เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 140 จุดเริ่มต้นของคลื่นลม

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 140 จุดเริ่มต้นของคลื่นลม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 140 จุดเริ่มต้นของคลื่นลม

 

“ไม่เลว”

 

“หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่ห้า แก่นแท้แห่งพลังร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังขึ้นไปอีกสองเท่า”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย กําลังใช้ความคิด

 

การพัฒนาจากนภาชั้นที่สี่ไปเป็นนภาชั้นที่ห้านั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากเท่านภาชั้นที่สามไปนภาชั้นที่สี่ แต่มันก็ทําให้ซูฉินพึงพอใจอย่างมาก

 

รู้หรือไม่ว่าการที่จะพัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ยากยิ่งแล้ว นับประสาอะไรกับการก้าวข้ามระดับในหนึ่งช่วงใหญ่?

“หลังจากนภาชั้นที่ห้า ก็เป็นนภาชั้นที่หก ส่วนระดับนภาชั้นที่เจ็ดที่อยู่เหนือนภาชั้นที่หกนั้นถือว่าเป็นขั้นสุดยอดของขอบเขตอรหันต์…”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตน มีท่าทีผ่อนคลาย

 

ตามที่ร่างเงาในชุดชาววังหรือเทพจันทรา” ที่สถิตอยู่ ณ วิหารแห่งลัทธิบูชาจันทร์ได้บอกกับซูฉินมา แม้แต่ในส่วนลึกของดินแดนโพ้นทะเลอันไม่มีที่สิ้นสุด ระดับนภาชั้น ที่เจ็ดก็หาได้ยากยิ่งนัก ถึงจะมีตัวตนอยู่จริงแต่พวกเขากำลังไล่ตามวิถีทางที่จะขึ้นไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี จึงไม่มาปรากฏตัวให้บุคคลภายนอกได้เห็น

 

“ว่ากันว่าหลังจากไปถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นจึงจะมีหวังที่จะควบแน่น อาณาเขต” ขนาดเล็กของตนเองขึ้นมาได้”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธ ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นคือการควบคุมพลังฟ้าดิน

 

อย่างไรก็ตามพลังของฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แม้แต่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่เก้าผู้อยู่ยงคงกระพันก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ทั้งหมด

 

ดังนั้นการฝึกฝนในช่วงปลายทางของขอบเขตอรหันต์คือ การบีบอัดและควบแน่นพลังฟ้าดินทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองจนกลายเป็น “อาณาเขต” ขนาดเล็กขึ้นมา

 

“อาณาเขต” ขนาดเล็กอาจเทียบไม่ได้กับความกว้างใหญ่ ในการควบคุมพลังฟ้าดินในระยะหลายสิบลี้ แต่คุณภาพนั้นเหนือกว่าการควบคุมพลังฟ้าดินแบบปกติไปมาก

 

แต่การที่พยายามบีบอัดและควบแน่นพลังฟ้าดินก็เท่ากับใช้พลังของตนต่อต้านฟ้าดิน คิดดูว่ามันจะยากเพียงไรกัน?

 

แม้ว่าจะเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็มีเพียงความหวังอันน้อยนิดที่จะสามารถควบแน่น อาณาเขต ขนาดเล็กออกมาได้

 

ส่วนความสําเร็จในการที่จะควบแน่นออกมาได้นั้นก็ขึ้นนอยู่กับว่ารากฐานแข็งแกร่งพอหรือไม่

 

ผู้ครอบครอง “อาณาเขต” ขนาดเล็กจะต้องเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ด

 

แต่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดไม่จําเป็นจะต้องมี “อาณาเขต” ขนาดเล็ก

 

“ช่างมันก่อนเถอะ ข้าคิดว่านี่มันยังเร็วเกินไป”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและทอดถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าสู่นภาชั้นที่ห้า อยู่ห่างไกลจากนภาชั้นที่หกอีกมากนัก ไม่ต้องพูดถึงนภาชนที่เจ็ดเลย

 

“อืม ดูเหมือนว่าจักรพรรดิถังจะฟื้นตัวดีขึ้นนะ” 

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองไปยังโถงชีวิตนิรันดร์

 

ในเวลานี้จักรพรรดิถังหลี่เชิงกําลังเสวยอาหารที่จัดเตรียมโดยห้องเครื่องส่วนพระองค์อย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่าพระองค์หายจากการคิดใคร่ครวญแต่กับเรื่องราวในราชสํานักแล้ว

เมื่อซูฉินเห็นดังนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงจะเป็นน้องเขยของซูฉิน แต่เขาก็ยังเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังด้วย

 

ซูฉินเห็นแก่น้องสาวของตน ซูเยว่หยุน เมื่อเห็นจักรพรรดิหลี่เชิงตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต เขาจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

 

แต่เรื่องอื่นๆ ซูฉินไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่

 

ไม่เช่นนั้นหากต้องช่วยจักรพรรดิถังในทุกเรื่องเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น แล้วเขาจะเอาเวลาไหนไปบ่มเพาะเล่า?

 

มีคนเป็นร้อยล้านคนในอาณาจักรถัง มีทั้งตัวตนที่ยิ่งใหญ่และบุคคลที่เล็กจ้อย ถ้าซูฉินต้องมาจัดการเรียงตัวเกรงว่าเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะจนถึงขั้นเซียนเทพปฐพี ได้ และคงตายไปเมื่ออายุมากขึ้น

 

ซูฉินอยู่ในพระราชวังนี้เดิมทีก็เพราะความเงียบสงบสะอาดเอี่ยมของสถานที่และไม่มีใครมารบกวนตัวเขา หากไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองมันจะไม่ขัดกับความประ สงค์ของเขาหรอกหรือ?

 

นอกจากนี้ สิ่งที่ซูฉินทําลงไปก็เพียงพอแล้วกับจักรพรรดิหลี่เชิง novelza

 

ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉิน จักรพรรดิถังหลี่เชิงคงจะสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เจอมือลอบสังหารครั้งเมื่อเดินทางไปยังตระกูลซูแล้ว ยังไม่ได้พูดถึงการก่อกบฏขององค์ชายเฉิน ซูฉิ นก็เป็นคนลงมือปราบเอง

 

ซูฉินช่วยชีวิตจักรพรรดิถังหลี่เชิงไว้ถึงสามครั้งสามครา ส่งเสริมให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอสําหรับการยืมใช้สถานที่ภายในวัง

 

“ช่วงเวลาหลังจากนี้ ข้าจะปิดด่านฝึกตน เพื่อปรับสภาพให้ระดับนภาชั้นที่ห้ามั่นคงขึ้น”

 

ความคิดของซูฉินแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจในทันที

 

ในระหว่างที่ปิดด่านฝึกตน ซูฉินก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจจับตระกูลซูและองค์จักรพรรดิถัง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อย วางสิ้นทั้งหมด

 

และเมื่อยามที่ซูฉินปิดด่านฝึกตน

 

ภายในอาณาจักรถังก็เริ่มมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวขึ้น

 

นับตั้งแต่ราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ได้สั่งสอนราชสํานัก อย่างเป็นการลับและหลังจากที่พวกเขารู้ว่าจักรพรรดิถังล้มป่วย พวกเขาก็ยิ่งเหิมเกริมกันมากขึ้นไปอีก

 

ราชาเจี้ยนหนานเยาะเย้ยจักรพรรดิถังกลางที่สาธารณะ

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินข่าว สีหน้าของพระองค์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลย ไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ยอมรับอะไร

 

ท่าทีเช่นนี้ทําให้เหล่าขุนนางหัวเมืองทั้งสิบต่างรู้สึกว่าจักรพรรดิถังถูกปราบปรามลงแล้ว และในช่วงนี้อํานาจของเหล่าขุนนางหัวเมืองของอาณาจักรถังก็มีอยู่ในมืออย่า งล้นหลาม

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

เวลาสองปีผ่านไปในชั่วพริบตา

 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ความมั่นใจในตัวเองของเหล่าราชาหัวเมืองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราชาอันซีถึงกับส่งเรื่องยื่นขอรับศักดินาเพิ่มเติม

novelza

เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ศาลขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต่างก็ขุ่นเคือง

 

อาณาเขตดินแดนของราชาหัวเมืองทั้งสิบรวมกันก็เท่ากับหนึ่งในห้าของอาณาจักรถังแล้ว หากยังได้รับศักดินาเพิ่มอีก มิเท่ากับให้แผ่นดินไปกว่าครึ่งของอาณาจักรถังเลยหรือ

 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีครั้งแรก มันก็ต้องมีครั้งที่สองครั้งที่สาม

 

ในเวลานั้นอาณาจักรถังคงต้องเปลี่ยนชื่อไปเสียแล้วอย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ออกคําสั่งให้กองทัพจากเมืองหลวง พุ่งเป้าจัดการฐานที่มั่นของเหล่าสายลับที่ถูกส่งมาจากราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

รวมไปถึงขุนนางทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาหัวเมืองทั้งสิบ โดยไม่สนว่าจะมีตําแหน่งอะไร

 

แรกเริ่มเดิมที

 

สองปีที่ผ่านมา ที่เห็นว่าจักรพรรดิหลี่เชิงไม่ได้ทําอะไรเลย แต่พระองค์ได้สืบทราบจนรู้ตัวสายลับและหมากที่วางเอาไว้ โดยราชาหัวเมืองทั้งสิบในเมืองฉางอัน

 

จนกระทั่งวันนี้ วันที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบเหิมเกริมถึงขีดสุด พระองค์ก็ลงมืออย่างรวดเร็ว จัดการดึงรากฐานของราชาหัวเมืองทั้งสิบออกจากเมืองฉางอันในคราวเดียว

 

และการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิหลี่เชิงประสบความสําเร็จไปได้ด้วยดี

 

สองปีแห่งการอดทนอดกลั้น เพื่อแลกกับการมาระเบิดในครานี้ สร้างความสับสนให้ขุนนางหัวเมืองทั้งสิบไปตรงๆ

 

ภายในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

ราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง

 

“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าการปกครองของจักรพรรดิถังอ่อนแอไปแล้วหรอกหรือ? ทําไมข้าถึงสูญเสียรากฐานในเมืองฉางอันไปในชั่วข้ามคืน?”

 

ใบหน้าของราชาเจี้ยนหนานกลายเป็นน่าเกลียดและ เกือบจะขู่คํารามออกมา

 

“เจ้ามาถามข้า แล้วข้าจะไปรู้หรือ?” ดวงตาของราชาเหอตงก็มืดมัวเช่นกัน ใบหน้าของเขาแสดงอาการร้อนใจ

 

เขากําลังกังวลเรื่องกําลังคนที่ตนวางเอาไว้ในเมืองฉางอัน จู่ๆ ก็หายไป จะเอาอารมณ์ที่ไหนไปสนใจคําพูดของราชาเจี้ยนหนาน?

 

“นี่เป็นปัญหาแล้ว”

 

“ถ้าไม่มีหูตาของหมากที่วางเอาไว้ในเมืองหลวง พวกเราก็เหมือนกับคนตาบอด ไม่รู้ความเคลื่อนไหวใดภายในเมืองฉางอันเลย…”

 

ราชาฟ่านหยางถอนหายใจและมองไปที่ราชาหัวเมืองคนอื่นๆ “เราควรทําเช่นไรกันดีตอนนี้?”

 

“แน่นอนแล้ว”

 

“จักรพรรดิถังเต็มไปด้วยกลวิธีที่แสนชั่วร้าย ตอนที่มันล้มป่วยเมื่อสองปีก่อนข้าก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากว่าแปดส่วนจะเป็นข่าวลวง มันจงใจรอจนพวกเราเผยจุดอ่อน…”

 

ราชาชวอฟางถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

ราชาหัวเมืองเหล่านี้ทราบถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ดี เมื่อหมากที่วางเอาไว้ในเมืองฉางอันถูกดึงออกไป พวกเขาจะไม่ทราบข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับเมืองฉางอันเลย มันเท่ากับมีมีดแขวนไว้เหนือศีรษะพวกเขาและไม่รู้เลยว่าจะตกลงมาเมื่อไหร่

 

ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ราชาหัวเมืองจะพ่ายแพ้

 

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เรื่องง่ายๆ พวกเจ้าแค่ต้องต่อสู้กับจักรพรรดิถังกันตรงๆ”

novelza

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 140 จุดเริ่มต้นของคลื่นลม

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 140 จุดเริ่มต้นของคลื่นลม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 140 จุดเริ่มต้นของคลื่นลม

 

“ไม่เลว”

 

“หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่ห้า แก่นแท้แห่งพลังร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังขึ้นไปอีกสองเท่า”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย กําลังใช้ความคิด

 

การพัฒนาจากนภาชั้นที่สี่ไปเป็นนภาชั้นที่ห้านั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากเท่านภาชั้นที่สามไปนภาชั้นที่สี่ แต่มันก็ทําให้ซูฉินพึงพอใจอย่างมาก

 

รู้หรือไม่ว่าการที่จะพัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ยากยิ่งแล้ว นับประสาอะไรกับการก้าวข้ามระดับในหนึ่งช่วงใหญ่?

“หลังจากนภาชั้นที่ห้า ก็เป็นนภาชั้นที่หก ส่วนระดับนภาชั้นที่เจ็ดที่อยู่เหนือนภาชั้นที่หกนั้นถือว่าเป็นขั้นสุดยอดของขอบเขตอรหันต์…”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตน มีท่าทีผ่อนคลาย

 

ตามที่ร่างเงาในชุดชาววังหรือเทพจันทรา” ที่สถิตอยู่ ณ วิหารแห่งลัทธิบูชาจันทร์ได้บอกกับซูฉินมา แม้แต่ในส่วนลึกของดินแดนโพ้นทะเลอันไม่มีที่สิ้นสุด ระดับนภาชั้น ที่เจ็ดก็หาได้ยากยิ่งนัก ถึงจะมีตัวตนอยู่จริงแต่พวกเขากำลังไล่ตามวิถีทางที่จะขึ้นไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี จึงไม่มาปรากฏตัวให้บุคคลภายนอกได้เห็น

 

“ว่ากันว่าหลังจากไปถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นจึงจะมีหวังที่จะควบแน่น อาณาเขต” ขนาดเล็กของตนเองขึ้นมาได้”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธ ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นคือการควบคุมพลังฟ้าดิน

 

อย่างไรก็ตามพลังของฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แม้แต่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่เก้าผู้อยู่ยงคงกระพันก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ทั้งหมด

 

ดังนั้นการฝึกฝนในช่วงปลายทางของขอบเขตอรหันต์คือ การบีบอัดและควบแน่นพลังฟ้าดินทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองจนกลายเป็น “อาณาเขต” ขนาดเล็กขึ้นมา

 

“อาณาเขต” ขนาดเล็กอาจเทียบไม่ได้กับความกว้างใหญ่ ในการควบคุมพลังฟ้าดินในระยะหลายสิบลี้ แต่คุณภาพนั้นเหนือกว่าการควบคุมพลังฟ้าดินแบบปกติไปมาก

 

แต่การที่พยายามบีบอัดและควบแน่นพลังฟ้าดินก็เท่ากับใช้พลังของตนต่อต้านฟ้าดิน คิดดูว่ามันจะยากเพียงไรกัน?

 

แม้ว่าจะเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็มีเพียงความหวังอันน้อยนิดที่จะสามารถควบแน่น อาณาเขต ขนาดเล็กออกมาได้

 

ส่วนความสําเร็จในการที่จะควบแน่นออกมาได้นั้นก็ขึ้นนอยู่กับว่ารากฐานแข็งแกร่งพอหรือไม่

 

ผู้ครอบครอง “อาณาเขต” ขนาดเล็กจะต้องเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ด

 

แต่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดไม่จําเป็นจะต้องมี “อาณาเขต” ขนาดเล็ก

 

“ช่างมันก่อนเถอะ ข้าคิดว่านี่มันยังเร็วเกินไป”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและทอดถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าสู่นภาชั้นที่ห้า อยู่ห่างไกลจากนภาชั้นที่หกอีกมากนัก ไม่ต้องพูดถึงนภาชนที่เจ็ดเลย

 

“อืม ดูเหมือนว่าจักรพรรดิถังจะฟื้นตัวดีขึ้นนะ” 

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองไปยังโถงชีวิตนิรันดร์

 

ในเวลานี้จักรพรรดิถังหลี่เชิงกําลังเสวยอาหารที่จัดเตรียมโดยห้องเครื่องส่วนพระองค์อย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่าพระองค์หายจากการคิดใคร่ครวญแต่กับเรื่องราวในราชสํานักแล้ว

เมื่อซูฉินเห็นดังนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงจะเป็นน้องเขยของซูฉิน แต่เขาก็ยังเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังด้วย

 

ซูฉินเห็นแก่น้องสาวของตน ซูเยว่หยุน เมื่อเห็นจักรพรรดิหลี่เชิงตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต เขาจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

 

แต่เรื่องอื่นๆ ซูฉินไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่

 

ไม่เช่นนั้นหากต้องช่วยจักรพรรดิถังในทุกเรื่องเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น แล้วเขาจะเอาเวลาไหนไปบ่มเพาะเล่า?

 

มีคนเป็นร้อยล้านคนในอาณาจักรถัง มีทั้งตัวตนที่ยิ่งใหญ่และบุคคลที่เล็กจ้อย ถ้าซูฉินต้องมาจัดการเรียงตัวเกรงว่าเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะจนถึงขั้นเซียนเทพปฐพี ได้ และคงตายไปเมื่ออายุมากขึ้น

 

ซูฉินอยู่ในพระราชวังนี้เดิมทีก็เพราะความเงียบสงบสะอาดเอี่ยมของสถานที่และไม่มีใครมารบกวนตัวเขา หากไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองมันจะไม่ขัดกับความประ สงค์ของเขาหรอกหรือ?

 

นอกจากนี้ สิ่งที่ซูฉินทําลงไปก็เพียงพอแล้วกับจักรพรรดิหลี่เชิง novelza

 

ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉิน จักรพรรดิถังหลี่เชิงคงจะสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เจอมือลอบสังหารครั้งเมื่อเดินทางไปยังตระกูลซูแล้ว ยังไม่ได้พูดถึงการก่อกบฏขององค์ชายเฉิน ซูฉิ นก็เป็นคนลงมือปราบเอง

 

ซูฉินช่วยชีวิตจักรพรรดิถังหลี่เชิงไว้ถึงสามครั้งสามครา ส่งเสริมให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอสําหรับการยืมใช้สถานที่ภายในวัง

 

“ช่วงเวลาหลังจากนี้ ข้าจะปิดด่านฝึกตน เพื่อปรับสภาพให้ระดับนภาชั้นที่ห้ามั่นคงขึ้น”

 

ความคิดของซูฉินแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจในทันที

 

ในระหว่างที่ปิดด่านฝึกตน ซูฉินก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจจับตระกูลซูและองค์จักรพรรดิถัง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อย วางสิ้นทั้งหมด

 

และเมื่อยามที่ซูฉินปิดด่านฝึกตน

 

ภายในอาณาจักรถังก็เริ่มมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวขึ้น

 

นับตั้งแต่ราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ได้สั่งสอนราชสํานัก อย่างเป็นการลับและหลังจากที่พวกเขารู้ว่าจักรพรรดิถังล้มป่วย พวกเขาก็ยิ่งเหิมเกริมกันมากขึ้นไปอีก

 

ราชาเจี้ยนหนานเยาะเย้ยจักรพรรดิถังกลางที่สาธารณะ

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินข่าว สีหน้าของพระองค์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลย ไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ยอมรับอะไร

 

ท่าทีเช่นนี้ทําให้เหล่าขุนนางหัวเมืองทั้งสิบต่างรู้สึกว่าจักรพรรดิถังถูกปราบปรามลงแล้ว และในช่วงนี้อํานาจของเหล่าขุนนางหัวเมืองของอาณาจักรถังก็มีอยู่ในมืออย่า งล้นหลาม

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

เวลาสองปีผ่านไปในชั่วพริบตา

 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ความมั่นใจในตัวเองของเหล่าราชาหัวเมืองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราชาอันซีถึงกับส่งเรื่องยื่นขอรับศักดินาเพิ่มเติม

novelza

เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ศาลขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต่างก็ขุ่นเคือง

 

อาณาเขตดินแดนของราชาหัวเมืองทั้งสิบรวมกันก็เท่ากับหนึ่งในห้าของอาณาจักรถังแล้ว หากยังได้รับศักดินาเพิ่มอีก มิเท่ากับให้แผ่นดินไปกว่าครึ่งของอาณาจักรถังเลยหรือ

 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีครั้งแรก มันก็ต้องมีครั้งที่สองครั้งที่สาม

 

ในเวลานั้นอาณาจักรถังคงต้องเปลี่ยนชื่อไปเสียแล้วอย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ออกคําสั่งให้กองทัพจากเมืองหลวง พุ่งเป้าจัดการฐานที่มั่นของเหล่าสายลับที่ถูกส่งมาจากราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

รวมไปถึงขุนนางทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาหัวเมืองทั้งสิบ โดยไม่สนว่าจะมีตําแหน่งอะไร

 

แรกเริ่มเดิมที

 

สองปีที่ผ่านมา ที่เห็นว่าจักรพรรดิหลี่เชิงไม่ได้ทําอะไรเลย แต่พระองค์ได้สืบทราบจนรู้ตัวสายลับและหมากที่วางเอาไว้ โดยราชาหัวเมืองทั้งสิบในเมืองฉางอัน

 

จนกระทั่งวันนี้ วันที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบเหิมเกริมถึงขีดสุด พระองค์ก็ลงมืออย่างรวดเร็ว จัดการดึงรากฐานของราชาหัวเมืองทั้งสิบออกจากเมืองฉางอันในคราวเดียว

 

และการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิหลี่เชิงประสบความสําเร็จไปได้ด้วยดี

 

สองปีแห่งการอดทนอดกลั้น เพื่อแลกกับการมาระเบิดในครานี้ สร้างความสับสนให้ขุนนางหัวเมืองทั้งสิบไปตรงๆ

 

ภายในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

ราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง

 

“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าการปกครองของจักรพรรดิถังอ่อนแอไปแล้วหรอกหรือ? ทําไมข้าถึงสูญเสียรากฐานในเมืองฉางอันไปในชั่วข้ามคืน?”

 

ใบหน้าของราชาเจี้ยนหนานกลายเป็นน่าเกลียดและ เกือบจะขู่คํารามออกมา

 

“เจ้ามาถามข้า แล้วข้าจะไปรู้หรือ?” ดวงตาของราชาเหอตงก็มืดมัวเช่นกัน ใบหน้าของเขาแสดงอาการร้อนใจ

 

เขากําลังกังวลเรื่องกําลังคนที่ตนวางเอาไว้ในเมืองฉางอัน จู่ๆ ก็หายไป จะเอาอารมณ์ที่ไหนไปสนใจคําพูดของราชาเจี้ยนหนาน?

 

“นี่เป็นปัญหาแล้ว”

 

“ถ้าไม่มีหูตาของหมากที่วางเอาไว้ในเมืองหลวง พวกเราก็เหมือนกับคนตาบอด ไม่รู้ความเคลื่อนไหวใดภายในเมืองฉางอันเลย…”

 

ราชาฟ่านหยางถอนหายใจและมองไปที่ราชาหัวเมืองคนอื่นๆ “เราควรทําเช่นไรกันดีตอนนี้?”

 

“แน่นอนแล้ว”

 

“จักรพรรดิถังเต็มไปด้วยกลวิธีที่แสนชั่วร้าย ตอนที่มันล้มป่วยเมื่อสองปีก่อนข้าก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากว่าแปดส่วนจะเป็นข่าวลวง มันจงใจรอจนพวกเราเผยจุดอ่อน…”

 

ราชาชวอฟางถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

ราชาหัวเมืองเหล่านี้ทราบถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ดี เมื่อหมากที่วางเอาไว้ในเมืองฉางอันถูกดึงออกไป พวกเขาจะไม่ทราบข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับเมืองฉางอันเลย มันเท่ากับมีมีดแขวนไว้เหนือศีรษะพวกเขาและไม่รู้เลยว่าจะตกลงมาเมื่อไหร่

 

ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ราชาหัวเมืองจะพ่ายแพ้

 

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เรื่องง่ายๆ พวกเจ้าแค่ต้องต่อสู้กับจักรพรรดิถังกันตรงๆ”

novelza

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+