หมอหญิงยอดมือสังหารต้นเถาเยาเยา 20

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter ต้นเถาเยาเยา 20 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ต้นเถาเยาเยา 20

การประลองการต่อสู้ค่อนข้างน่าตื่นเต้น อย่างไรคนที่เซียวจิ่งเสาเลือกมาล้วนไม่ใช่คนไร้ความสามารถ ทุกคนอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้เงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็ต้องเจอ หากพ่ายแพ้จะขายหน้าเพียงใด ต่อให้ตัวพวกเขาไม่สนใจหน้าตา ผู้อาวุโสที่บ้านก็ไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน

หนึ่งในคนเหล่านี้ คนที่ไม่ได้รับการจับตามองนักคือซังเจี้ยวและจวินหนานเยี่ยน จวินหนานเยี่ยนดูเด็กเกินไปไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตา แม้ว่ามีลูกหลานขุนนางเคยถูกเขาทุบตีมาแล้วถึงสามคน แต่คนที่ถูกทุบตีก็ไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องที่ตนเองถูกทุบตีอย่างแน่นอน ส่วนซังเจี้ยวแม้ว่าเขาจะเป็นลูกศิษย์ของหนานกงมั่ว แต่ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาติดตามพระชารารัชทายาทร่ำเรียนตำราและกลอุบาย อย่างไรปีนั้นพระชายารัชทายาทก็เป็นบุคคลเก่งกาจที่สามารถปกครองเมืองได้ด้วยตนเอง แม้ซังเจี้ยวจะเป็นบุตรชายบุญธรรมของแม่ทัพซัง สุดท้ายกลับวิ่งไปสอบขุนนางแล้ว ผู้คนจึงเข้าใจว่าเขาเป็นสุภาพชน

ฮ่องเต้ไท่ชูไม่ได้กำหนดว่าต้องต่อสู้อย่างไร ดังนั้นแรกเริ่มจึงเป็นการต่อสู้แบบหมู่ นอกจากฉินหล่างที่ถอนตัวตั้งแต่ต้น เก้าคนที่เหลือเข้ามาอยู่ในลานประลองเลือกคู่ต่อสู้ได้ตามใจ ต่อสู้จนอีกฝ่ายยอมแพ้หรือล้มไปเท่านั้น สามคนสุดท้ายที่เหลืออยู่จะได้รับการทดสอบจากองค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาท

เริ่มต้นซังเจี้ยวและจวินหนานเยี่ยนก็ถูกจับจ้องแล้ว หลักการบีบลูกพลับต้องเลือกบีบลูกที่อ่อนกว่าใครๆ ต่างเข้าใจเป็นอย่างดี แน่นอนว่าต้องเอาสองคนที่ดูไม่น่าไหวสองคนนี้ออกไปก่อนค่อยมาประลองเพื่อไม่ให้พวกเขามาขวางมือขวางเท้า

ด้วยเหตุนี้ ในตอนที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งพุ่งหมัดมายังจวินหนานเยี่ยน หมัดนั้นกลับหยุดชะงักลงเมื่อห่างจากใบหน้าของจวินหนานเยี่ยนเพียงไม่ถึงสองชุ่น สิ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดมือคู่นั้นคือมือที่ดูไม่ได้ใหญ่ไม่ได้หนาคว้าข้อมือของเขาไว้ เขาตกใจมากเพียงใดไม่ต้องบอกก็รับรู้ได้

เด็กหนุ่มใช้กำลังเพื่อจะดึงมือของตนกลับ แต่มือนั้นจับข้อมือเขาเอาไว้แน่นราวกับเหล็กทำให้เขาไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ อีกทั้งยังเจ็บปวดอีกด้วย

“เจ้า!”

มือของจวินหนานเยี่ยนออกแรงเล็กน้อย จับเด็กหนุ่มคนนั้นโยนออกไป คนอื่นรอบข้างเห็นเช่นนั้นจึงรุมล้อมเข้ามา

เด็กคนนี้ดูอ่อนแอ ที่แท้เป็นตอแข็งหรอกหรือ ทุกคนลุยพร้อมกัน

คนทั่วไปเข้าวังไม่อาจพกอาวุธ จวินหนานเยี่ยนหักกิ่งไม้จากแปลงดอกไม้ด้านหลังมาฟาดไปยังคนที่พุ่งเข้าหาตนเอง กิ่งไม้ในมือของเขาทั้งอ่อนนุ่มและแข็งแกร่ง บางครั้งก็เหมือนแส้อ่อนบางครั้งก็เหมือนกระบี่ยาว เหวี่ยงไปมาอย่างอิสระ ต่อสู้กับผู้คนมากมายที่บุกเข้ามาโดยไม่อ่อนข้อแม้เพียงนิด

อีกด้านกลับกลมเกลียวกันมาก เฉินอวิ๋นเจินและจูเหมิงมองซังเจี้ยวที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าตน เคาะปลายจมูกเบาๆ เอ่ยถามด้วยความเกรงอกเกรงใจ “พี่ซังเจี้ยว ท่านดู…”

ซังเจี้ยวมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณชายเฉิน คุณชายจู เชิญ”

จูเผิงหัวเราะ เอ่ย “พี่ซัง พวกเราคนกันเองทั้งนั้น สนุกสนานกันเล็กน้อยก็พอแล้ว” ความหมายคือ สู้กันสักตาก็พอ พวกเรายอมท่าน ดูเพียงว่าใครจะล้มก่อนตามเวลาก็พอแล้ว

ซังเจี้ยวเองก็ไม่ปฎิเสธ เพียงเอ่ย “เชิญ”

จูเผิงและเฉินอวิ๋นเจินเข้าใจว่าพวกเขาได้ทำข้อตกลงกับซังเจี้ยวแล้ว มองสบตากันเล็กน้อยก็พุ่งเข้าหาซังเจี้ยว ท่าทางดูแข็งแกร่ง เพียงแต่กำลังหนักหน่วงเพียงใดตัวเขารู้ดี หากพวกเขาสองคนร่วมมือยังเอาชนะซังเจี้ยวไม่ได้ นั่นเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้เรื่อง ฝ่าบาทต้องไม่ถูกตาพวกเขาอย่างแน่นอน กระทั่งครอบครัว…พวกเขาก็ทำความเข้าใจมาก่อนแล้ว ตระกูลจูและตระกูลเฉินไม่จำเป็นต้องอาศัยการแต่งงานกับว่าที่องค์หญิงเชื่อมความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทและหวงจั่งซุน

ไม่นานพวกเขาก็รู้ว่าตนเองคิดผิดแล้ว

ซังเจี้ยวดูเป็นปัญญาชน แต่ว่าเขา…อย่างไรก็มีหนานกงมั่วและซังหรงสั่งสอนมาด้วยตนเอง กระทั่งยังมีเว่ยจวินมั่วที่แนะนำสั่งสอนบ้างเป็นบางครั้ง ดังนั้นเอ่ยถึงเพียงวรยุทธ์ ซังเจี้ยวไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดฝีมือหนุ่มคนใด กระทั่ง…แข็งแกร่งกว่า

“โอ้ พี่ซัง ท่านเล่นจริงหรือ” จูเผิงไม่ทันระวังถูกฝ่ามือปะทะเข้าที่ไหล่ แขนทั้งแขนชายิบ

ซังเจี้ยวเลิกคิ้วเล็กน้อยไม่เอ่ยตอบ เดิมทีพวกเขาเพียงอยากแสดงไปอย่างนั้นพลันต้องตื่นตัวขึ้นมา พวกเขาไม่ตื่นตัวไม่ได้ เพราะกำลังของซังเจี้ยวนั้นเกินกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้ อีกทั้งเขาลงมือว่องไวไม่มีความปรานี หากยังออมมือคงต้องรอให้เขาจัดการเท่านั้นแล้ว

แม้จะเป็นจวินหนานเยี่ยนและซังเจี้ยวที่ถูกล้อมโจมตี แต่คนที่กดดันกลับเป็นคนที่มารุมจู่โจมพวกเขา อีกฝั่งเริ่มเสียใจอยู่ในใจว่าตนเองเลือกลูกพลับผิด อีกฝั่งกลับแอบไม่พอใจที่ตนรู้จักซังเจี้ยวมานานหลายปีทว่าไม่คิดว่าซังเจี้ยวนั้นจะเป็นเสือซ่อนเขี้ยวเล็บ

สองคนนี้ราวกับลืมไปแล้ว เมื่อนานมาแล้วซังเจี้ยวยังเคยไปท่องยุทธภพพร้อมกับเยาเยา คงไม่ให้เยาเยาต้องคอยปกป้องเขากระมัง

การต่อสู้ผ่านไปเกือบสองเค่อ ผู้คนรับชมพร้อมโห่ร้องอย่างออกรสออกชาติ สุดท้ายผู้ที่ยังยืนอยู่ได้มีเพียงจวินหนานเยี่ยน ซังเจี้ยว และจูเผิงที่ดวงชะตาเกือบสิ้นสุดแล้ว จูเผิงมองทั้งสองอย่างงุนงงจากนั้นหันมามองเฉินอวิ๋นเจินที่นอนอยู่แทบเท้าของตน เจ้าอย่าตั้งใจนอนให้ชัดเจนเกินไปได้หรือไม่

จูเผิงแค่นยิ้มแห้งสองครั้ง ก้าวถอยหลังแสดงออกว่าตนเองเป็นที่สามก็พึงพอใจแล้ว ที่หนึ่งและที่สองก็ยกให้เป็นของเทพทั้งสองแล้ว แม้เขาไม่เคยต่อสู้กับจวินหนานเยี่ยนมาก่อน แต่เพียงมองกลุ่มคนที่กองเต็มพื้นแทบเท้าของเขาก็รู้แล้วว่าเพื่อนใหม่ของเยาเยาคนนี้เหี้ยมโหดเพียงใด เขายังไม่ได้ต้องการชิงภรรยา ไยต้องพาตนเองไปเจ็บตัวเล่า

เยาเยาที่นั่งอยู่ด้านบนมองซังเจี้ยวและจวินหนานเยี่ยนนิ่งอึ้ง

นี่มันอันใดกัน หรือว่านางต้องแต่งกับจูเผิงหรือ

นิ้วมือของหนานกงมั่วเคาะเบาๆ ลงบนพนักวางมือ เอ่ยเสียงเรียบ “หากอาเจี้ยวยอมถอย คุณชายจวินก็เป็นที่หนึ่งแล้ว ได้ยินว่าการประลองความรู้ของเขาก็ไม่เลว เยาเยา เจ้าอยากให้อาเจี้ยวยอมถอยหรือไม่”

เยาเยารู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นกระหน่ำขึ้นมา สับสนวุ่นวายอยู่ในหัว

หากพี่อาเจี้ยวถอย นางจะดีใจหรือไม่

“คุณชายจวิน”

“ใต้เท้าซัง”

คนหนึ่งหล่อเหลา คนหนึ่งยังดูเด็ก ยืนเผชิญหน้าและพยักหน้าให้กัน

สีหน้าซังเจี้ยวนิ่งสงบแต่หัวใจกลับไม่ได้สงบดีนัก เขาเข้าใจดี ขอเพียงเขายอมถอยหนึ่งก้าวอย่างจูเผิง ต่อไปอาจารย์และรัชทายาทก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก มาถึงตอนนี้ไม่ว่าเขาจะสู้จนพ่ายแพ้หรือยอมแพ้ ก็ไม่นับว่าขายหน้า เดิมควรจบลงอย่างสวยงามทั้งสองฝ่าย แต่เท้าที่ควรก้าวถอยกลับไม่ยอมขยับแม้เพียงนิด

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด…ที่หัวใจของเขามีความปรารถนานี้

“ใต้เท้าซัง เชิญ”

“เชิญ” ซังเจี้ยวเอ่ย

กระบี่สองเล่มถูกโยนเข้ามาจากด้านข้าง ทั้งสองยื่นมือไปรับกระบี่ยาว แสงสะท้อนออกมาน่าเกรงขาม

ซังเจี้ยวได้รับการสั่งสอนจากหนานกงมั่วและซังหรงมาตั้งแต่เด็ก วรยุทธ์ของหนานกงมั่วเอาชนะด้วยความรวดเร็วว่องไว ทว่าซังหรงที่เป็นแม่ทัพนั้นเอาชนะด้วยความหาญกล้าดุร้าย ซังเจี้ยวกลับสามารถหลอมรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แม้ด้วยอายุของเขาในตอนนี้นับว่าเป็นที่สุดแล้ว แต่วันเวลาผ่านไปก็กลายเป็นมีเอกลักษณ์ของตัวมันเอง น่าเสียดายที่ซังเจี้ยวไม่ได้มีความทะเยอทะยานในด้านนี้ เป็นเรื่องยากที่เขาจะย่างเข้าไปเหยียบในโลกของยอดฝีมืออันดับหนึ่ง

แต่ว่าทั้งหมดก็เพียงเท่านี้

แม้จวินหนานเยี่ยนจะได้รับการศึกษาที่ดีจากครอบครัวและมีอาจารย์ที่ดีมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาอายุน้อยกว่าซังเจี้ยวไปหลายปี สองปีมานี้ยังนอนป่วยอยู่บนเตียง แม้กำลังภายในจะแข็งแกร่งทว่าไม่อาจได้เปรียบมากนัก

หากบอกว่าการต่อสู้เมื่อครู่เป็นเพียงการใช้หมัดมวย ครั้งนี้ต่างหากที่เป็นการต่อสู้ด้วยกระบวนท่ายอดฝีมืออย่างแท้จริง เห็นเพียงกระบี่ยาวสะท้านไหว ร่างแข็งแกร่งทั้งสองไม่ท้อถอยลดละ ชั่วพริบตาก็ผ่านไปมากกว่าร้อยกระบวนท่า

ฮ่องต้ไท่ชูมองไปยังพวกเว่ยจวินมั่วสองสามีภรรยา เลิกคิ้วพลางเอ่ย “เด็กคนนั้นคือนายน้อยเมืองจูเชวี่ยที่เยาเยาเจอเมื่อครั้งออกเดินทางหรือ”

เว่ยจวินมั่วพยักหน้า ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ย “อายุน้อยแต่มีฝีมือเพียงนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ หากอยู่ในกองทัพ เกรงว่าคงเป็นแม่ทัพที่เหี้ยมโหด”

หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อ ท่านเจ้าเมืองจูเชวี่ยมีบุตรชายเพียงคนเดียว หากให้เขามาอยู่ในกองทัพกิจการที่บ้านจะทำเช่นไรเพคะ”

ฮ่องเต้ไท่ชูเพียงชื่นชอบคนมีความสามารถไม่ได้คิดอยากได้เขามาจริงๆ อย่างไรยามนี้ในราชสำนักก็ไม่ขาดแม่ทัพผู้มีชื่อเสียง คนหนุ่มอายุน้อยมีความสามารถก็มีไม่น้อย

“ลูกศิษย์ผู้นั้นของเจ้าก็ไม่เลว ข้านึกว่าเขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเสียอีก” ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ย

หนานกงมั่วเอ่ย “เสด็จพ่อลืมแล้วหรือ แม่ทัพซังหรงเป็นพ่อบุญธรรมของเขานะเพคะ ต่อให้หม่อมฉันอยากเลี้ยงเขาให้เป็นปัญญาชน ก็คงยากที่จะคุยกับแม่ทัพซังหรงได้นะเพคะ” ฮ่องเต้ไท่ชูส่ายศีรษะ หันไปมองจูเผิงที่ยืนชมอย่างตื่นเต้นอยู่ด้านข้างพลางส่ายศีรษะ เจ้าเด็กตระกูลจูก็ไม่ได้ด้อย แต่เมื่อเทียบกับซังเจี้ยวและจวินหนานเยี่ยนยังไม่เยี่ยมยอดนัก อีกทั้งเขายอมถอยด้วยตนเอง บ่งบอกว่ารู้ความสามารถของตนเองดี ไหนเลยจะไม่ใช่เพราะไม่มีใจแต่งกับจวิ้นจู่เล่า

จวิ้นจู่ในเชื้อพระวงศ์นั้นไม่มีทางไม่ได้แต่งออกเรือน ต่อให้ฮ่องเต้ไท่ชูรีบร้อนเพียงใดก็ไม่อาจยกนางให้แต่งกับคนที่ไม่ต้องการแต่งกับนาง

การต่อสู้ในลานประลองยังคงดำเนินต่อไป ใบหน้าของซังเจี้ยวและจวินหนานเยี่ยนเคร่งขรึมขึ้น การออกกระบวนท่าเองก็ดุเดือดรุนแรงขึ้นมา หนานกงมั่วที่นั่งอยู่ด้านบนขมวดคิ้ว เยาเยาเองก็ตึงเครียดขึ้นมาด้วย จับมือหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่…”

หนานกงมั่วหันไปลูบหลังมือของบุตรสาว เอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นไร” นางหันกลับมาหาเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วพยักหน้าบ่งบอกว่าไม่ต้องกังวล

กระบี่ในมือของจวินหนานเยี่ยนแทงไปยังซังเจี้ยวอีกครั้ง ซังเจี้ยวไม่หลบหลีกเผชิญหน้าเข้าไป กระบี่ในมือเองก็พุ่งตรงไปยังฝ่ายตรงข้าม ทันทีที่กระบี่ทั้งสองปะทะกันมือที่จับกระบี่พลันสั่นสะเทือน ทั้งสองมองสบตากันด้วยความตกใจ เห็นได้ว่าไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเพียงนี้

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครคิดล่าถอย

ร่างสองร่างต่อสู้พันพัวกันอยู่ชั่วครู่ก็แยกจากกัน จากนั้นการต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้น

“อา!” ผู้คนร้องขึ้นด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้

กระบี่ทั้งสองตรงเข้าหาหน้าอกของอีกฝ่ายด้วยความรุนแรงเทียบเท่าที่ผ่านมา

เสียงชิ้งดังผ่าอากาศเข้ามา คลื่นพลังกระบี่กระทบเข้ากับปลายกระบี่ของซังเจี้ยว กระบี่ของซังเจี้ยวร่วงหล่นชนเข้ากับกระบี่ของจวินหนานเยี่ยนแล้วร่วงลงพื้นไปด้วยกัน

ความเงียบเข้าปกคลุมลานประลอง เนิ่นนานจึงได้ยินเสียงเว่ยจวินมั่วเอ่ยราบเรียบ “เสมอ”

ซังเจี้ยวก้มลงไปมองกระบี่ที่ร่วงอยู่บนพื้น จากนั้นหันมามองมือที่ว่างเปล่าของตน เมื่อครู่เขาเกือบหยุดมือตนเองไม่ได้…หากทำให้จวินหนานเยี่ยนบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ เยาเยาคงต้องรู้สึกผิดแล้ว

จวินหนานเยี่ยนเอ่ยเสียงหนัก “เป็นกระหม่อมที่พ่ายแพ้แล้ว”

พลังกระบี่ของเว่ยจวินมั่วเลือกที่จะปะทะเข้ากับกระบี่ของซังเจี้ยวไม่ใช่ตัดสินใจจากตำแหน่งการยืนของพวกเขา แต่หากองค์รัชทายาทไม่ลงมือ เขาคงได้รับบาดเจ็บก่อนซังเจี้ยวอย่างแน่นอน กระบี่ของซังเจี้ยวเร็วกว่าเขา

เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วเบาๆ มองไปยังจวินหนานเยี่ยน “เจ้ามั่นใจหรือ”

จวินหนานเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่ พยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น

สายตาของเว่ยจวินมั่วมีความชื่นชมพาดผ่าน พยักหน้าแล้วจึงเอ่ย “ดี ซังเจี้ยวลำดับที่หนึ่ง จวินหนานเยี่ยนลำดับที่สอง จูเผิงลำดับที่สาม”

ฮ่องเต้ไท่ชูพยักหน้าพึงพอใจ เอ่ย “ดีมาก ส่วนรอบที่สามจะกำหนดอย่างไรเป็นเรื่องขององค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาทแล้ว วันนี้ทุกคนทำออกมาได้เยี่ยมยอม ข้าขอชื่นชม ทหาร ถ่ายทอดคำสั่ง”

ฮ่องเต้ไท่ชูมีคำสั่งให้ประกาศลำดับการประลองความรู้ ซังเจี้ยวลำดับที่หนึ่ง ฉินหล่างลำดับที่สอง จวินหนานเยี่ยนเองก็อยู่ในลำดับที่ห้า นอกจากนี้ยังมีการประทานรางวัล ผู้ที่มีคะแนนการสอบและการประลองวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมต่างก็ได้รับรางวัลไม่น้อย คนอื่นๆ ที่เหลือแม้ไม่มีรางวัล แต่ฮ่องเต้ไท่ชูก็ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจแต่อย่างใด ยังชื่นชมพวกเขา ทุกคนล้วนพึงพอใจ

จากนั้นฮ่องเต้ไท่ชูก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้าด้านในวังหลวงไป เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วแน่นอนว่าตามกลับไปด้วยเหลือไว้เพียงเซียวจิ่งเสาคอยจัดการส่วนที่เหลือ กระทั่งสุดท้ายจวิ้นหม่าจะเป็นใคร ยังต้องรอรัชทายาทและพระชายารัชทายาทเป็นคนกำหนด สำหรับเมื่อไหร่ที่ทั้งสองจะกำหนดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องยุ่งแล้ว

เซียวจิ่งเสามองเยาเยาที่สาวเท้าเข้าไปหาซังเจี้ยวและจวินหนานเยี่ยนอย่างรวดเร็ว เคาะปลายจมูกอย่างจนใจ ไหวไหล่ทำงานต่อไป ต่างว่ากันว่าเขาเป็นหลานที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดในบรรดาองค์ชายและหลานทั้งหลาย คำนี้ไม่ผิดจริงๆ แต่บางครั้งเซียวจิ่งเสาก็รู้สึก คำว่าโปรดปรานที่สุดของเขายังมีแบ่งแยก เขาถูกให้ความสำคัญก็จริงแต่งานใดที่ยุ่งยากที่เหน็ดเหนื่อย เสด็จปู่และท่านพ่อต่างก็โยนมาให้เขาทำ ไหนเลยจะสบายเหมือนเยาเยาที่ได้รับเพียงความโปรดปรานเอาอกเอาใจเพียงอย่างเดียวเล่า

“พี่อาเจี้ยว จวินหนานเยี่ยน พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

ซังเจี้ยวส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ทำให้เยาเยาตกใจหรือไม่”

เยาเยาจนใจ เอ่ย “พวกท่านจริงจังเพียงนั้นทำไมกัน แสร้งหลอกเสด็จปู่เล็กน้อยก็พอแล้ว เขาดูไม่ออกสักหน่อย ท่านดูจูเผิงสิฉลาดเพียงใด”

จูเผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดไม่ออก รีบเอ่ยล้างความเข้าใจ “จวิ้นจู่ให้ความเป็นธรรม ข้าไม่กล้าหลอกฝ่าบาทหรอก” แสร้งหลอกฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ นั่นโทษตายเลยนะ เขายังไม่เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่สักหน่อย

เยาเยากลอกตา “เสด็จปู่ไม่ได้ใจแคบเพียงนั้น เจ้าไม่เห็นหรือว่าเสด็จปู่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ก็ไปแล้ว”

จูเผิงเคาะปลายจมูก เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “เช่นนั้นฝ่าบาทหมายความเยี่ยงไรหรือ”

เยาเยาแลบลิ้นปลิ้นตาไม่เอ่ยสิ่งใด นางคงไม่อาจบอกได้ว่าเพราะนางทำให้เสด็จปู่โกรธจึงต้องให้นางแต่งออกเรือนไปกระมัง สองวันมานี้ไม่รู้ทำไมความโกรธจึงลดลง ท่านพ่อท่านแม่เและอานอานเอ่ยอันใดก็ยอมฟังแล้ว ไม่ได้ยืนยันที่จะเลือกสักคนให้นางแต่งออกเรือนทันทีทันใดแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอันใดนี่นา ถือเสียว่าให้เสด็จปู่ได้ชมความสามารถของเด็กหนุ่มในเมืองหลวง

“จวินหนานเยี่ยน เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เยาเยาเอ่ยถาม

จวินหนานเยี่ยนยิ้มบาง “ไม่เป็นไร ไม่ได้บาดเจ็บ”

เยาเยาพยักหน้า “ก็ดี ผ่านวันนี้ไปในเมืองหลวงก็ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีกแล้ว” เห็นความสามารถของจวินหนานเยี่ยนแล้ว หากคนพวกนั้นมีสมองคงไม่พาตนเองไปตายอย่างแน่นอน

“ถวายพระพรจวิ้นจู่ คารวะใต้เท้าซัง” ขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา เอ่ยอย่างนอบน้อม

เยาเยาเห็นว่าเป็นคนข้างกายเสด็จปู่ จึงรีบเอ่ยถาม “เสด็จปู่มีเรื่องอันใดหรือ”

ขันทีส่ายศีรษะ เอ่ย “ตอบจวิ้นจู่ ฝ่าบาทไม่มีอันใด เป็นองค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาทที่ให้บ่าวมาแจ้งข่าว องค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาทออกจากวังไปแล้ว องค์รัชทายาทเอ่ยเชิญใต้เท้าซัง คุณชายจวิน คุณชายจู มาที่จวนรัชทายาทในอีกสามวันข้างหน้าขอรับ”

ซังเจี้ยวพยักหน้า “ขอบคุณมาก พวกข้ารู้แล้ว”

ขันทีค้อมศีรษะกล่าวลา มองเขาเดินไกลออกไปแล้วจูเผิงจึงเอ่ยพึมพำเสียงเบา “ข้าก็ต้องไปหรือ”

เยาเยาเหลือบตามองเขา เอ่ยเย่อหยิ่ง “เจ้าจะไม่ไปก็ได้”

จูเผิงตัวสั่น รู้สึกว่าสีหน้าของเยาเยาไม่เป็นมิตร รีบเอ่ยบอก “ข้าไปดีกว่า หาได้ยากที่องค์รัชทายาทจะเรียกเข้าพบเลยนะ…”

เยาเยาส่งเสียงหยัน “นับว่าเจ้ายังฉลาด” ซังเจี้ยวมองจูเผิงที่แทบม้วนตนเองเป็นก้อนกลมอย่างเอือมระอา เอ่ยกับเยาเยา “เอาล่ะ เจ้าอย่าได้รังแกคุณชายจูนัก”

เยาเยาเอ่ย “ข้าไม่ได้รังแกเขา เป็นเขาเองต่างหากที่จอมปลอม”

ซังเจี้ยวไม่เข้าใจ “จอมปลอมหรือ”

เยาเยาเชิดปลายคางมองสำรวจจูเผิง “คุณชายจู ข้าเอ่ยได้หรือไม่”

จูเผิงยิ้มแห้งสองครั้ง เอ่ย “จวิ้นจู่ พวกเราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันนะ”

“พี่น้องที่ดีหรือ” เยาเยาเอ่ย “พี่น้องที่ดีใส่ร้ายข้าว่ารังแกเจ้าทุกวันหรือ” บุรุษผู้นี้เก่งที่สุดคือการทำตัวขี้ขลาด

จูเผิงประจบประแจง เอ่ย “ที่ใดกันเล่า พวกเรามีมิตรภาพเช่นไร คนพวกนั้นล้วนตาไม่มีแวว จวิ้นจู่อย่าได้เป็นเหมือนพวกเขา”

“…” ซังเจี้ยว

เยาเยาหรี่ตาลง “เจ้ากล้าบอกว่าพี่อาเจี้ยวของข้ามีตาไม่มีแววหรือ”

“…” คุณชายจูพูดไม่ออกน้ำตาแทบไหลออกมา สายตาขอความช่วยเหลือมองไปยังฉิงหล่างและเฉินอวิ๋นเจิน

ฉินหล่างเงยหน้ามองฟ้า ท้องฟ้าสดใสดีจัง

เฉินอวิ๋นเจินก้มหน้ามองพื้น มดตัวนี้ช่างหล่อเหลายิ่งนัก

เพียงแต่…จูเผิงผู้นั้นถูกเยาเยาจับผิดอันใดอยู่ถึงได้ระมัดระวังเพียงนี้กัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด