หมอหญิงยอดมือสังหารต้นเถาเยาเยา 2

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter ต้นเถาเยาเยา 2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ต้นเถาเยาเยา 2

“เจ้าสำนักกง ไม่เจอกันนาน เป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงมั่วยืนอยู่ข้างเว่ยจวินมั่ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ชั่วพริบตาสิบปีก็ผ่านไปแล้ว กลายเป็นมารดาของบุตรหลายคนแล้ว หนานกงมั่วที่บุตรคนโตทั้งสองใกล้เต็มสิบสี่ยังคงงดงาม เมื่อเทียบกับสิบปีที่แล้ว สิ่งที่วันเวลามอบให้นางคือเสน่ห์และความเป็นผู้ใหญ่ที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

“ท่านแม่ ท่านแม่” มองเห็นบิดามารดา ใบหน้าเล็กงดงามของเยาเยาเต็มไปด้วยความดีใจ ซุกอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงมั่ว

หนานกงมั่วลูบศีรษะเล็กของบุตรสาวอย่างจนใจ “เด็กดื้อ”

“ซิงเฉิงจวิ้นจู่” กงอวี้เฉินมองไปยังสตรีอาภรณ์ฟ้าผู้นั้น ดวงดามีแววซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อย

หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันหลายปี เจ้าสำนักยังคงสง่างามเช่นเดิม”

กงอวี้เฉินส่งเสียงหยัน เลิกคิ้วมองไปยังทั้งสองคน “พวกเจ้าช่างมีความกล้าไม่น้อย ถึงยังกล้าเข้ามาในเขตทุ่งหญ้าตามลำพังเช่นนี้ ไม่กลัวจะกลับไปไม่ได้หรือ”

เมื่อมีบิดามารดาหนุนหลัง ความกล้าของเยาเยาพลันมีมากขึ้น หลบอยู่ด้านหลังเว่ยจวินมั่วโผล่ใบหน้าเล็กออกมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไม่กลัวคนเป่ยหยวนอย่างเจ้าหรอก ตอนนี้ต้องเป็นพวกเจ้าที่กลัวเราจึงจะถูกกระมัง คนชั่วใหญ่ ขี้โม้ หึๆ…”

วาจานี้ของเยาเยาไม่ได้เอ่ยผิด สิบปีมานี้สถานการณ์ของเป่ยหยวนนอกเขตกำแพงไม่ได้น่าอภิรมย์นัก ภายในสิบปีฮ่องเต้ไท่ชูออกนอกเขตกำแพงด้วยตนเองถึงสองครั้ง เผ่าหว่าหลาขึ้นตรงกับต้าเซี่ย เผ่าต๋าต๋าเองก็ไม่ได้สงบ เผชิญหน้ากับราชสำนักเป่ยหยวนอยู่บ่อยครั้ง กงอวี้เฉินมีสายเลือดของจงหยวนกว่าครึ่ง ทำให้เขากุมอำนาจภายในของเป่ยหยวนได้ไม่ราบรื่นนัก คนเป่ยหยวนยอมรับคนต้าเซี่ยเป็นที่ปรึกษาได้ ทว่าไม่อาจยอมรับคนที่มีสายเลือดของต้าเซี่ยมาเป็นกษัตริย์ของพวกเขาได้ แม้ยามนี้อำนาจกว่าครึ่งของราชสำนักเป่ยหยวนจะอยู่ในกำมือของเขา แต่หากต้องการเผชิญหน้ากับต้าเซี่ยเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจว่ามีกำลังไม่เพียงพอ

กงอวี้เฉินคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มมองไปยังเยาเยา เยาเยาเพียงรู้สึกว่าแผ่นหลังสั่นสะท้าน รีบหดศีรษะกลับไปอยู่ด้านหลังของบิดา กงอวี้เฉินมองไปยังเว่ยจวินมั่วอีกครั้ง เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ทั้งสองท่านมาคงไม่ได้มาเพื่อตั้งใจมาเยี่ยมข้ากระมัง องค์รัชทายาทแห่งต้าเซี่ย พระชายารัชทายาท หืม”

เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “มาหาคน”

กงอวี้เฉินมองพิจารณาทั้งสองคนอยู่ชั่วครู่ ยกยิ้มขึ้นมาทันใด เอ่ย “ช่างเถิด นานแล้วที่ข้าไม่มีคนรู้จักเดินทางมาจากจงหยวน ในเมื่อมาแล้วก็มานั่งดื่มกันสักจอกเถิด”

กงอวี้เฉินเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่

หนานกงมั่วมองสบตากับเว่ยจวินมั่วเล็กน้อย ส่งยิ้มให้กัน ทั้งสองคนจูงมือกันเดินตามเข้าไป

แม้จะจากจงหยวนมาสิบปีแล้ว ความเคยชินของกงอวี้เฉินยังเป็นเหมือนเมื่อครั้งอยู่จงหยวน พื้นกระโจมทั้งหมดถูกปูด้วยพรมเปอร์เซีย แต่อุปการณ์ด้านในทั้งหมดน่าจะมาจากจงหยวน โต๊ะเก้าอี้ไม้สีม่วง เครื่องลายครามประณีต เครื่องเขียนที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ เป็นต้น กระทั่งด้านข้างกระโจมยังมีกู่ฉินแขวนอยู่ เมื่อมองเห็นสิ่งเหล่านี้ หนานกงมั่วพอเข้าใจแล้วว่าไยคนเป่ยหยวนจึงไม่อาจยอมรับอำนาจของกงอวี้เฉินองค์ชายผู้ฉลาดปราดเปรื่องผู้นี้

เมื่อมองเห็นสายตาของหนานกงมั่ว กงอวี้เฉินที่นั่งเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้จึงเอ่ยขึ้น “หากแม้แต่สิ่งของเครื่องใช้ ความชอบอันใดยังไม่อาจเลือกเองได้ ข้าจะเป็นฮ่องเต้เป่ยหยวนไปเพื่ออันใด”

เขายกมือขึ้นปรบมือ ไม่นานองครักษ์ก็ยกสุราอาหารเข้ามา เป็นอาหารรสเลิศและสุราดีจากจงหยวนทั้งหมด

“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง

กงอวี้เฉินมองนาง ยิ้มขึ้นมาทันใด “แม้ข้าจะอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลแร้นแค้น ทว่าได้ยินเรื่องในจงหยวนมาไม่น้อย ดูเหมือนหลายปีมานี้ชีวิตของทั้งสองท่านเองก็มีสีสันอย่างยิ่ง”

หนานกงมั่วย่อมรู้ว่าเขาหมายถึงสิ่งใดจึงยิ้มบางๆ ออกมา “มิสู้ยามที่เจ้าสำนักอยู่”

กงอวี้เฉินเลิกคิ้ว “เอ่ยเช่นนี้ จวิ้นจู่คิดถึงข้าหรือ”

หนานกงมั่วยิ้มไม่เอ่ยวาจา เยาเยามองกงอวี้เฉิน ยิ้มราวกับกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่ แลบลิ้นปลิ้นตาส่งให้กับเขา

สิบปีมานี้ หนานกงมั่วนับว่ามีสีสันมากจริงๆ เมื่อปีที่เยี่ยนอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ แต่งตั้งบุตรชายทั้งสี่ขึ้นเป็นอ๋องทว่าไม่ได้แบ่งเขตปกครอง เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนจย่งก็ช่างเถิด เซียวเชียนเหว่ยกลับไม่อยู่นิ่ง สองปีก่อน ฮองเฮาประชวรหนักฮ่องเต้เห็นแก่หน้าฮองเฮาจึงปล่อยเซียวเชียนเหว่ยออกมา เซียวเชียนเหว่ยเองไม่รู้ว่าทำผิดจนไม่อาจแก้ไขหรือเพราะปลดปล่อยตนเอง สร้างปัญหาให้ฮ่องเต้ไท่ชูและสามพี่น้องไม่หยุดไม่หย่อน เขาไม่ได้สร้างเรื่องใหญ่หลวง เพียงทำให้เจ้าไม่สบายใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แทบอยากเอาเขากลับไปขังไว้อีกครั้ง แต่อย่างไรสองปีมานี้ฮองเฮาก็สุขภาพร่างกายไม่ดีแล้ว อย่างไรก็เป็นสตรีที่อยู่เคียงคู่มาหลายสิบปี ฮ่องเต้ไท่ชูจึงใส่ใจความรู้สึกของนาง แต่ละครั้งจึงทำเพียงดุด่าเซียวเชียนเหว่ยอย่างหนัก เซียวเชียนเหว่ยก็ไม่สนใจและยังคงเป็นเช่นเดิมหลังจากนั้น

น่าเสียดายที่เว่ยจวินมั่วกลับไม่สนใจเล่นสนุกกับพวกเขา หลายปีมานี้ทุกๆ ปีจะพาภรรยาและบุตรสาวท่องไปทั่วหล้าเป็นระยะเวลากว่าครึ่งปี มีเพียงอานอานที่อยู่กับฮ่องเต้ไท่ชู ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางยอมปล่อยเขาออกมา รอจนกลับคืนมา สองสามีภรรยาจึงพบว่าคนที่เล่นสนุกกับเซียวเชียนเหว่ยกลายเป็นอานอานที่อายุสิบกว่าขวบเท่านั้น

เว่ยจวินมั่ววางจอกเหล้าลง เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคิดจะไปจากเป่ยหยวนหรือ”

ได้ยินเช่นนั้น มือที่ถือจอกเหล้าของกงอวี้เฉินพลันชะงัก หรี่ตาลงพร้อมเอ่ย “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร”

เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เสด็จพ่อเตรียมตัวบุกเป่ยหยวนเป็นครั้งที่สามแล้ว”

“อ้อ” ราวกับนิ่งค้างไปชั่วครู่ กงอวี้เฉินเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ท่าทางเกียจคร้าน “ฉู่อ๋องกำลัง…ทำข่าวของกองทัพรั่วไหลหรือ”

เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพียงเตือนเจ้า อยากหนีตอนนี้ก็ยังหนีทัน”

“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าจะไป”

เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ไม่ว่าสิ่งใดเจ้าก็ทิ้งไปได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือ เป่ยหยวนใกล้จะสิ้นสุด ต่อให้ครั้งนี้ราชสำนักเป่ยหยวนไม่ล่มสลาย ก็คงทำได้เพียงถอยไปยังทะเลทรายตะวันตกอันไกลโพ้นเมื่อมีชีวิตต่อ ฮ่องเต้เป่ยหยวนในสภาพเช่นนี้ แน่นอนว่าเจ้าคงไม่เห็นอยู่ในสายตา”

ไม่ว่าสิ่งใดหากทิ้งไปแล้วกงอวี้เฉินก็ไม่นึกเสียดาย ชีวิตของเขาหลอกใช้สิ่งที่หลอกใช้ได้ไม่หยุดไม่หย่อน ทอดทิ้งสิ่งไม่จำเป็นหรือไม่ยุติธรรม บางทีสุดท้ายเขาอาจจะพบว่าคนที่ถูกทอดทิ้งจริงๆ คือตัวเขาเอง แต่ว่าคนอย่างกงอวี้เฉิน บางทีอาจไม่กังวลว่าทั้งโลกจะทอดทิ้งเขา เพราะเขามักมีคนที่ยอมติดตามเขา จึงมีคนหรือสิ่งของเพียงพอให้เขาหลอกใช้

กงอวี้เฉินยกยิ้ม เอ่ย “สมแล้วที่เป็นคุณชายเว่ย ดื่มให้เจ้าหนึ่งจอก”

เว่ยจวินมั่วยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่มเงียบๆ จนหมด

ศัตรูตัวฉกาจของกันและกัน สิบปีต่อมากลับนั่งดื่มสุราด้วยกันในกระโจมใหญ่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้าง ไม่เอ่ยไม่ได้ว่าโลกเปลี่ยนไปมากทีเดียว

สามคนที่แยกกันกว่าสิบปี ดื่มเหล้าพร้อมเอ่ยเล่าเรื่องราวกว่าสิบปีที่ผ่านมา ทำให้หนานกงมั่วนึกถึงครั้งแรกที่เจอเนี่ยนหย่วนอยู่ที่ป่าหลังเขาวัดต้ากวงหมิง

เช้าตรู่วันต่อมา หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วตื่นนอนและเดินออกมาจากกระโจม มองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ แสงแดดอบอุ่นสาดส่องมายังร่างกายของเขา เกิดรัศมีจางๆ ขึ้นมา

“เยาเยาเล่า” เด็กน้อยที่นอนเร็วตื่นเช้าเป็นปกติยามนี้กลับยังไม่ตื่น หนานกงมั่วขมวดคิ้ว

ทั้งสองมองสบตากัน ลอยตัวไปยังกระโจมของเยาเยาที่อยู่ไม่ไกล ในกระโจมว่างเปล่าเรียบร้อย ไม่มีแม้กระทั่งสาวใช้ที่คอยอยู่รับใช้ในกระโจม ทั้งสองลอยตัวออกจากประตูไป เดินไปยังกระโจมของกงอวี้เฉินที่ไกลออกไป ด้านในกลับว่างเปล่าเช่นกัน เพียงแต่บนโต๊ะในกระโจมมีซองจดหมายสองฉบับวางอยู่

หนึ่งฉบับแน่นอนว่าเป็นของกงอวี้เฉิน ผ่านไปสิบปีแล้วลายมือของกงอวี้เฉินกลับดูเป็นอิสระมากขึ้น

‘คนชั่วน้อยผู้นี้ข้าเอาตัวไปแล้ว อย่างไรพวกเจ้าก็มีหลายคน คนนี้มอบให้ข้าเถิด’

จดหมายอีกฉบับเป็นของเยาเยาทิ้งเอาไว้ ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ คนชั่วใหญ่จะพาเยาเยาไปดูบัวศักดิ์สิทธิ์ที่เป่ยหยวน ลูกจะนำมาฝากท่านแม่หนึ่งดอกอย่างแน่นอน รอลูกกลับมา ท่านแม่คงหายโกรธแล้วกระมัง เยาเยาจะนำของขวัญมาฝากพี่ชาย น้องชาย น้องสาว และท่านพ่อท่านแม่นะเจ้าคะ’ ด้านล่างยังมีหน้ายิ้มน่ารัก เห็นได้ว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ได้ถูกบังคับเขียน

นึกถึงเมื่อคืนที่เยาเยาและกงอวี้เฉินนั่งกระซิบกระซาบกันอยู่นาน หนานกงมั่วหงุดหงิดไม่น้อย เยาเยาเจ้าเด็กโง่นี่ รู้ทั้งรู้ว่ากงอวี้เฉินเป็นคนชั่วยังตามเขาไป ไม่กลัวถูกหลอกเลยจริงๆ

“พวกเขาไม่มีม้า พวกเรารีบตามไป” หนานกงมั่วเอ่ย จับตัวกลับมาได้จะต้องสั่งสอนให้หนักๆ หากสามวันไม่ตีคงซนจนไปรื้อกระเบื้องบนหลังคาเป็นแน่

เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วเบาๆ ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ช่างเถิด ให้นางไปเถิด”

หนานกงมั่วตกใจ “ท่านวางใจหรือ”

เว่ยจวินมั่วเอ่ย “หากเขาต้องการทำร้ายเยาเยา คงลงมือไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบุตรีของเจ้ามิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน จับกลับมานางก็หนีอีก มิสู้ปล่อยนางไปเล่นเถิด” เยาเยาไม่เหมือนอานอานที่อยู่อย่างว่าง่ายในจินหลิง เป็นเด็กน้อยที่อยู่ไม่นิ่งมาตั้งแต่เด็ก ติดตามพวกเขามาหลายปีมีประสบการณ์ไม่น้อย ไม่เหมือนสตรีในห้องหอที่เลี้ยงอยู่แต่ในห้อง

หนานกงมั่วครุ่นคิด ปฏิเสธไม่ได้ว่ากงอวี้เฉินถึงจะชั่วร้ายแต่ก็ดีกับเยาเยา หลายปีมานี้ยังส่งของขวัญมาให้เยาเยาอยู่เรื่อยๆ ราวกับคิดว่าเยาเยาเป็นลูกศิษย์เขาแล้วจริงๆ เงียบไปนานจึงเอ่ยว่า “ช่างเถิด รอนางกลับมาก็หายโกรธอย่างนั้นหรือ หึ” รอนางกลับมาต้องเพิ่มบทลงโทษขึ้นอีกหลายเท่า

“พวกเราก็ไปกันเถิด”

“กงอวี้เฉินวางยาม้าของเรา” หลังจากมองสถานที่ที่ผูกม้าเอาไว้ หนานกงมั่วก็กัดฟันเอ่ยขึ้น เพื่อไม่ให้พวกเขาตามทัน กงอวี้เฉินลงทุนไม่น้อย เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ไม่เป็นไร ใกล้ๆ นี้น่าจะมีคนเลี้ยงม้า พวกเราเดินไปสักพักก็เจอ” ครั้งหน้าทางที่ดีกงอวี้เฉินอย่าตกอยู่ในมือของเขา มิเช่นนั้น…

หนานกงมั่วยิ้มบาง หันไปซบลงบนไหล่ของเขา เอ่ย “ครั้งนี้พวกเรากลับจินหลิงกันเถิด ไม่ค่อยได้อยู่กับอานอานนัก เสด็จแม่และเสด็จพ่อเองก็อายุมากแล้ว”

เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเงียบๆ ยื่นมือไปคว้ากอดเอวระหงของนาง แสงแดดอบอุ่นโอบล้อมพวกเขาไว้ด้วยกันราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด