หมอหญิงยอดมือสังหารต้นเถาเยาเยา 4

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter ต้นเถาเยาเยา 4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ต้นเถาเยาเยา 4

กงอวี้เฉินรีบหยิบยาออกมาให้เด็กหนุ่มกิน ไม่รู้เขาใช้ยาอันใด ยาออกฤทธิ์ได้เป็นอย่างดี ไอเย็นยะเยือกบนร่างกายของเด็กหนุ่มค่อยๆ หายไป แม้ใบหน้ายังขาวซีดทว่าไม่ได้ขาวหมองเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ในที่สุดเขาก็ดูมีชีวิตชีวาเหมือนคนขึ้นมา

“เด็กน้อย” กงอวี้เฉินที่นั่งจับชีพจรเด็กน้อยอยู่ขอบเตียงหันกลับมากระดิกนิ้วเรียกนาง เยาเยามองเขาอย่างระมัดระวัง “ทำไมหรือ”

กงอวี้เฉินเอ่ย “บนตัวเจ้ามีหยกลายอัคคีอยู่หนึ่งชิ้น เอาออกมาให้ศิษย์น้องเจ้ายืมสักหน่อย”

เยาเยายู่ปากอย่างไม่พอใจ “เรื่องอันใดเล่า”

กงอวี้เฉินเอ่ย “เข้ามาในเมืองจูเชวี่ยยังไม่เชื่อฟัง เชื่อหรือไม่ว่าข้าทำให้เจ้าไม่ได้ออกไปชั่วชีวิตได้”

เยาเยาแลบลิ้นปลิ้นตา หัวเราะพลางเอ่ย “ข้าไม่เชื่อ ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำให้คนเมืองจูเชวี่ยตายวันละร้อยคนได้”

กงอวี้เฉินนึกถึงหนอนอาไป๋ที่อยู่บนตัวนาง อย่าว่าเลย…เด็กคนนี้ทำได้จริงๆ

เจ้าเมืองจูเชวี่ยที่อยู่ด้านข้างเองก็ทำตัวไม่ถูก แม้เมืองจูเชวี่ยของพวกเขาจะมีโจรอยู่จริงๆ แต่ก็สังหารแม่นางน้อยน่ารักเพื่อแย่งของของนางไม่ลง

จวินฉิงเทียนก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นประสานแก่เยาเยา “แม่นาง บุตรชายของข้าป่วยหนัก ขอใช้หยกลายอัคคีกับแม่นาง ข้าน้อยยินดีจ่ายชดเชยด้วยทุกสิ่ง” มองบิดาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและวิงวอน เยาเยากะพริบตา หยิบหยกสีเลือดหนึ่งชิ้นออกมายื่นให้ “เจ้าเมืองจวินไม่ต้องทำเช่นนี้ หากท่านรีบใช้ก็เอาไปใช้ก่อนเถิด นี่ก็ไม่ใช่ของสำคัญอันใด”

จวินฉิงเทียนรับหยกมาด้วยความซาบซึ้ง หยกลายอัคคีเป็นหยกอุ่นชั้นสูง คงต้องเอ่ยว่าหยกอุ่นไม่เพียงพอที่จะบรรยายถึงได้ เพียงรับมาอยู่ในมือก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นส่งเข้าสู่ร่างกาย ทว่าไม่มีความรู้สึกร้อนเกินไป เดิมทีหยกลายอัคคีไม่นับว่าหายาก ด้วยความสามารถของเมืองจูเชวี่ยหาหยกลายอัคคีหนึ่งชิ้นไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก แต่จะหาหยกลายอัคคีที่มีคุณภาพและขนาดเช่นนี้นับว่ายากจะพบได้ แม่นางผู้นี้มอบให้กลับไม่มีท่าทีเสียดาย เกรงว่าคงมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา

กงอวี้เฉิงส่งเสียงหยันในลำคออย่างไม่พอใจ ยังคงรับหยกลายอัคคีมาจากมือของจวินฉิงเทียนส่งให้เด็กหนุ่มคนนั้น เอ่ย “ห้อยเอาไว้ก่อน มียาของข้า ทั้งยังมีหยกลายอัคคี คงจะอยู่ได้สักสามเดือน”

ใบหน้าของจวินฉิงเทียนพลันซีด “สาม…สามเดือนหรือ” เช่นนั้นหลังจากสามเดือน…

กงอวี้เฉินเอ่ย “ความสามารถของข้ามีเพียงเท่านี้ อาการป่วยของหนานเยี่ยน เท่าที่ข้ารู้บนโลกใบนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่รักษาได้”

จวินฉิงเทียนรีบขอคำชี้แนะ กงอวี้เฉินเอ่ย “คุณชายเสียนเกอ”

จวินฉิงเทียนถอนหายใจ เอ่ย “วิชาการแพทย์ของคุณชายเสียนเกอข้าน้อยมีหรือจะไม่รู้ แต่สองปีก่อน คุณชายเสียนเกอพาฮูหยินไปจากต้าเซี่ยท่องไปทุกสารทิศ ไปมาไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าอีกท่านคือผู้ใด”

กงอวี้เฉินถอนหายใจ เอ่ย “อาจารย์ลุงของคุณชายเสียนเกอ อาจารย์ของพระชายารัชทายาทองค์ปัจจุบัน”

“เอ่อ…” วิชาการแพทย์ของคุณชายเสียนเกอไร้ผู้เปรียบได้ ได้ข่าวว่าวิชาการแพทย์ของพระชายารัชทายาทเองก็ไม่ได้ด้อย แต่น้อยนักจะมีคนรู้ว่าอาจารย์ของทั้งสองคนนี้คือผู้ใด จวินฉิงเทียนลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงกัดฟันเอ่ย “ข้าน้อยจะไปเมืองหลวงสักครั้ง” นอกจากไปเมืองหลวงหาพระชายารัชทายาท ก็ไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์ของหนานกงมั่วอยู่ที่ใด แต่ว่าในเมื่อเป็นพระชายารัชทายาทของแผ่นดิน ย่อมไม่ได้เข้าพบได้ง่ายเพียงนั้น ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นอาจจำต้องบุกเข้าหา จวินฉิงเทียนไม่วางใจให้ผู้ใต้บัญชาไป เกิดล่วงเกินพระชายารัชทายาท เช่นนั้นก็ลำบากแล้ว

กงอวี้เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย “ร่างกายของหนานเยี่ยน ไม่อาจไปกับท่านได้ หากฝืนพาเขาเดินทางเร่งรีบ เกรงว่าพวกท่านยังไม่ถึงเมืองหลวงเขาก็…”

จวินฉิงเทียนไม่ลังเล เอ่ย “คงต้องรบกวนท่านเฉิงดูแลเยี่ยนเอ๋อร์สักพัก ข้าน้อยจะเชิญท่านหมอเทวดามาภายในสามเดือนอย่างแน่นอน”

เยาเยาที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาปริบ อ้าปากอยากเอ่ยอันใดบางอย่าง ทว่าถูกกงอวี้เฉินจ้องเขม็ง เยาเยามองเด็กหนุ่มหน้าซีดก่อนจะยักไหล่ อย่างไรตอนนี้ท่านตาก็อยู่เมืองหลวง เจ้าเมืองจูเชวี่ยต้องการขอความช่วยเหลือการรักษาก็ต้องเดินทางไปสักครั้ง นางจึงไม่เอ่ยมากความ เพียงแต่…มองไปยังกงอวี้เฉินด้วยความสงสัย คนชั่วใหญ่ผู้นี้คงไม่ได้คิดหลอกอาจารย์ตามาทำอันใดหรอกกระมัง

แน่นอนกงอวี้เฉินมองเห็นความสงสัยในเบื้องลึกของดวงตาเยาเยา เลิกคิ้วทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด

เมื่อดื่มยาแล้ว ทั้งยังมีหยกลายอัคคีคุ้มกันร่างกาย เด็กหนุ่มผู้นั้นจึงดีขึ้นมากแล้ว จวินฉิงเทียนจึงพากงอวี้เฉินออกไปพูดคุย กงอวี้เฉินเอ่ยกับเยาเยาด้วยรอยยิ้ม “เล่นเป็นเพื่อนศิษย์น้องของเจ้าเถิด”

เยาเยาแลบลิ้นปลิ้นตาให้เขา ทว่าไม่ได้ปฏิเสธ

รอจนกระทั่งผู้ใหญ่ออกไปแล้ว เมื่อทั้งห้องมีเพียงสองคนจึงสงบลงไปบ้าง เด็กหนุ่มคนนั้นมองเยาเยาทว่าไม่เอ่ยวาจา เพียงนั่งเงียบอยู่ตรงนั้น เยาเยามองพิจารณาเขาอย่างแปลกใจ เห็นเขาไม่เอ่ยวาจาจึงเข้าหา ไม่คิดว่าเด็กคนนั้นที่ดูเหม่อลอยกลับตอบสนองเร็วไว เยาเยายังไม่แตะถึงตัวเขา เขาก็เบี่ยงตัวหลบไป

เยาเยาหยุดชะงักกลางอากาศอย่างกระอักกระอ่วน เด็กหนุ่มเอ่ย “แม่นางอย่าได้เข้ามาใกล้ ร่างกายของข้าเย็นยะเยือกไม่ดีต่อร่างกาย”

แม้จะดูซูบผอมน้ำเสียงกลับน่าฟัง เยาเยานั่งอยู่ข้างเขาไม่ไกล เอ่ย “เจ้าชื่อจวินหนานเยี่ยนหรือ เจ้าป่วยเป็นโรคอันใด ให้ข้าดูได้หรือไม่”

เด็กหนุ่มตกใจเล็กน้อย “เจ้ารู้วิชาการแพทย์หรือ”

เยาเยาส่งเสียงหึอย่างภาคภูมิใจ ยื่นมือเล็กออกมา

เด็กหนุ่มลังเลอยู่ชั่วครู่ ทว่าไม่ได้ปฏิเสธ เพิ่งสัมผัสข้อมือของเขา ความเย็นยะเยือกก็ส่งผ่านปลายนิ้วมา หากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้ยังนั่งอยู่ดีอยู่ตรงนี้ เกรงว่าเยาเยาคงคิดว่าเขาเป็นคนตายแล้ว ตรวจดูให้ละเอียด ที่เด็กหนุ่มผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งคอยดูแลอวัยวะภายในและหลอดเลือด หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาคงแข็งเป็นก้อนน้ำแข็งไปนานแล้ว

เยาเยาเก็บมือกลับแล้วจึงเอ่ย “เจ้าไม่ได้ป่วย แต่บาดเจ็บอย่างนั้นหรือ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า “เดือนสิบปีที่แล้วถูกกระบี่น้ำแข็งแทงเข้าที่หัวใจ หลังจากตื่นขึ้นมาบาดแผลหายแล้วทว่านับวันยิ่งหนาว”

“กำลังภายในของเจ้าดีมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีกำลังภายในที่ดี คงจะตายไปนานแล้ว”

เด็กหนุ่มยิ้มขมขื่นทำอันใดไม่ได้ อาจารย์ก็บอกว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ แต่เดิมทีกำลังภายในของเขาก็ไม่ได้ดีเพียงนี้ เพียงแต่เพื่อมีชีวิตอยู่ สิ่งใดที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กำลังภายในเขาต่างเคยลองทั้งนั้น หากเป็นคนทั่วไปฝึกฝนหนักหน่วงเพียงนั้นไม่แน่ว่าร่างกายอาจระเบิดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขาเย็นยะเยือกต้องการกำลังภายในเพื่อประคับประคอง ทุกๆ วันยังต้องฝึกฝนราวหนึ่งเค่อต่อเนื่อง จึงได้มีชีวิตอยู่ต่อได้มาเกือบหนึ่งปี

เยาเยามองเขา เอ่ยปลอบ “ไม่ต้องกังวล ต้องมีทางออกเสมอ ท่านพ่อของเจ้าบอกจะเข้าเขตกำแพงเพื่อขอร้องเรื่องการรักษามิใช่หรือ รอหมอเทวดากลับมา เจ้าก็ไม่เป็นไรแล้ว”

เด็กหนุ่มเอ่ย “ขอบคุณแม่นางที่ปลอบใจ”

เยาเยาตบไหล่ของเขา เอ่ย “ข้าโตกว่าเจ้า เรียกพี่สาวนะ”

เด็กหนุ่มมองนางแปลกๆ “เจ้าอายุเท่าใด”

เยาเยาเอ่ย “สิบสี่ปี ใกล้จะสิบห้าแล้ว เรียกพี่สาว”

เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ ทว่าไม่ยอมเรียกพี่สาว เยาเยาโกรธจนกระทืบเท้า

อีกด้าน จวินฉิงเทียนและกงอวี้เฉินได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กสาวที่ดังมาจากห้องข้างๆ สีหน้าเศร้าของจวินฉิงเทียนก็คลายลงหลายส่วน “ไม่คิดว่าท่านเฉิงจะมียังมีลูกศิษย์น่ารักเพียงนี้ด้วยหนึ่งคน ตลอดหนึ่งปีมานี้เยี่ยนเอ๋อร์ลำบากมากจริงๆ แม้แต่นิสัยยังถูกหลอมจนเปลี่ยนไปมาก มีแม่นางผู้นี้อยู่ด้วยไม่แน่ว่าเขาอาจมีความสุขขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ว่าศิษย์รักของท่านมีคู่หมายแล้วหรือขอรับ”

กงอวี้เฉินคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มกวาดมองนางเล็กน้อย เอ่ย “การแต่งงานของเด็กคนนี้ ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ ท่านอย่ามองว่านางเห็นคนก็ยิ้ม น่ารักว่าง่าย หากทำให้นางโกรธขึ้นมา สิ่งที่นางเอ่ยเมื่อครู่นั้นมิใช่เรื่องโกหกเลย”

จวินฉิงเทียนนึกถึงสิ่งที่เยาเยาเอ่ยเมื่อครั้งอยู่ในห้อง พลันมีสีหน้าหวาดหวั่น

“แม่นางผู้นี้…”

กงอวี้เฉินเอ่ย “ขอเพียงไม่มีใครยั่วโมโหนางก็ไม่ต้องกังวล ท่านวางใจ วิชาการแพทย์ของเด็กคนนั้นไม่แน่อาจจะดีกว่าข้าด้วยซ้ำ มีนางอยู่ ภายในสามเดือนนี้หนานเยี่ยนจะไม่เป็นไรอย่างแน่นอน”

“เอ่อ…” จวินฉิงเทียนตกใจเล็กน้อย รู้จักกับท่านเฉิงผู้นี้โดยบังเอิญ ทุกปีท่านเฉิงจะมาอยู่ที่ภูเขาหิมะด้านหลังอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ว่ากันว่ามาเพื่อฝึกวรยุทธ์ หลายปีก่อนมีวาสนาต่อกันได้รับบุตรชายของตนเป็นลูกศิษย์ เพียงแต่เขาไม่เคยสืบได้ถึงพื้นเพของเขา จึงต้องคิดเสียว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งแล้ว และแม่นางผู้นั้น ดูแล้วคงไม่เกินสิบสามสิบสี่ กลับน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง หรือว่าเป็นลูกหลานตระกูลมีชื่อเสียงตระกูลใดหรือไม่

กงอวี้เฉินก็ไม่อธิบายมาก เพียงเอ่ย “อย่างไร หากเจ้าเมืองเชื่อข้าก็ให้เด็กสาวผู้นี้อยู่ที่นี่ เด็กคนนี้อยากขึ้นเขาไปดูบัวศักดิ์สิทธิ์ เหอะๆ…ฤดูกาลนี้ จะไปหาบัวศักดิ์สิทธิ์จากที่ใดให้นางกันเล่า”

ได้ยินเช่นนั้น จวินฉิงเทียนเองก็ยิ้ม ปกติดอกบัวจะบานช่วงเดือนหกเดือนเจ็ดไม่ผิดไปจากนี้ แต่บัวศักดิ์สิทธ์บนยอดเขาหิมะกลับแตกต่างไป หิมะบนยอดเขามีตลอดสี่ฤดู บัวศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าแม้ไม่ได้เกิดอยู่ในน้ำ แต่ก็แตกต่างไปจากบัวหิมะ เมื่อเทียบกับบัวหิมะ เพียงรูปร่างเหมือนดอกบัวมากกว่า เป็นผลึกน้ำแข็งใสทั้งหมด เพราะการเติบโตช้า สิบปีจึงจะเบ่งบานหนึ่งครั้ง ทุกครั้งต่างก็เบ่งบานในช่วงเดือนสิบ และเพราะสี ต่อให้มีบัวศักดิ์สิทธิ์เบ่งบานก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะหาเจอ บางครั้งหายไปกับหิมะที่ตกหนัก หากไม่ใช่คนเก็บสมุนไพรที่เชี่ยวชาญคงหาไม่เจอ

“ง่ายเพียงนี้ ขอเพียงแม่นางผู้นี้ยินดีอยู่ที่นี่ ถึงตอนนั้นข้าน้อยจะให้คนพาแม่นางขึ้นเขาไปช่วยตามหาบัวศักดิ์สิทธิ์” จวินฉิงเทียนเอ่ยเสียงเข้ม

กงอวี้เฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เอ่ย “เจ้าเมืองจวินวางใจเถิด” เด็กบ้า ดูสิว่าอาจารย์ดีกับเจ้าเพียงใด ต้องรู้ว่าหากคิดจะตามหาบัวศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีดวงและประสบการณ์ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพียงร่างกายบอบบางของเจ้า ต่อให้ขึ้นเขาจนตัวแข็งเป็นน้ำแข็งแกะสลักก็อย่าคิดว่าจะได้เห็นหน้าตาของบัวศักดิ์สิทธิ์

“เช่นนี้ ลูกของข้าคงต้องรบกวนท่านเฉิงแล้ว”

กงอวี้เฉินเอ่ย “หนานเยี่ยนเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่ทำเพื่อเขาจะทำเพื่อใครเล่า จริงสิ หากหมอเทวดาไม่ยอมมาจริงๆ ก็นำสิ่งนี้ให้เขาดู” กงอวี้เฉินหยิบกระดิ่งเล็กๆ วางไว้บนโต๊ะ เอ่ย “เพียงแต่ ข้าขอเตือนว่าทางที่ดีเจ้าเมืองใช้วิธีของตนเองจะดีกว่า ของสิ่งนี้แม้จะใช้ง่าย ผลลัพธ์กลับยุ่งยาก เกิดทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นมา ถึงตอนนั้นเอ่ยได้ยากว่าเขาจะมาช่วยคนหรือสังหารคนกันแน่” “สำหรับหมอ ช่วยคนสังหารคนเพียงคิดเท่านั้น

จวินฉิงเทียนพยักหน้าอย่างระมัดระวังแล้วรับของมา สำหรับความปลอดภัยของบุตรชายแน่นอนว่าเขาต้องระมัดระวังขึ้นหลายเท่า ไม่ถึงที่สุดจริงๆ ไม่มีทางแตะของสิ่งนี้อย่างแน่นอน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด