หมอหญิงยอดมือสังหารต้นเถาเยาเยา 11

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter ต้นเถาเยาเยา 11 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ต้นเถาเยาเยา 11

เมื่อเยาเยากลับมาถึงเมืองหลวงก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่ไม่อาจเทียบได้จากทุกคน เพราะได้รับข่าวเมื่อครั้งที่นางอยู่เขตชายแดนมาก่อนหน้านี้ ผลสุดท้ายคือในช่วงนี้เยาเยาไม่อาจไปจากเมืองหลวงได้ ไม่ใช่เพราะเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วไม่วางใจบุตรสาว ความจริงแล้วหนานกงมั่วไม่คิดว่าการที่บุตรสาวได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้นจะเป็นเรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด แม้ครั้งนี้จะเจออันตราย แต่ก็นับว่าไม่เป็นอันใด ต่อไปเพียงดูให้ดีกว่านี้สักนิดก็พอแล้ว คิดว่าพอผ่านเรื่องนี้ไปแล้วนักเรียนเยาเยาคงได้เรียนรู้บทเรียนใดบ้าง หากเกรงกลัวว่าจะผิดพลาดจึงไปทำอีก เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว

ส่วนคนที่ไม่ยอมให้เยาเยาไปจากเมืองหลวงอีกก็คือฮ่องเต้ ยามนี้ฮ่องเต้ไท่ชูไม่นับว่าอายุมาก การเป็นฮ่องเต้ของเขากำลังอยู่ในช่วงมุ่งมั่นและทะเยอทะยาน แต่การรักและห่วงใยลูกหลานก็ไม่ได้น้อยไปกว่าปู่ธรรมดาทั่วไป บางทีอาจเป็นเพราะชดเชยที่ไม่ได้เลี้ยงดูบุตรชายมาตั้งแต่เด็ก ฮ่องเต้ไท่ชูจึงนำอานอานไปอบรมเลี้ยงดูอยู่ข้างกายของตนตลอด สำหรับคนที่เกิดมาพร้อมกับอานอานนั้น เขากลับไม่ได้เข้มงวดกับเยาเยาที่เป็นเด็กสาวมากนัก มีเพียงความรักและเอ็นดู หากไม่ใช่เพราะมีหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วอยู่ ไม่แน่ว่าเยาเยาคงถูกเอาอกเอาใจจนกลายเป็นลูกหมีเอาแต่ใจไปเสียแล้ว

ดังนั้นในสายตาของเซียวเชียนจย่ง บิดาของตนนั้นแบ่งแยก เป็นฮ่องเต้ คนที่รักและเอ็นดูเยาเยาผู้นั้นกับคนที่เป็นเสด็จพ่อของเขา ต้องไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอน

เยาเยานอนแผ่หราอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างพุ่มไม้ในอุทยาน นิ้วมือเรียวเล็กเล่นกับเฟยเฟยอย่างไร้ชีวิตชีวา

ความจริงเฟยเฟยและอาไป๋เป็นหนอนอายุมากแล้ว แต่เพียงเพราะพวกเขาได้รับยามากมายตั้งแต่กำเนิดจนฟักตัว ดังนั้นจึงอายุยืนกว่าหนอนทั่วไป แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ อายุของพวกเขาก็ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และเพราะไม่อาจหาคู่ที่เหมือนกันกับพวกเขามาผสมพันธุ์ได้ รอพวกเขาถึงวาระสุดท้ายแล้ว บนโลกใบนี้ก็จะไม่มีเฟยเฟยและอาไป๋ที่สองอีกแล้ว

เพื่อไม่ให้เยาเยาเสียใจ ชายชรากับคุณชายเสียนเกอร่วมมือกันเลี้ยงและฝึกงูขึ้นมาสองตัว อย่างไรงูก็อายุยืนกว่าสักหน่อยและฝึกฝนได้ง่าย แต่เยาเยากลับไม่ยอม ยังคงนำเฟยเฟยและอาไป๋ที่ไม่ได้แข็งแกร่งเก่งกาจแล้วอยู่ข้างกายเช่นเดิม และแสดงออกว่าหากไม่มีอาไป๋และเฟยเฟยแล้ว นางก็จะไม่เลี้ยงสัตว์เล็กๆ อีกแล้ว

“เยาเยา เจ้าทำสิ่งใดอยู่หรือ” เซียวเชียนจย่งเดินมาจากอีกฝั่ง มองเด็กสาวที่อยู่ข้างพุ่มไม้อย่างแปลกประหลาด

เยาเยาเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมาคารวะ “คารวะเสด็จอาสี่”

เซียวเชียนจย่งลูบศีรษะเล็กของนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนกันเองไม่ต้องมากพิธีเพียงนั้น เจ้ามานอนอยู่ที่นี่คนเดียวทำไมกัน”

เยาเยาเอ่ย “เสด็จปู่ไม่ให้หม่อมฉันออกจากวังเพคะ”

เซียวเชียนจย่งมองเด็กสาวด้วยความเห็นใจ สำหรับเสด็จพ่อที่รักหลานสาวมากเกินไปเขาก็อิจฉาอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดให้ดีแล้วหากบิดารักเขาเช่นนี้ละก็ เซียวเชียนจย่งแสดงท่าทีว่าตนนั้นคงไม่อาจรับได้

“บิดามารดาของเจ้าเล่า”

เยาเยาเอ่ยอย่างเหงาหงอย “ท่านแม่บอกว่าให้หม่อมฉันอยู่ในวังเป็นเพื่อนพี่ชาย จะได้เรียนหนังสือไปด้วยเพคะ”

“เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีน่ะสิ” เซียวเชียนจย่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หรือเจ้าไม่อยากอยู่กับพี่ชายหรือ”

เยาเยาไร้ซึ่งวาจา แน่นอนว่านางยินดีอยู่เป็นเพื่อนพี่ชาย ปัญหาคือ…พี่ชายไม่ได้มีความจำเป็นให้นางอยู่เป็นเพื่อนด้วยซ้ำ ทุกวันตื่นตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ไปเรียน ฝึกวรยุทธ์ จากนั้นร่ำเรียนการปกครองกับเสด็จปู่ เยาเยาเองก็ไม่รู้ว่าต้องเห็นใจหรือควรนับถือพี่ชายที่ยุ่งอยู่ตลอดของตน

ฉลาดเกินไปก็ไม่ดี

เห็นได้ว่าเซียวเชียนจย่งเองก็นึกถึงหลานชายที่เอาแต่ยุ่งผู้นั้น ยิ้มขึ้นมาอย่างเขินอาย เอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก “หรือ…เสด็จอาสี่จะพาเจ้าออกไปเล่นดีหรือไม่”

ดวงตาของเยาเยาวาววับ “เสด็จอาสี่ เสด็จอาสี่ดีที่สุดเลย”

เซียวเชียนจย่งถอนหายใจ “ปากเล็กหวานเพียงนี้ ไยจึงลืมของขวัญเสด็จอาสี่เล่า”

เยาเยากะพริบตาปริบ “หม่อมฉันมีของขวัญมาให้เหล่าน้องชายน้องสาวแล้วนะเพคะ หากเสด็จอาสี่ชอบ จะเล่นด้วยกันก็ได้”

เซียวเชียนจย่งจนวาจา ของเล่นที่เจ้าเอามาเหล่านั้นน่ะหรือ ข้าจะกล้าแย่งของเล่นกับลูกของตนได้เยี่ยงไร

ไม่ง่ายกว่าจะออกมาจากวังหลวงได้ เยาเยารู้สึกว่าร่างทั้งร่างแทบล่องลอย นับตั้งแต่กลับมาถึงเมืองหลวง นอกจากพักอยู่ที่บ้านได้สามวันนางก็ถูกกักตัวอยู่ในวังมาสองเดือนแล้ว เสด็จปู่ส่งนางกำนัลมาสอนนางเรื่องการทำตัวให้เหมาะสมกับการเป็นจวิ้นจู่อันใดพวกนั้น หากไม่ใช่เพราะมารดาเข้าวังมาเยี่ยมนางทุกๆ สองวัน เยาเยาคิดว่าตนเองคงเป็นบ้าอย่างแน่นอน

เยาเยาดีใจ เซียวเชียนจย่งกลับดีใจไม่ออก เพราะก่อนออกมาเสด็จพ่อเอ่ยว่า หากนางหนีไป เจ้าก็หาวิธีจัดการด้วยตนเอง

จัดการด้วยตนเองเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดแล้ว

เมื่อออกมาจากวังหลวงได้ เยาเยาดีใจราวกับลูกนก แม้จะเป็นฝาแฝด แต่เซียวเชียนจย่งไม่ยอมรับไม่ได้ว่าเด็กคนนี้แตกต่างจากอานอานอย่างสิ้นเชิง กักขังนางเอาไว้ในวังหลายวันมานี้ นางจึงเฉื่อยชาราวกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา แม้แต่เซียวเชียนจย่งเองยังทนมองไม่ไหว เสด็จพ่อถูกเขาเกลี้ยกล่อมได้ง่ายเพียงนั้น คิดว่าคงเป็นเพราะเหตุผลนี้เช่นกันกระมัง

แน่นอนว่าเยาเยาไม่จำเป็นต้องให้เซียวเชียนจย่งอยู่เป็นเพื่อน เพียงต้องการคนพานางออกจากวังหลวงเท่านั้น เซียวเชียนจย่งที่เป็นชินอ๋องอีกทั้งยังเป็นองค์ชายนั้นยุ่งมาก ดังนั้นเมื่อออกจากวังมาแล้ว เยาเยาจึงโบกมือบอกลาเสด็จอาสี่อย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงไปยังจวนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง

บ้านที่ไม่นับว่าใหญ่หรือเล็กเกินไป ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนรัชทายาทมากนัก ป้ายด้านหน้าเขียน บ้านตระกูลซัง เอาไว้ง่ายๆ เห็นได้ว่าเจ้าของผู้อาศัยอยู่ในจวนนี้ไม่ได้มีตำแหน่งสูงนัก แต่สามารถมีบ้านเป็นของตนเองในบริเวณใกล้จวนองค์รัชทายาทได้ เอ่ยบอกได้ว่าตัวตนของเจ้าของบ้านนั้นพิเศษ

“พี่ซังเจี้ยวอยู่หรือไม่” ไม่ต้องรายงาน เยาเยาก็เดินเข้าไปในจวนอย่างร่าเริง บ่าวรับใช้ในจวนตระกูลซังคุ้นเคยกับจวิ้นจู่น้อยผู้นี้มานานแล้ว ผู้ดูแลเชิญนางไปยังห้องหนังสือด้วยเสียงหัวเราะ

“พี่ซังเจี้ยว”

“เจ้ายังรู้จักกลับมาอยู่หรือ” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาผู้หนึ่งนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ใบหน้าหล่อเหลามองออกไป เยาเยาจึงรีบหดลำคอ “อันใดกัน ข้ากลับมาตั้งนานแล้วนะ เสด็จปู่ไม่ยอมให้ข้าออกจากวัง พี่ซังเจี้ยวก็ไม่เข้าวังไปเยี่ยมข้า”

ซังเจี้ยวคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มมองไปยังนาง “เอ่ยเช่นนี้ เป็นความผิดของข้าอย่างนั้นหรือ”

เยาเยากะพริบตาปริบมองเขา เนิ่นนาน ซังเจี้ยวถอนหายใจอย่างจนปัญญา ยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก เอ่ย “เจ้านึกว่าพระราชวังผู้ใดจะเข้าก็เข้าได้อย่างนั้นหรือ”

ตอนนี้ซังเจี้ยวได้สวมกวน[1]ไปตั้งนานแล้ว เป็นขุนนางในวัง แม้ฐานะจะพิเศษ แต่ก็เข้าร่วมการสอบขุนนางอย่างเช่นคนอื่นทั่วไป ยามนี้เป็นผู้ช่วยเจ้ากรมตรวจการขุนนางขั้นสี่ระดับสูง อายุเช่นเขานับว่าเป็นคนหนุ่มมีความสามารถ เพียงแต่นับตั้งแต่ซังเจี้ยวเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก เวลาเล่นกับเยาเยาจึงมีน้อยลง เยาเยาเองก็เข้าใจความเติบโตและความปรารถนาของเขา ไม่งอแงให้เขาอยู่เล่นกับตนเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กแล้ว ดังนั้นแม้จะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลง ทว่าความสัมพันธ์พี่น้องยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยอย่างไม่เกรงใจ ความสัมพันธ์ของเยาเยาและซังเจี้ยวสนิทเสียยิ่งกว่าพี่ชายฝาแฝดของตนด้วยซ้ำ อย่างไรอานอานก็ยุ่งมากจริงๆ

ซังเจี้ยวมองนาง “ครั้งนี้เจ้าสร้างเรื่องใหญ่หลวงยิ่งนัก”

เยาเยาหัวเราะสนุกสนาน เล่าเรื่องที่ตนพบเจอในการเดินทางครั้งนี้ให้ซังเจี้ยวฟัง เมื่อเล่าถึงเรื่องดีใจก็กระโดดโลดเต้น เพียงถึงตอนสุดท้ายกลับรู้สึกผิดขึ้นมา

“ดังนั้นเจ้าพบว่าเจ้าสังหารกงอวี้เฉินไม่ลง ทั้งยังรู้สึกผิดต่อคนที่สละชีวิตเพื่อเจ้า จึงได้หนีกลับมาอย่างนั้นหรือ” ฟังเยาเยาเล่าจบ ซังเจี้ยวจึงเอ่ยเสียงเรียบ

เยาเยาพยักหน้า เอ่ยอย่างโศกเศร้า “กงอวี้เฉินเป็นคนชั่วใหญ่ เห็นอยู่ว่าข้าสังหารเขาได้…”

ซังเจี้ยวยกมือขึ้นไปเคาะศีรษะของนางหนึ่งครั้ง เอ่ย “จวินฉิงเทียนยอดฝีมือเช่นนั้นยังเชิญเขามาเป็นอาจารย์ให้บุตรชายตนเอง เจ้าคิดว่าด้วยความสามารถของเจ้าจะสังหารเขาได้อย่างนั้นหรือ”

เยาเยากะพริบตาปริบไม่เอ่ยปาก ซังเจี้ยวถอนหายใจจูงนางมานั่งลง เอ่ย “ตอนนั้นเจ้าอายุเท่าใดกันเชียว เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า สองปีมานี้พวกเรานึกว่าเจ้าสามารถเดินออกมาจากมันได้แล้ว ไม่คิดว่าเจ้าจะยังคงจำไม่ลืม กงอวี้เฉินเป็นคนชั่วก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายเจ้า กระทั่งยังดีกับเจ้า เจ้าสังหารเขาไม่ลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากเจ้าไม่อาจปล่อยวางได้จริงๆ พวกเราส่งคนไปสังหารเขาก็ได้ ไยต้องให้เจ้าไปด้วยตนเองเล่า”

เยาเยานิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ท่านก็บอกแล้วว่าเขาร้ายกาจมาก ส่งคนไปสังหารเขาไม่แน่ว่า…” ซังเจี้ยวถอนหายใจ “เจ้าเด็กนี่ ไม่เหมือนคนตระกูลเซียวแม้เพียงนิด”

“อะไรกัน” เยาเยาหน้าบูดบึ้งเอ่ยอย่างไม่พอใจ

ซังเจี้ยวปรายตามองนาง เอ่ย “เจ้าไปถามอานอาน ถามเสด็จอาสี่ของเจ้า เจอเรื่องเช่นนี้จะจัดการเยี่ยงไร” ความจริงเยาเยาก็ไม่ได้ใจอ่อนอย่างเช่นซังเจี้ยวเอ่ย เพียงแต่ตอนนั้นนางยังเด็กยังไม่รู้ความ จึงได้เก็บเป็นเงาอยู่ในใจ หากกงอวี้เฉินเลวร้ายอย่างแท้จริง เยาเยาเพียงคิดหาวิธีสังหารเขาก็พอแล้ว ต่อให้นางทำไม่สำเร็จหาคนจัดการแทนก็เพียงพอแล้ว ทว่ายังเป็นเช่นนี้ กงอวี้เฉินร้ายกับทุกคนบนโลก แต่เขากลับไม่เคยทำร้ายเยาเยาเลยจริงๆ

ซังเจี้ยวครุ่นคิด มิสู้เชิญอาจารย์และองค์รัชทายาทมาหาวิธี ลอบจัดการกงอวี้เฉินให้สิ้น เพื่อไม่ให้เยาเยาไม่สงบอยู่เช่นนี้

ซังเจี้ยวมองเยาเยาที่นั่งเหม่อลอยอยู่ด้านข้าง เอ่ย “ไม่มีอันใดก็กลับไปเยี่ยมที่บ้าน หากอาจารย์รู้ว่าเจ้าออกจากวังแล้วไม่ยอมกลับบ้าน ระวังจะโดนตีเอาได้”

เยาเยารีบลุกขึ้นและเดินออกไป วิ่งไปถึงหน้าประตูจึงหันกลับมาโยนม้วนกระดาษกลับไป “พี่ซังเจี้ยว ของขวัญ”

“นี่คือสิ่งใด” ซังเจี้ยวเลิกคิ้ว

เยาเยายิ้มพลางเอ่ย “ภาพหญิงงามที่ข้าช่วยท่านรวบรวมอย่างไรเล่า แม้แต่ชื่อและชาติกำเนิดก็สอบถามมาให้ท่านแล้ว ท่านค่อยๆ ดูนะเจ้าคะ”

มองเด็กสาวที่หายไปจากหน้าประตู มุมปากของซังเจี้ยวกระตุก พูดอันใดไม่ออก

“ท่านคิดจะเป็นอย่างนี้ต่อไปหรือ” ชั่วครู่ พลันมีเสียงดังมาจากด้านหลัง เด็กหนุ่มในอาภรณ์สีครามเดินออกมาจากด้านหลัง เด็กหนุ่มผู้นั้นดูอายุราวๆ สิบสี่สิบห้า ใบหน้าคล้ายเยาเยาห้าหกส่วน เพียงแต่เมื่อเทียบกับเยาเยาที่สดใสร่าเริง เขากลับดูเคร่งขรึม ดูไม่เหมือนเด็กอายุสิบกว่า

ซังเจี้ยววางม้วนกระดาษในมือลง เอ่ย “เจ้าเอ่ยสิ่งใด”

เด็กหนุ่มเดินมานั่งลงอีกฝั่ง เอ่ย “แม้ท่านแม่จะบอกว่าเยาเยาอายุยังน้อยต้องอยู่ไปอีกสักกี่ปี แต่ท่านก็รู้ว่าเด็กสาวอายุเท่านางทั่วไปนั้นควรหมั้นหมายไปแล้ว เสด็จปู่ได้เตรียมพิธีประลองให้เยาเยาได้เลือกคู่ครองแล้ว”

ซังเจี้ยวกัดฟัน เอ่ย “หวงซุน กระหม่อมเป็นพี่ชายของเยาเยา”

เด็กหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าเป็นหวงจั่งซุนเซียวจิ่งเสา

เซียวจิ่งเสาเท้าคางด้วยท่าทางเกียจคร้าน เอ่ย “ข้าต่างหากที่เป็นพี่ชายของเยาเยา”

ซังเจี้ยวจนวาจา เซียวจิ่งเสาเอ่ย “เจ้าเด็กนั่นไร้เดียงสาจนน่าปวดหัว หากท่านรับนางไปข้ากับท่านแม่และท่านพ่อจะได้วางใจไม่มีอันใดไม่ดี เพียงแต่หลายปีมานี้ ข้ากลับดูไม่ออกว่าท่านคิดอย่างไรกับนางกันแน่”

จะบอกว่าซังเจี้ยวไม่ได้คิดอันใดกับเยาเยา นับตั้งแต่เด็กจนโตคนที่คอยดูแลปกป้องนางก็คือเขา บางครั้งแม้แต่เขาผู้เป็นพี่ชายยังแทบอยากโยนเจ้าเด็กผู้นี้ออกไปไกลๆ ซังเจี้ยวกลับคอยตามใจไม่เคยมีช่วงเวลาที่รำคาญนาง จะบอกว่าซังเจี้ยวมีความรู้สึกต่อเยาเยา เขาก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ขอเพียงเขาแสดงสิ่งใดออกมาบ้าง ในตอนที่พวกเขาเลือกคู่ครองให้เยาเยาแน่นอนว่าคนแรกที่จะพิจารณาก็คือเขา

ซังเจี้ยวเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ย “ข้าคิดกับนางเป็นน้องสาวมาตลอด”

เซียวจิ่งเสาเปลี่ยนท่า “เอาเถิด เปลี่ยนหัวข้อ ไยท่านจึงยังไม่แต่งงาน เมื่อครั้งที่ท่านอายุสิบหกแม่ทัพซังและท่านแม่ก็คงเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วกระมัง ตอนนั้นข้ายังเชื่อว่าท่านไม่คิดอันใดกับเยาเยาจริงๆ”

ซังเจี้ยวไม่ตอบ เซียวจิ่งเสาส่งเสียงหึเบาๆ มองสำรวจซังเจี้ยวก่อนจะเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “ว่าไปแล้ว พี่ซังเจี้ยว ท่านคงไม่ได้กำลังคิดสนใจข้าอยู่กระมัง”

ซังเจี้ยวหยิบแท่นฝนหมึกบนโต๊ะขว้างออกไป “ไสหัวไป”

เซียวจิ่งเสายื่นมือออกไปรับ นำมาวางไว้ด้านข้าง เอ่ย “อย่างไร ข้าจะบอกข่าวบางอย่างกับท่าน อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ควาามเป็นพี่น้อง นอกจากนี้…ข้าจะบอกอีกข่าวหนึ่งกับท่านด้วย เด็กคนนั้นที่เยาเยาช่วยเอาไว้เมื่อครั้งอยู่นอกเขตกำแพง ท่านรู้จักหรือไม่”

ซังเจี้ยวพยักหน้า “จวินหนานเยี่ยน เมืองจูเชวี่ยหรือ”

เซียวจิ่งเสาพยักหน้า “ได้ข่าวว่าเด็กคนนั้นกำลังตามหาเยาเยา ตอนนี้เข้าเขตกำแพงมาแล้ว” เอ่ยจบจึงโบกมือเดินออกไป ทางด้านในห้องหนังสือ ซังเจี้ยวก้มหน้ามองม้วนกระดาษบนโต๊ะ เงียบไปเนิ่นนานก่อนที่เสียงถอนหายใจเบาๆ จะดังขึ้นในห้องหนังสือ

[1] กวน หรือกวาน เป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนโบราณสวมครอบบนศีรษะ เป็นเครื่องประดับบอกยศฐาบรรดาศักดิ์ ในอดีตสมัยราชวงศ์โจวเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีเต็มจะมีพิธีสวมกวานหรือที่เรียกกันว่า จี๋กวาน แต่มีบางพื้นที่เมื่ออายุสิบหกก็สามารถเข้าพิธีได้แล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด