หมอหญิงยอดมือสังหาร 913 กองทัพถูกล้อมที่อิ่งชวน (3)
ตอนที่ 913 กองทัพถูกล้อมที่อิ่งชวน (3)
“เยาเยา ระวังหน่อย” ซังเจี้ยวยื่นมือออกไปรับคนที่วิ่งเข้ามาหาตัวเองอย่างห่วงใย ที่จริงแล้วเยาเยาที่กำลังจะสามขวบวิ่งได้มั่นคงขึ้นมาก แต่หากเทียบกับอานอานที่เป็นเด็กสุขุมมาตั้งแต่ยังเป็นทารก เยาเยาที่ชอบกระโดดโลดเต้นมักทําให้ผู้คนเป็นห่วงมากกว่า พวกเขากลัวว่านางจะไม่ระวังแล้วหกล้มเอาได้
เด็กน้อยอายุสามขวบสวมชุดสีชมพู ม้วนผมสองจุกผูกด้วยดอกท้องดงาม หน้าตาน่ารัก สายตาไร้เดียงสา บนใบหน้าของนางมักจะมีรอยยิ้มที่ใครเห็นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ไม่แปลกที่คนในจวนล้วนแต่รักใคร่และเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้เป็นอย่างมาก
ซังเจี้ยวอุ้มเยาเยาขึ้นมา เงยหน้ามององครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง องครักษ์เอ่ยอย่างอับจนหนทาง “คุณชายน้อยกำลังอ่านหนังสืออยู่ แต่คุณชายและจวิ้นจู่มีธุระต้องจัดการ รบกวนคุณชายซังดูแลคุณหนูน้อยด้วยขอรับ”
หากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ สมกับที่เด็กทั้งสองคนนี้มีบิดามารดาเช่นนี้ เยาเยาร่าเริงตั้งแต่เด็ก พี่ชายของนางเพิ่งจะเดินได้แต่นางกลับวิ่งได้แล้ว แม้แต่เอ่ยก็ยังเอ่ยเป็นเร็วกว่าพี่ชายตัวเอง แน่นอนว่านี่ยังเป็นเหตุผลที่อานอานไม่ค่อยชอบเอ่ย เมื่อโตขึ้นอีกสักหน่อย เยาเยาร่าเริงมากขึ้นกว่าเดิม เล่นกับแมวและสุนัขทั้งวัน ดื้อซนเป็นอย่างมาก แต่นางมีหน้าตาที่ฉลาดและน่ารัก เพียงนางออดอ้อน ไม่ว่าใครจะโมโหแค่ไหนก็เหลือเพียงความรักและความเอ็นดูให้เท่านั้น แต่อานอานนั้นกลับดูนิ่งเงียบสุขุมรู้ความ แม้แต่หนานกงมั่วก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าตอนนั้นตัวเองคลอดเพศของลูกทั้งสองสลับกันหรือไม่ แต่ว่าสมองของอานอานผู้ดูสุขุมเรียบร้อยกลับไม่ธรรมดา ตั้งแต่ครั้งนั้นที่คุณชายฉังเฟิงอาสามาสอนหนังสืออานอาน สุดท้ายเป็นเขาที่ต้องตกใจ เพียงอ่านหนังสือแค่หนึ่งรอบเท่านั้น อานอานก็สามารถท่องออกมาได้ทันที เห็นได้ชัดว่าเขามีความจำดี ทำเอาคุณชายฉังเฟิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก
อานอานเริ่มเรียนตำราตั้งแต่อายุสองขวบ ตอนนี้อีกหนึ่งเดือนจะครบสามขวบแล้ว แต่ตำราที่เขาท่องได้และตัวอักษรที่เขารู้จักกลับมีไม่น้อยเลยทีเดียว หนานกงมั่วไม่คิดว่าการที่ลูกเรียนหนังสือเร็วเกินไปจะเป็นเรื่องดี แต่ว่าอานอานชอบเรียนหนังสือมากกว่าเล่นสนุก นางกลัวว่าดวงตาของเขาจะมีปัญหาตั้งแต่อายุยังน้อย หนานกงมั่วจึงต้องจํากัดเวลาอ่านหนังสือของอานอานทุกวัน แล้วยังหาคนมาวาดภาพหนังสือนิทานและประวัติศาสตร์ให้เขาดูแทน
ซังเจี้ยวพยักหน้าพลางเอ่ย “เข้าใจแล้ว” ที่จริงเขาชินแล้ว เยาเยาชอบอยู่กับเขามาตั้งแต่เล็ก แล้วเขาเองก็ชอบศิษย์น้องหญิงที่น่ารักคนนี้มากด้วยเช่นกัน บางครั้งหนานกงมั่วเองยังอดรำคาญความซนของนางไม่ได้ แต่ซังเจี้ยวกลับไม่เคยรู้สึกว่าศิษย์น้องหญิงของเขาดื้อซนอันใด ศิษย์น้องหญิงของเขารู้ความและน่ารักมากต่างหาก
องครักษ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทำความเคารพซังเจี้ยวแล้วจากนั้นก็หายลับไปทันที เขาไม่มีความสามารถจะดูแลคุณหนูน้อย ซังเจี้ยวช่วยเขาดูแล ช่างดีจริงๆ
ซังเจี้ยวอุ้มเยาเยากลับมานั่งใต้ต้นไม้ เยาเยานั่งมองดูตำราในมือของเขาอยู่บนตักอย่างรู้ความ นางกะพริบตา “พี่เจี้ยว…” ซังเจี้ยวยิ้มแล้วปิดตำราในมือ เอ่ย “เด็กดี พี่เจี้ยวเล่านิทานให้เจ้าฟังดีหรือไม่”
เยาเยาลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบ ที่จริงแล้วนางอยากให้พี่เจี้ยวไปเล่นกับนางมากกว่า แต่ว่า…ฟังนิทานก็ได้ ฟังนิทานจบแล้วค่อยชวนพี่เจี้ยวไปเล่นก็เหมือนกัน
ในลานจวน มีเสียงอันไพเราะของชายหนุ่มค่อยๆ ดังขึ้นมา บางครั้งก็ดังสลับกับเสียงเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาเป็นครั้งคราว แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องมายังพวกเขาทั้งสอง พัดความหนาวเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิออกไป ทําให้ผู้คนรู้สึกขี้เกียจและสบายใจ ผ่านไปไม่นานเสียงของซังเจี้ยวก็ค่อยๆ เบาลง เขาก้มหน้าลงมองเด็กน้อยในอ้อมแขนตัวเอง นางหลับปุ๋ยไปแล้ว ซังเจี้ยวอมยิ้ม กระโดดโลดเต้นมาทั้งเช้าจะไม่เหนื่อยได้เช่นไร
ในห้องหนังสืออีกด้านหนึ่ง หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วต่างนั่งขมวดคิ้ว พวกเขาอ่านจดหมายที่เพิ่งได้รับมา
ด้านข้าง ฉินจื่อซวี่เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “คุณชาย จวิ้นจู่ พวกท่านคิดเช่นไร”
หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ยว่า “กองกำลังของแม่ทัพเซวียถูกล้อมอยู่ที่อิ่งชวน ทางฝั่งของท่านลุงเองก็กําลังเผชิญหน้ากับกองกำลังของราชสํานักที่เมืองเผิง เกรงว่า…คงจะส่งกำลังสนับสนุนไปช่วยแม่ทัพเซวียไม่ได้ พวกเราต้องไปเป็นกำลังสนับสนุนให้พวกเขา” ฉินจื่อซวี่ไม่แปลกใจ เอ่ยตอบ “หากเราเคลื่อนทัพ…ความสงบสุขของเฉินโจวในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็จะหายไปทันที คุณชายและจวิ้นจู่…คิดดีแล้วหรือไม่”
ในระยะสองปีที่ผ่านมา พวกเขาเผชิญหน้ากับกองกำลังของราชสํานักที่ซิ่นหลิงเพื่อคุ้มกันดินแดนของตัวเอง แต่กลับไม่ได้ทำอันใดนัก พวกเขาค่อยๆ โจมตีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากได้รับฟื้นฟูและปกครองด้วยดีตลอดสองปีที่ผานมา เฉินโจวก็สงบสุขขึ้นมาก ความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติ เพราะหนานกงมั่วสั่งให้ซ่อมแซมที่เก็บน้ำ สองปีมานี้เฉินโจวเองก็มีฝนตกต้องตามฤดูกาล ราษฎรจึงใช้ชีวิตได้อย่างผาสุข
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “หรือคุณชายฉินอยาดจะคุ้มกันสถานที่แห่งนี้จนแก่เฒ่าหรือ ซิ่นหลิงอยู่ห่างจากอิ่งชวนเพียงไม่กี่ร้อยลี้ หากกองกำลังของแม่ทัพเซวียถูกบุกทําลายลง…”
ฉินจื่อซวี่ก็เพียงแค่ถาม เคลื่อนกองทัพเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว แม้ไม่เอ่ยถึงสถานการณ์และโอกาส แต่เว่ยจวินมั่วเป็นหลานชายแท้ๆ ของเยี่ยนอ๋อง ถึงสองปีที่ผ่านมาเยี่ยนอ๋องจะไม่เคยสนใจเรื่องในเฉินโจว แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจวนเยี่ยนอ๋อง จะไม่ให้ช่วยเหลือพวกเขาได้เช่นไร
ฉินจื่อซวี่พยักหน้า จากนั้นจึงลุกขึ้นพลางเอ่ย “ขอรับ ข้าจะให้คนไปเตรียมตัวทันที”
หนานกงมั่วพยักหน้า ยิ้มแล้วจึงเอ่ย “ลําบากท่านแล้ว”
ฉินจื่อซวี่ประสานมือให้พวกเขาทั้งสอง แล้วหันหลังเดินออกไป
ในห้องหนังสือเหลือเพียงพวกเขาสองคนตามลำพัง สีหน้าของหนานกงมั่วเคร่งขรึมขึ้น “แม่ทัพเซวียไม่ใช่คนประมาท ครั้งนี้ไยถึงปล่อยให้กองทัพถูกล้อมรอบได้”
เว่ยจวินมั่ววางจดหมายในมือลง ถอนหายใจ “เมื่อสามเดือนก่อน เสด็จลุงส่งเชียนเหว่ยกับเชียนชื่อเข้าไปอยู่ในกองทัพของแม่ทัพเซวียเจิน”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ทําไมหรือ หรือว่าพวกเขาทั้งสองจะทะเลาะกัน?” เวลาเช่นนี้ยังกล้าทะเลาะกันอีก พวกเขาไม่กลัวเยี่ยนอ๋องโบยจนตายหรอกหรือ
เว่ยจวินมั่วส่ายหน้าพลางเอ่ย “ตอนนี้กองทัพติดอยู่ข้างใน ยังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัด”
หนานกงมั่วถอนหายใจ “เช่นนั้นคงต้องเข้าไปดูก่อน”
เว่ยจวินมั่วยื่นมือออกไปดึงนางเข้ามาสู่อ้อมกอด เอ่ยเบาๆ “ข้าจะออกเดินทางในอีกสามวัน คงต้องลำบากเจ้าอีกแล้ว”
“ไม่” หนานกงมั่วลุกขึ้นนั่ง “ครั้งนี้ข้าจะไปกับท่าน”
“อู๋สยา?” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว หากเทียบกับที่ผ่านมา ครั้งนี้เขาไม่อยากให้หนานกงมั่วไปด้วยจริงๆ แต่หนานกงมั่วกลับส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ยามนี้เฉินโจวไม่มีเรื่องสลักสําคัญอันใด ถึงแม้จะมีเรื่องใดฉินจื่อซวี่กับฉังเฟิงก็รับมือได้” เว่ยจวินมั่วถอนหายใจ “จะไม่มีใครดูแลอานอานกับเยาเยา”
หนานกงมั่วยิ้ม “ท่านเอาเสด็จแม่ไปไว้ที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น เยาเยาของเรามีเพียงพี่เจี้ยวของนางก็พอแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นนางสนใจท่านพ่อท่านแม่อย่างพวกเราเลย”
“แต่…”
“คุณชาย จวิ้นจู่ เซวียปินขอเข้าพบขอรับ” นอกประตู มีน้ำเสียงเป็นกังวลของเซวียปินดังเข้ามา
Comments