เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 106 จักรพรรดิหมิง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 106 จักรพรรดิหมิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 106 จักรพรรดิหมิง

 

 

“ขันทีชุดแดง?”

 

ใบหน้าของชายชุดคลุมสีขาวตอนนี้ดูน่าเกลียดมาก

 

ในพระราชวังถังนั้น ขันทีที่สามารถสวมเครื่องแบบขันทีสีแดงได้นั้นย่อมเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นอยู่บ้าง

 

เช่นหงกงกงที่อยู่ข้างกายพระชายาลี่เฟยที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ชั้นที่สอง เขาก็ยังได้รับเครื่องแบบขันทีสีแดง

 

แต่ข้อยกเว้นเหล่านี้ค่อนข้างหายาก

 

และในเวลานี้ชายในชุดคลุมสีขาวสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของทั้งหกคนที่โอบล้อมคฤหาสน์อยู่นี้ ทั้งหมดล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“ไม่คาดคิดว่าจะเป็นผู้บังคับกรมขุนนางจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพร…”

 

ขันทีชุดแดงจำตัวตนของชายในชุดคลุมสีขาวได้ในทันที

 

หน่วยองครักษ์เสื้อแพรจากอาณาจักรหนานหมิงเป็นที่ครั่นคร้ามไปทั่วทุกแว่นแคว้น ฉะนั้นทุกอาณาจักรไม่มีทางที่จะไม่คิดต่อต้านสิ่งนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอาณาจักรถัง ที่ได้สืบสาวข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีอำนาจระดับสูงของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมาแล้ว

 

“จักรพรรดิถังรู้จักคิดแผนการดีนี่…”

 

ชายชุดขาวยิ้มและสีหน้าของเขาก็สงบลงในทันที

 

“คิดจะตัดขั้วหัวใจเพื่อฆ่าตัวตายเช่นนั้นหรือ?”

 

ขันทีในชุดแดงเดินยิ้มหยามเหยียด ก้าวเข้าไปที่ด้านข้างของชายชุดขาว จากนั้นจึงใช้นิ้วทั้งห้ากดลงไปเบาๆ

 

หวึ่ง!!!

 

ชายชุดขาวรู้สึกเพียงภาพที่เห็นนั้นพร่ามัว เส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจที่กำลังจะขาดออกจากกันกลับเริ่มซ่อมแซมตัวอย่างช้าๆ

 

“เจ้า?!”

 

ชายชุดขาวหมดสติไปก่อนที่จะพูดจบ

 

 

พระราชวังตะวันออก

 

ภายในตำหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ แก่นแท้แห่งพลังภายในกายค่อยๆ หมุนวนไปตามคัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง พยายามควบแน่นพลังธาตุหยิน

 

หลังจากเวลาผ่านเลยไป

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

ทันใดนั้นอุณหภูมิในรัศมีหลายสิบเมตรรอบตัวของซูฉินพลันลดลงอย่างรวดเร็วราวกับอยู่ในพื้นที่ขั้วโลกภายในพริบตา ไอน้ำในอากาศเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง

 

“หือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ในทันใดนั้น

 

อุณหภูมิที่ลดฮวบลงไปในตอนแรกก็เพิ่มสูงกลับมาสู่สภาวะปกติในชั่วพริบตา

 

“คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งนี่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว”

 

ความคิดของซูฉินเดี๋ยวก็ขึ้นเดี๋ยวก็ลงอยู่ภายในใจ

 

เมื่อเทียบกับคัมภีร์เก้าสุริยัน คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งนั้นแปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่า ทั้งยังเป็นขั้วตรงข้ามของวิชาเก้าสุริยันอย่างสุดกู่

 

“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรอกหรือ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ด้วยร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงสภาพไปถึงสามครั้งแล้ว พลังธาตุหยินผสานธาตุหยางธรรมดาๆ นั้นไม่มีผลอะไรเลยกับร่างกายของซูฉิน

 

“อีกสองวันเป็นอย่างช้า ข้าคงสามารถฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนถึงจุดสูงสุดโดยกลั่นพลังธาตุหยินเก้ารูปแบบออกมาได้”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจ

 

หากเป็นจอมยุทธธรรมดาที่ต้องการจะฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนสำเร็จวิชา อาจจะฝึกไม่สำเร็จแม้ผ่านไปสิบปีหรือร้อยปี ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับจอมยุทธคนนั้นมีคุณสมบัติโดยกำเนิดเหมาะสมกับคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งหรือเปล่า

 

แต่ซูฉินนั้นแตกต่างออกไป

 

ในฐานะที่เป็นถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ควบคู่ไปกับระบบที่ฝังข้อมูลทั้งหมดของคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งมาให้ ซูฉินยังรู้สึกเลยว่าขนาดใช้เวลาฝึกฝนสองวันก็ยังแอบยาวนานไปหน่อย

 

วันต่อมา

 

ซูฉินเดินทางมาที่ห้องโถงเฉิงเอิน

 

“พี่สาม มาแล้วหรือ”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางมีความสุข

 

“หลังจากที่หยุนเหนียงดื่มยาตามใบสั่งของพี่สามไปแล้ว ร่างกายของนางก็ดีขึ้นอย่างชัดเจนเลย แม้แต่หมอหลวงประจำกายพระบิดาก็ยังแสดงท่าทางเหลือเชื่อออกมา…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงมองไปที่ซูฉินด้วยอาการสำนึกขอบคุณ

 

“อย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก

 

เขาก็แค่ช่วยน้องสาวของตนเองในการกำจัดพลังธาตุหยินออกไป มันก็แค่นั้น ไม่ได้มีอะไรเลย

 

“ใช่แล้ว”

 

“ท่านจำเรื่องการลอบสังหารเมื่อวานได้หรือไม่?”

 

ทันใดนั้นองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะมองไปรอบข้างแล้วจึงกระซิบขึ้นมาเบาๆ

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

ซูฉินถามออกไปส่งๆ

 

“ข้าได้ไปหาพระบิดาในเช้าวันนี้ และรู้สึกว่าพระบิดาดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มันน่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารของคณะทูตจากหนานหมิงที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงพูดสิ่งที่คาดเดาอยู่ในใจออกมา

 

แม้ว่าองค์จักรพรรดิถังไม่ได้บอกเขาอย่างชัดเจนในเวลานั้น แต่ก็ได้แอบบอกใบ้ออกมาสองสามคำโดยจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็มิอาจรู้ได้

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ดูเหมือนยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกคนที่ออกจากวังไปเมื่อวานจะจับปลาตัวใหญ่ได้

 

มิฉะนั้นตามลักษณะนิสัยของจักรพรรดิถังแล้วนั้น ถ้าไม่ใช่ผลประโยชน์ครั้งใหญ่จริงๆ เขาจะไม่ประพฤติตนเช่นนี้

 

ต่อจากนั้นซูฉินก็สนทนากับองค์รัชทายาทหลี่เชิงต่ออีกสักพัก

 

ในความเป็นจริงก็คือ องค์รัชทายาทเป็นฝ่ายพูด ขณะที่ซูฉินเพียงฟังอย่างไม่ได้เคร่งเครียดอะไร

 

และเนื้อหาส่วนใหญ่ในการสนทนาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชสำนัก เช่น ขุนนางที่ออกมาฟ้องร้องตัวเขา…

 

เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าจะได้เป็นองค์รัชทายาทด้วยคำยืนยันอันหนักแน่นขององค์จักรพรรดิ แต่ตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้มั่นคงและต้องตั้งรับกับคำถามและข้อสงสัยมากมาย

 

“ถ้าในอนาคตเจ้าได้เป็นจักรพรรดิขึ้นมา เจ้าอยากจะทำอะไร?”

 

หลังจากคุยกันมาสักพัก ซูฉินก็ถามขึ้นอย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

แม้ว่าหลี่เชิงจะมีโชคชะตาบ้านเมืองของอาณาจักรถังถึงหนึ่งส่วนสิบ ตราบเท่าที่เขาไม่ตายไปเสียก่อน ราชบัลลังก์ในอนาคตย่อมตกเป็นของหลี่เชิง

 

แต่ซูฉินก็อยากจะรู้ว่าหลี่เชิงวางแผนอนาคตไว้อย่างไร

 

“พี่สาม ท่านอย่าได้พูดอะไรเช่นนี้อีกต่อไปในอนาคต ตอนนี้สุขภาพของพระบิดาดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” องค์รัชทายาทพูดอย่างร้อนรน

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำดังกล่าว

 

ร่างกายขององค์จักรพรรดิถังนั้นซูฉินไม่คิดว่ามันจะดีขึ้นได้อีก หากไม่ใช่เพราะยอดปรมาจารย์ยอมแลกชีวิตเพื่อช่วยชีวิต ป่านนี้เขาก็คงตายไปแล้ว

 

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นองค์จักรพรรดิถังก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อได้อีกนานนัก แม้แต่ตำนานยุทธหรืออรหันต์ก็ยังมีช่วงชีวิตที่จำกัด นับประสาอะไรกับชีวิตมนุษย์ธรรมดาเล่า?

 

“อาการดีขึ้น” ในสายตาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่มีอะไรไปมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินกลับมาที่ตำหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง

 

“ใกล้แล้วล่ะ”

“ต้องพยายามฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนสำเร็จวิชาให้จงได้ จากนั้นก็สร้างการเปลี่ยนแปลงกายเนื้อครั้งที่สี่ให้สำเร็จไปพร้อมกันในทีเดียวเลย”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ แล้วจึงเริ่มฝึกฝน

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เมืองหนานหมิง

 

ภายในพระราชวัง

 

จักรพรรดิหมิงนั่งอยู่สูงบนเก้าอี้มังกร มองดูข้อมูลในมือของเขา

 

“การลอบสังหารล้มเหลว?”

 

จักรพรรดิหมิงพูดกับตนเองด้วยเสียงต่ำ ไม่มีโทนเสียงขึ้นลงเลย ราวกับเขากำลังพูดบางสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย

 

“รายงานฝ่าบาท”

 

“ไม่เพียงภารกิจล้มเหลวเท่านั้น หน่วยองครักษ์เสื้อแพรของข้าที่ประจำการอยู่ในฐานที่มั่นเมืองฉางอัน รวมถึงผู้บังคับกรมขุนนางต่างขาดการติดต่อไป…”

 

ผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรสวมชุดปลาบิน ที่หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลเย็น

 

“โอ้?”

“การลอบสังหารไม่เพียงแต่จะล้มเหลว”

 

“แต่คนของเรายังถูกจับไปแบบเป็นๆ อีกงั้นรึ”

 

จักรพรรดิหมิงวางข้อมูลในมือของเขาลง มองไปที่ผู้บัญชาการและกล่าวคำเบาๆ

 

“ฝ่าบาท ขอพระราชทานอภัย”

 

“ขุนนางผู้นี้สมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่น

 

ในอาณาจักรหนานหมิง คำว่าองครักษ์เสื้อแพร ไม่รู้ว่ามีกี่คนต่อกี่คนที่หวาดกลัวสามคำนี้มันราวกับเจอภูตผี แม้แต่องค์ชายและเหล่าขุนนางในราชสำนักก็ต้องกลัวหน่วยองครักษ์เสื้อแพร

 

แต่มีแค่เพียงผู้บัญชาการฯ เท่านั้นที่รู้ว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นเพียงสุนัขที่อยู่ภายใต้จักรพรรดิหมิงอีกที

 

หากสุนัขตัวนั้นมีประโยชน์ เป็นเรื่องปกติที่จักรพรรดิหมิงจะไม่ตระหนี่กับรางวัลที่ให้ไปเลย

 

แต่ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ก็แค่เปลี่ยนไปใช้สุนัขตัวอื่น

 

บางทีหน่วยองครักษ์เสื้อแพรคงยังอยู่ แต่ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเขาคือผู้บัญชาการ

 

“ขุนนางผู้นี้จะไปที่ฉางอันด้วยตัวเอง และเตรียมพร้อมสำหรับการลอบสังหารอีกครั้ง”

องครักษ์เสื้อแพรก้มหัวเอาหน้าผากแตะพื้นพร้อมทั้งกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่จำเป็น” หลังจากนั้นไม่นานเสียงของจักรพรรดิหมิงก็ค่อยๆ ดังขึ้น “ในเมื่อการลอบสังหารครั้งแรกล้มเหลวจึงไม่จำเป็นต้องทดลองอีกครั้งแล้วหละ”

 

เมื่อจักรพรรดิหมิงกล่าวเช่นนั้น เขาก็หยุดพูดไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “ข้าจำได้ว่าครั้งก่อน มีองค์ชายจากต้าถังต้องการจะติดต่อขอความร่วมมือกับข้ามิใช่หรือ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 106 จักรพรรดิหมิง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 106 จักรพรรดิหมิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 106 จักรพรรดิหมิง

 

 

“ขันทีชุดแดง?”

 

ใบหน้าของชายชุดคลุมสีขาวตอนนี้ดูน่าเกลียดมาก

 

ในพระราชวังถังนั้น ขันทีที่สามารถสวมเครื่องแบบขันทีสีแดงได้นั้นย่อมเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นอยู่บ้าง

 

เช่นหงกงกงที่อยู่ข้างกายพระชายาลี่เฟยที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ชั้นที่สอง เขาก็ยังได้รับเครื่องแบบขันทีสีแดง

 

แต่ข้อยกเว้นเหล่านี้ค่อนข้างหายาก

 

และในเวลานี้ชายในชุดคลุมสีขาวสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของทั้งหกคนที่โอบล้อมคฤหาสน์อยู่นี้ ทั้งหมดล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“ไม่คาดคิดว่าจะเป็นผู้บังคับกรมขุนนางจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพร…”

 

ขันทีชุดแดงจำตัวตนของชายในชุดคลุมสีขาวได้ในทันที

 

หน่วยองครักษ์เสื้อแพรจากอาณาจักรหนานหมิงเป็นที่ครั่นคร้ามไปทั่วทุกแว่นแคว้น ฉะนั้นทุกอาณาจักรไม่มีทางที่จะไม่คิดต่อต้านสิ่งนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอาณาจักรถัง ที่ได้สืบสาวข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีอำนาจระดับสูงของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมาแล้ว

 

“จักรพรรดิถังรู้จักคิดแผนการดีนี่…”

 

ชายชุดขาวยิ้มและสีหน้าของเขาก็สงบลงในทันที

 

“คิดจะตัดขั้วหัวใจเพื่อฆ่าตัวตายเช่นนั้นหรือ?”

 

ขันทีในชุดแดงเดินยิ้มหยามเหยียด ก้าวเข้าไปที่ด้านข้างของชายชุดขาว จากนั้นจึงใช้นิ้วทั้งห้ากดลงไปเบาๆ

 

หวึ่ง!!!

 

ชายชุดขาวรู้สึกเพียงภาพที่เห็นนั้นพร่ามัว เส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจที่กำลังจะขาดออกจากกันกลับเริ่มซ่อมแซมตัวอย่างช้าๆ

 

“เจ้า?!”

 

ชายชุดขาวหมดสติไปก่อนที่จะพูดจบ

 

 

พระราชวังตะวันออก

 

ภายในตำหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ แก่นแท้แห่งพลังภายในกายค่อยๆ หมุนวนไปตามคัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง พยายามควบแน่นพลังธาตุหยิน

 

หลังจากเวลาผ่านเลยไป

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

ทันใดนั้นอุณหภูมิในรัศมีหลายสิบเมตรรอบตัวของซูฉินพลันลดลงอย่างรวดเร็วราวกับอยู่ในพื้นที่ขั้วโลกภายในพริบตา ไอน้ำในอากาศเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง

 

“หือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ในทันใดนั้น

 

อุณหภูมิที่ลดฮวบลงไปในตอนแรกก็เพิ่มสูงกลับมาสู่สภาวะปกติในชั่วพริบตา

 

“คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งนี่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว”

 

ความคิดของซูฉินเดี๋ยวก็ขึ้นเดี๋ยวก็ลงอยู่ภายในใจ

 

เมื่อเทียบกับคัมภีร์เก้าสุริยัน คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งนั้นแปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่า ทั้งยังเป็นขั้วตรงข้ามของวิชาเก้าสุริยันอย่างสุดกู่

 

“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรอกหรือ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ด้วยร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงสภาพไปถึงสามครั้งแล้ว พลังธาตุหยินผสานธาตุหยางธรรมดาๆ นั้นไม่มีผลอะไรเลยกับร่างกายของซูฉิน

 

“อีกสองวันเป็นอย่างช้า ข้าคงสามารถฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนถึงจุดสูงสุดโดยกลั่นพลังธาตุหยินเก้ารูปแบบออกมาได้”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจ

 

หากเป็นจอมยุทธธรรมดาที่ต้องการจะฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนสำเร็จวิชา อาจจะฝึกไม่สำเร็จแม้ผ่านไปสิบปีหรือร้อยปี ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับจอมยุทธคนนั้นมีคุณสมบัติโดยกำเนิดเหมาะสมกับคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งหรือเปล่า

 

แต่ซูฉินนั้นแตกต่างออกไป

 

ในฐานะที่เป็นถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ควบคู่ไปกับระบบที่ฝังข้อมูลทั้งหมดของคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งมาให้ ซูฉินยังรู้สึกเลยว่าขนาดใช้เวลาฝึกฝนสองวันก็ยังแอบยาวนานไปหน่อย

 

วันต่อมา

 

ซูฉินเดินทางมาที่ห้องโถงเฉิงเอิน

 

“พี่สาม มาแล้วหรือ”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางมีความสุข

 

“หลังจากที่หยุนเหนียงดื่มยาตามใบสั่งของพี่สามไปแล้ว ร่างกายของนางก็ดีขึ้นอย่างชัดเจนเลย แม้แต่หมอหลวงประจำกายพระบิดาก็ยังแสดงท่าทางเหลือเชื่อออกมา…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงมองไปที่ซูฉินด้วยอาการสำนึกขอบคุณ

 

“อย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก

 

เขาก็แค่ช่วยน้องสาวของตนเองในการกำจัดพลังธาตุหยินออกไป มันก็แค่นั้น ไม่ได้มีอะไรเลย

 

“ใช่แล้ว”

 

“ท่านจำเรื่องการลอบสังหารเมื่อวานได้หรือไม่?”

 

ทันใดนั้นองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะมองไปรอบข้างแล้วจึงกระซิบขึ้นมาเบาๆ

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

ซูฉินถามออกไปส่งๆ

 

“ข้าได้ไปหาพระบิดาในเช้าวันนี้ และรู้สึกว่าพระบิดาดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มันน่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารของคณะทูตจากหนานหมิงที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงพูดสิ่งที่คาดเดาอยู่ในใจออกมา

 

แม้ว่าองค์จักรพรรดิถังไม่ได้บอกเขาอย่างชัดเจนในเวลานั้น แต่ก็ได้แอบบอกใบ้ออกมาสองสามคำโดยจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็มิอาจรู้ได้

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ดูเหมือนยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกคนที่ออกจากวังไปเมื่อวานจะจับปลาตัวใหญ่ได้

 

มิฉะนั้นตามลักษณะนิสัยของจักรพรรดิถังแล้วนั้น ถ้าไม่ใช่ผลประโยชน์ครั้งใหญ่จริงๆ เขาจะไม่ประพฤติตนเช่นนี้

 

ต่อจากนั้นซูฉินก็สนทนากับองค์รัชทายาทหลี่เชิงต่ออีกสักพัก

 

ในความเป็นจริงก็คือ องค์รัชทายาทเป็นฝ่ายพูด ขณะที่ซูฉินเพียงฟังอย่างไม่ได้เคร่งเครียดอะไร

 

และเนื้อหาส่วนใหญ่ในการสนทนาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชสำนัก เช่น ขุนนางที่ออกมาฟ้องร้องตัวเขา…

 

เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าจะได้เป็นองค์รัชทายาทด้วยคำยืนยันอันหนักแน่นขององค์จักรพรรดิ แต่ตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้มั่นคงและต้องตั้งรับกับคำถามและข้อสงสัยมากมาย

 

“ถ้าในอนาคตเจ้าได้เป็นจักรพรรดิขึ้นมา เจ้าอยากจะทำอะไร?”

 

หลังจากคุยกันมาสักพัก ซูฉินก็ถามขึ้นอย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

แม้ว่าหลี่เชิงจะมีโชคชะตาบ้านเมืองของอาณาจักรถังถึงหนึ่งส่วนสิบ ตราบเท่าที่เขาไม่ตายไปเสียก่อน ราชบัลลังก์ในอนาคตย่อมตกเป็นของหลี่เชิง

 

แต่ซูฉินก็อยากจะรู้ว่าหลี่เชิงวางแผนอนาคตไว้อย่างไร

 

“พี่สาม ท่านอย่าได้พูดอะไรเช่นนี้อีกต่อไปในอนาคต ตอนนี้สุขภาพของพระบิดาดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” องค์รัชทายาทพูดอย่างร้อนรน

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำดังกล่าว

 

ร่างกายขององค์จักรพรรดิถังนั้นซูฉินไม่คิดว่ามันจะดีขึ้นได้อีก หากไม่ใช่เพราะยอดปรมาจารย์ยอมแลกชีวิตเพื่อช่วยชีวิต ป่านนี้เขาก็คงตายไปแล้ว

 

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นองค์จักรพรรดิถังก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อได้อีกนานนัก แม้แต่ตำนานยุทธหรืออรหันต์ก็ยังมีช่วงชีวิตที่จำกัด นับประสาอะไรกับชีวิตมนุษย์ธรรมดาเล่า?

 

“อาการดีขึ้น” ในสายตาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่มีอะไรไปมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินกลับมาที่ตำหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง

 

“ใกล้แล้วล่ะ”

“ต้องพยายามฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนสำเร็จวิชาให้จงได้ จากนั้นก็สร้างการเปลี่ยนแปลงกายเนื้อครั้งที่สี่ให้สำเร็จไปพร้อมกันในทีเดียวเลย”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ แล้วจึงเริ่มฝึกฝน

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เมืองหนานหมิง

 

ภายในพระราชวัง

 

จักรพรรดิหมิงนั่งอยู่สูงบนเก้าอี้มังกร มองดูข้อมูลในมือของเขา

 

“การลอบสังหารล้มเหลว?”

 

จักรพรรดิหมิงพูดกับตนเองด้วยเสียงต่ำ ไม่มีโทนเสียงขึ้นลงเลย ราวกับเขากำลังพูดบางสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย

 

“รายงานฝ่าบาท”

 

“ไม่เพียงภารกิจล้มเหลวเท่านั้น หน่วยองครักษ์เสื้อแพรของข้าที่ประจำการอยู่ในฐานที่มั่นเมืองฉางอัน รวมถึงผู้บังคับกรมขุนนางต่างขาดการติดต่อไป…”

 

ผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรสวมชุดปลาบิน ที่หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลเย็น

 

“โอ้?”

“การลอบสังหารไม่เพียงแต่จะล้มเหลว”

 

“แต่คนของเรายังถูกจับไปแบบเป็นๆ อีกงั้นรึ”

 

จักรพรรดิหมิงวางข้อมูลในมือของเขาลง มองไปที่ผู้บัญชาการและกล่าวคำเบาๆ

 

“ฝ่าบาท ขอพระราชทานอภัย”

 

“ขุนนางผู้นี้สมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่น

 

ในอาณาจักรหนานหมิง คำว่าองครักษ์เสื้อแพร ไม่รู้ว่ามีกี่คนต่อกี่คนที่หวาดกลัวสามคำนี้มันราวกับเจอภูตผี แม้แต่องค์ชายและเหล่าขุนนางในราชสำนักก็ต้องกลัวหน่วยองครักษ์เสื้อแพร

 

แต่มีแค่เพียงผู้บัญชาการฯ เท่านั้นที่รู้ว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นเพียงสุนัขที่อยู่ภายใต้จักรพรรดิหมิงอีกที

 

หากสุนัขตัวนั้นมีประโยชน์ เป็นเรื่องปกติที่จักรพรรดิหมิงจะไม่ตระหนี่กับรางวัลที่ให้ไปเลย

 

แต่ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ก็แค่เปลี่ยนไปใช้สุนัขตัวอื่น

 

บางทีหน่วยองครักษ์เสื้อแพรคงยังอยู่ แต่ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเขาคือผู้บัญชาการ

 

“ขุนนางผู้นี้จะไปที่ฉางอันด้วยตัวเอง และเตรียมพร้อมสำหรับการลอบสังหารอีกครั้ง”

องครักษ์เสื้อแพรก้มหัวเอาหน้าผากแตะพื้นพร้อมทั้งกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่จำเป็น” หลังจากนั้นไม่นานเสียงของจักรพรรดิหมิงก็ค่อยๆ ดังขึ้น “ในเมื่อการลอบสังหารครั้งแรกล้มเหลวจึงไม่จำเป็นต้องทดลองอีกครั้งแล้วหละ”

 

เมื่อจักรพรรดิหมิงกล่าวเช่นนั้น เขาก็หยุดพูดไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “ข้าจำได้ว่าครั้งก่อน มีองค์ชายจากต้าถังต้องการจะติดต่อขอความร่วมมือกับข้ามิใช่หรือ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+