เพียงแต่ชี้ไปที่เฉียวเฟยเยียนที่อยู่ข้างหลังเขา เฉียวเชียนหนิงหันกลับมามอง แล้วก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่มั่นคงนักด้วยความตกใจ ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เฉียวเฟยเยียนซึ่งก่อนหน้านี้ยังดูสง่างามกลับมีท่าทางเปลี่ยนไป แท้จริงแล้วเฉียวเฟยเยียนอายุยังไม่ถึงสี่สิบปีเต็ม นางดูแลตัวเองอย่างดีจึงดูเหมือนเพิ่งอายุเพียงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีเท่านั้น แต่ยามนี้ผมสีดำขลับแต่เดิมได้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเสียแล้ว ผิวที่ขาวราวกับหยกก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเหมือนเทียนไข หางตาและหน้าผากก็ปรากฏให้เห็นรอยย่นและจุดด่างดำอย่างชัดเจน เฉียวเฟยเยียนราวกับหญิงชราย่างหกสิบ หากไม่ใช่เพราะผู้ที่อยู่ด้านหน้าสวมเสื้อผ้าเหมือนกันกับเฉียวเฟยเยียน เฉียวเชียนหนิงคงจะไม่ยอมรับว่าหญิงที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นมารดาของตน

เฉียวเฟยเยียนก็ตกตะลึงเช่นกัน มองไปยังมือเหี่ยวย่นของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่… นี่มันอันใดกัน เจ้าให้ข้ากินยาอันใดเข้าไป!”

เฉียวเฟยเยียนพยายามหลบซ่อนใบหน้าแก่ชราของตนอย่างตื่นตระหนก แม้ว่านางจะมองไม่เห็นตนเอง แต่จากแววตาตกตะลึงของเฉียวเชียนหนิงก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของนางมากเพียงใด การสูญเสียรูปลักษณ์อันงดงามก็มิต่างกับการสูญเสียครึ่งหนึ่งของชีวิตไป ใบหน้างามพลันซีดลงทันที…ไม่สิ ย่อมไม่ใช่ใบหน้างามอีกต่อไปแล้ว ดวงตาหวาดผวาของหญิงชราดูเหมือนจะเลือนรางลงไปทุกขณะ

หนานกงชวี่รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ไม่ว่ารูปลักษณ์ของเฉียวเฟยเยียนจะเปลี่ยนไปเช่นไรก็มิได้สำคัญต่อเขา เขาเพียงแค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับฤทธิ์ยาของหนานกงมั่วเท่านั้น สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นกลับเป็นท่าทางขององครักษ์ของเซียวเชียนเยี่ยที่มองดูหนานกงมั่วราวกับว่าเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น

“นางปีศาจ เจ้าทำอันใดกับแม่ข้า” เฉียวเชียนหนิงพูดอย่างฉุนเฉียว

หนานกงมั่วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเชียนหนิงแล้วเอ่ยว่า “อย่ากังวลไป มันเป็นแค่ยาเปลี่ยนหน้าเท่านั้น นับเป็นของดีที่ใช้ป้องกันพวกบ้ากามเวลาเดินทางเชียวนะ ข้าทำเพราะหวังดีต่อแม่เจ้า ช่างน่าสงสารที่เป็นหญิงหม้ายตั้งแต่อายุยังไม่มาก โบราณว่าไว้หญิงหม้ายนั้นเป็นที่หมายปองของบุรุษ เช่นนี้แล้ว… ต่อให้แม่ของเจ้าจะอาศัยอยู่ในจวนฉู่กั๋วกงก็มิถึงกับต้องเสื่อมเสียชื่อ ใช่หรือไม่เล่า”

ผู้คนโดยรอบกระตุกมุมปาก หากเฉียวเฟยเยียนสนใจเรื่องชื่อเสียง เหตุใดนางถึงต้องมาอาศัยอยู่ในจวนฉู่กั๋วกงด้วยเล่า

เฉียวเฟยเยียนอยากจะคว้าคอของหนานกงมั่วมาตะคอกใส่ว่า “ข้าปรารถนาชื่อเสียงอันใดหรือ! ชื่อเสียงสำคัญเช่นไรกัน! ใครปรารถนาก็ช่าง แต่มิใช่ข้า!”

แน่นอนว่าเฉียวเฟยเยียนมิได้ตะคอกเช่นนั้น นางทำได้เพียงมองหนานกงมั่วด้วยท่าทางน่าสงสาร “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด ฮือ ฮือ…”

“อ้วก!” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่หนานกงมั่วที่อาเจียน นอกจากเว่ยซื่อจื่อผู้แข็งแกร่งที่สุดทำเพียงแค่เลิกคิ้วแล้ว คนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางเหมือนจะอาเจียนออกมา ที่แท้แล้ว…การแสร้งว่าน่าสงสารก็ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาด้วย

หนานกงมั่วอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว โบกมือพร้อมเอ่ยอย่างใจกว้าง “ยาถอนพิษ…ไม่มีหรอก แต่มิต้องกังวลไป ยานี้มิได้มีฤทธิ์ถาวร อย่างมากเพียงครึ่งเดือนก็กลับสู่สภาพเดิมได้”

ครึ่งเดือน?! หากกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนางจะต้องมองใบหน้าแก่ชรานี้เป็นเวลาครึ่งเดือน?!

เมื่อเห็นการข่มอารมณ์โกรธของเฉียวเฟยเยียนแล้ว หนานกงมั่วก็เอ่ยอย่างสบายใจว่า “เฉียวฮูหยิน ท่านอายุเกือบสี่สิบแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องมีรูปลักษณ์เช่นนี้อยู่ดี เหตุใดต้องกระวนกระวายใจเยี่ยงนั้นด้วยเล่า ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือเถ้ากระดูกก็ไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก”

เฉียวเฟยเยียนมองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามของหนานกงมั่วอย่างขุ่นเคือง ไม่ต้องกังวลอย่างนั้นหรือ ไม่ลองใช้มีดกรีดหน้าตัวเองสักสองสามแผลเล่า

หนานกงชวี่ค่อยๆ ละสายตาไป เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “หน้าจวนยังมีเรื่องให้จัดการอีก มั่วเอ๋อร์ เว่ยซื่อจื่อ ข้าขอตัวก่อน”

หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยตอบว่า “ท่านพี่ ระวังตัวด้วย”

หนานกงชวี่พยักหน้าลง เดินจากไปทันที

หนานกงชวี่ออกไปแล้ว แต่หนานกงมั่วยังไม่อยากตามออกไป นางอยากเห็นสีหน้าของหนานกงไหวเมื่อเห็นเฉียวเฟยเยียนเสียจริงๆ ผู้คนในบ้านยืนแบ่งเป็นสามกลุ่ม เฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูกยืนอยู่ที่หน้าประตูตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ หนานกงมั่วนั่งตากแดดกับเว่ยจวินมั่วพิงอยู่ที่กำแพง เหล่าองครักษ์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้านรอให้เซียวเชียนเยี่ยออกมา

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หนานกงมั่วเกือบเผลอหลับไป ในที่สุดประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดออก เซียวเชียนเยี่ยเป็นฝ่ายก้าวออกมาก่อน เพียงแค่มองดูสีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยก็รู้ได้ว่าหนานกงไหวยื่นขอเสนอที่น่าพอใจให้กับเขาได้

“ท่านพี่หนานกง”

“ท่านลุงหนานกง” เฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูกต่างกรูกันไปหา

“ไม่เป็นไร…” ก่อนที่หนานกงไหวจะพูดจบ กลับเห็นเฉียวเฟยเยียนที่โถมตัวเข้าหาเขาจึงผลักออกไป

“เจ้าเป็นใคร!”

เฉียวเฟยเยียนก้มศีรษะลงอย่างน่าสงสาร ปิดหน้าและสะอื้นไห้ “ท่านพี่หนานกง ท่าน..ท่านไม่รู้จักข้าแล้วหรือ ข้าเยียนเอ๋อร์เอง ฮือ ฮือ…” หนานกงมั่วมองอย่างสนใจ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านคือเยียนเอ๋อร์จริงๆ หรือ…ท่านกลายเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกันนะ”

เฉียวเฟยเยียนมองไปที่หนานกงมั่วด้วยน้ำตานองหน้า หนานกงไหวเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “ลูกทรพี เจ้าอีกแล้วหรือ!”

หนานกงมั่วยิ้มและกอดแขนข้างหนึ่งของเว่ยจวินมั่วไว้ ดวงตาทรงเสน่ห์ราวกับเขียนว่า ก็ท่านตีข้า ไว้ตัวโตทีเดียว

เหลือบมองเว่ยจวินมั่วที่กำลังจ้องมองตนด้วยสายตาเย็นชา หนานกงไหวกล่าวอย่างอดกลั้น “มอบยาถอนพิษให้เยียนเอ๋อร์เดี๋ยวนี้!”

หนานกงมั่วเท้ากำแพงแล้วลุกขึ้นยืน แตะที่คางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ยาถอนพิษอย่างนั้นหรือ จะมอบให้ก็ไม่มีปัญหาอันใดหรอก แต่ว่า…”

“ต้องการสิ่งใด อย่าได้คืบจะเอาศอกให้มากนัก” หนานกงไหวเอ่ยเตือน

หนานกงมั่วปัดป่ายมือและเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เอาเช่นนี้ ท่านจูบนางต่อหน้าทุกคน…อือ แล้วข้าจะให้ จำไว้ด้วยว่า หากไม่เกินสิบอึดใจก็ถือว่าไม่สำเร็จ”

“ลูกสารเลว”

หนานกงมั่วเอ่ยอย่างไร้เดียงสาว่า “หรือว่าท่านอยากจะ ‘เข้าห้อง’ ล่ะ?”

“อู๋สยา” เว่ยจวินมั่วเอ่ยปรามนางเสียงเคร่งขรึม หนานกงมั่วแลบลิ้นแล้วหลบไปอยู่หลังเว่ยจวินมั่วพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามิได้สนใจที่จะดูพวกท่านแสดงความรักใดต่อกัน เพียงแต่…ข้าไม่ยอมเปลี่ยนใจแน่ หากท่านไม่ทำก็แค่รอให้เวลาผ่านไปเถิด เมื่อพ้นครึ่งเดือนก็จะหายดีดังเดิม”

“ท่านพี่หนานกง…” เฉียวเฟยเยียนมองไปที่หนานกงไหวเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่ต้องเอ่ยถึงครึ่งเดือนหรอก แม้กระทั่งครึ่งชั่วยามนางก็ทนอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้แล้ว

ส่วนด้านข้าง เซียวเชียนเยี่ยยิ้มและกล่าวว่า “ฉู่กั๋วกง ข้อเสนอของจวิ้นจู่ก็มิได้มากเกินไปนี่ เหตุใดเจ้าถึงไม่รับปากไปเสีย การมีหญิงงามอยู่ในอ้อมอกมิใช่พรที่ทุกคนจะได้รับกันง่ายๆ” แม้ว่าจะเจรจาข้อแลกเปลี่ยนกับหนานกงไหวได้แล้ว ทว่าไม่ได้หมายความว่าเซียวเชียนเยี่ยจะหายโกรธ ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่าได้เห็นหนานกงไหวอับอายขายหน้าอีกแล้ว

หนานกงไหวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองเฉียวเฟยเยียน

“ท่านพี่หนานกง…” เฉียวเฟยเยียนเอ่ยเรียกเบาๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเสน่หา

“อ้วก!” ใบหน้าของหนานกงไหวเปลี่ยนไปหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวจึงหันหลังกลับและวิ่งหนีไป ไม่นานก็มีเสียงอาเจียนดังเข้ามาจากด้านนอก

เหตุการณ์ที่กะทันหันเช่นนี้ทำให้เฉียวเฟยเยียนยืนนิ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อยู่ตรงนั้น สิ่งใดคือความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับหญิงผู้หนึ่งที่คิดว่าตนรูปโฉมงดงาม ก็อาจเป็นชายที่คิดว่ารักนางที่สุดแต่กลับอาเจียนออกมาเพราะต้องจูบกับนางก็เป็นได้ ทางด้านนอกประตู หนานกงไหวอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง แต่เฉียวเฟยเยียนที่อยู่ด้านในไม่สามารถเสแสร้งร่ำไห้ได้อีกต่อไป

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หนานกงไหวก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ แต่ดวงตาของเขาไม่ได้มองไปยังเฉียวเฟยเยียนอีกแล้ว แต่เปลี่ยนไปจับจ้องที่หนานกงมั่วแทน กัดฟันเอ่ยว่า “เอายาถอนพิษมา!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *