เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด

 

เมืองฉางอัน

 

วังหลวง

 

ด้านบนของจัตุรัสหยกขาว

 

เย่กู้เฉิงเห็นเพียงประกายดาบพุ่งมาจากที่แห่งหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวัง และรู้สึกว่าลานสายตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งอื่นได้นอกจากมัน มันบดบังการมองเห็นอย่างสมบูรณ์ทุกอย่างราวกับภาพลวงตา

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

กระบี่ยาวในมือของเย่กู้เฉิงปรากฏรอยแตกกระจายไปทั่วตัวกระบี่ในชั่วพริบตา

 

“พี่ชายเย่”

 

ไม่ไกลนัก ลูกตาของซีเหมินชุยเฉวพลันหดตัวแคบลงและมองไปที่เกู้เฉิน

 

“นี่คือ?”

 

ซีเหมินชุยเฉว่ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ประกายดาบถูกกวาดกระจายออกมา

 

หวิ่ง!

 

สติของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวเริ่มที่จะมัวหม่น จมดิ่งสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด

 

และในตอนนี้

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายในจัตุรัสหยกขาวซึ่งกําลังเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนที่ทรงพลังไร้ต้านทาน บัดนี้ทั้งคู่กลับร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าและล้มลงแทบพื้นพสุธาเสียงสนั่นไปทั่วจัตุรัสหยกขาว

“นี่?”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เห็นฉากดังกล่าวต่างมองหน้ากันไปมา

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงกับคิดว่าพวกตนคงจะต้องตกตายอยู่ใต้คมกระบี่ของเย่กู้เฉิงเสียแล้ว

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะคิดฝันได้

 

“ฝ่า..ฝ่าบาท ตอนนี้ควรทําอย่างไรต่อดี?”

 

รองแม่ทัพพยายามระงับความตกใจของตนมองไปที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา

 

“หลิวกงกง ไปตรวจดูหน่อยซิ”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้น

 

“ตามพระบัญชา” หลิวกงกงโค้งคํานับให้เล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไปยังตําแหน่งที่เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวตกลงมา

 

ส่วนยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ตีกรอบล้อมเข้ามาทีละนิดด้วยวิธีการเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นกลอุบายของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่ พวกเขาก็จะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและจบเรื่องราวให้ได้ไวที่สุด

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

หลิวกงกงรีบกลับมาและกระซิบคําบอกต่อองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่ “ฝ่าบาท คนพวกนั้นตายหมดแล้ว

 

“ตายแล้ว?”

 

หลี่เชิง จักรพรรดิพระองค์ใหม่นิ่งเงียบไป

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่ที่ทรงพลังอํานาจถึงสองคนกลับมาตกตายเช่นนี้น่ะหรือ?

 

“ฝ่าบาท อาจจะเป็นฝีมือของผู้อาวุโสที่เคยลงมือเมื่อสองปีก่อน?”

 

ในขณะนั้นท่านแม่ทัพแห่งวังหลวงก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้แล้วกระซิบบอกออกไป

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ความคิดขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อสองปีที่แล้วองค์ชายเฉินสมรู้ร่วมคิดกับหนานหมิง และราชาหรู่หยางรวมถึงอินจิ๋วสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งคู่ ต่างถูกสังหารตกตายอยู่นอกพระราชวัง

 

ในยามนั้นองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงตกอยู่ในความสิ้นหวัง เกือบจะผ่านพ้นวิกฤติไปไม่ได้ เพราะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดถึงสองคนที่ร่วมมือกัน

 

ในตอนนั้นเองเสียงคู่ฉินก็ดังขึ้น

 

และหลังจากเสียงบรรเลงจากภู่ฉินจบลง มันก็จบลงพร้อมกับความตาย

 

หลี่เชิง จักรพรรดิพระองค์ใหม่สัมผัสได้รางๆ ว่าคงจะมียอดฝีมือที่ได้เปรียบหลบอยู่ในวังหลวง แต่ในเมื่อพวกเขาไม่ เคยพบท่านผู้นั้นจึงไม่สามารถยืนยันเรื่องราวได้

“ข้ารู้แล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ครุ่นคิด

 

แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดยอดฝีมือที่ได้เปรียบผู้นี้ จึงอาศัยอยู่ภายในวังหลวง ทั้งยังพยายามช่วยอาณาจักรถังไว้หลายต่อหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีความปรารถนาอันดีต่ออาณาจักรถัง

 

“เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะเป็นบรรพบุรุษสักคนที่ยังมีชีวิตอยู่

?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงทําได้แต่เดาอยู่ในใจ

 

สถานะของราชวงศ์ถังมีมานานกว่าห้าร้อยปี มีบรรพบุรุษที่เป็นถึงตํานานยุทธ หากจะมีบรรพบุรุษคนใดซ่อนตัวอยู่ในวังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

“ดีแล้วล่ะ”

 

“พวกเจ้าแยกย้ายกลับกันไปได้แล้ว”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงคิดคํานึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกคําสั่ง

 

“ตามพระบัญชา”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้มิด พวกเขาค่อยๆก้าวถอยกลับไปที่ละคน

 

เดิมที่พวกเขาคิดว่าวันนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่แสนยากลํา บาก และถึงแม้จะจัดการยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งสองคนได้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะกลายมาเป็นแบบนี้

 

หลังจากนั้นพระราชวังก็ค่อยๆสงบลง

 

จอมยุทธที่มารั้งรออยู่ในเมืองฉางอันแต่เนิ่นๆ ต่างก็งงงวย

 

แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองฉางอันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขตพระราชวังได้เลย ทําได้เพียงสัมผัสความผันผวนของกระแสพลังที่มาจากวังหลวงในระยะไกลเท่านั้น

 

การต่อสู้ของยอดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนั้น แม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายที่กระจายออกมาก็เพียงพอที่จะแพร่ไปทั่วทั้งเมืองฉางอันเลยทีเดียว

 

จอมยุทธเหล่านั้นไม่กล้าคาดหวังที่จะได้ชมดูการต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนอยู่แล้ว

 

หนึ่ง เป็นเพราะขีดจํากัดของพวกเขา สําหรับยอมยุทธที่พากันเข้ามาภายในเมืองฉางอัน หากต้องการเข้ามาใกล้พระราชวังถัง พวกเขาก็ต้องพึงสังวรไว้ด้วยว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งภายในราชวงศ์ถังนั้นเป็นชื่อที่ตั้งไว้ลอยๆ หรือไม่?

 

ประการที่สอง แม้ทางพระราชวังถึงจะอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในวังเพื่อชมการต่อสู้จริง แต่ใครจะกล้าไปกันเล่า?

 

การต่อสู้ของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเพียงใด แค่ผลพวงจากพลังที่กระจัดกระจายออกมาก็เพียง พอที่จะกดดันจนจอมยุทธส่วนใหญ่จนหายใจไม่ออก

 

จอมยุทธพวกนั้นล้วนอยากดู แต่ไม่มีใครที่อยากจะแขวนชีวิตของตนเองไว้ในกํามือของผู้อื่น

 

แม้ว่าจะไม่ได้รับชมการต่อสู้ของยอดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง แต่การรับรู้ถึงกลิ่นอายพลังจากระยะไกลก็เป็นประโยชน์ต่อตัวของพวกเขาอย่างรู้จบรู้สิ้นแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม

 

สิ่งที่ทําให้จอมยุทธทั้งหลายยากที่จะเข้าใจได้ก็คือ กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาจากวังหลวงนั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เย่กู้เฉิงกับซีเหมินชุยเฉวต่อสู้กันจริงรึเปล่าเนี่ย?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่านี่จะเป็นเรื่องหลอกลวง? ไม่สิ ด้วยตัวตนของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่ ในเมื่อกล่าวว่าจะมาชี้แนะวิถีกระบีกันที่พระราชวังถังแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทําตามที่

พูด…”

 

จอมยุทธทั้งหลายต่างพูดคุยส่งเสียงกัน น้ำเสียงของแต่ละคนเต็มไปด้วยความงงงวย

 

ในขณะนั้นชายชราที่มีผมและเคราสีขาวก็ยืนขึ้น

 

“บางที่เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่อาจจะมาถึงแล้ว”

 

ชายชราผมขาวเป็นยอดยุทธในขอบเขตสามระดับบนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เมื่อเขาเอ่ยคําขึ้น จอมยุทธที่อยู่รอบๆ ต่างก็เงียบฟัง

 

“ หมายความว่าเช่นไรกัน?”

 

จอมยุทธบางคนที่อดใจไม่ไหวก็ถามออกไป

 

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวเงียบอยู่นานก่อนที่จะพูดขี้นว่า “ผู้คนล้วนมาอยู่ที่นี่แต่จะได้สู้กันหรือเปล่านั่นก็เป็นอีกเรื่อง…”

คําที่กล่าวออกมา

 

จอมยุทธทั้งหมดต่างก็ตกใจ

 

พวกเขาเข้าใจความหมายของชายชราผมขาวดี ขณะนี้เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวอาจจะถูกใครบางคนภายในพระราชวังถึงปราบไปแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น จึงไม่มีการต่อสู้อีกต่อไป

 

“ภายในพระราชวังถึงนี่เก็บซ่อนความน่ากลัวเอาไว้มากจริงๆ”

 

ในที่สุดชายชราผมเคราขาวก็เอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

 

เหล่าจอมยุทธต่างมองหน้ากันหัวใจของพวกเขากระตุกวูบอย่างอธิบายไม่ได้

 

วังหลวง

 

ตําหนักชุนฝั่งขวา

 

หลังจากซูฉินสะบัดมือออกไปเป็นประกายดาบ เขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวังอีก

 

ด้วยประกายดาบที่ส่งออกไปนั้นอย่าว่าแต่เย่กู้เฉิงหรือซีเหมินชุยเฉวที่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งสองคน เลยแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่สามารถปัดป้องได้

 

“หลังจากการฝึกฝนอันหนักหน่วงมากว่าหนึ่งปี ในที่สุดข้าก็ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น…”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ รับรู้ถึงไอพลังของตนที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สี่ แม้ว่าเขาจะใช้ สมบัติไปมากมายเช่น หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้งหรือโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคํา แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมาได้เชื่องช้ามาก

 

แต่ตอนนี้มันได้ก้าวหน้าขึ้นแล้ว

 

หากจะแบ่งขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่เป็นสามระดับย่อย ซูฉินก็มาถึงระดับที่สองแล้วในตอนนี้

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าแสดงความพึงพอใจอยู่เล็กน้อย

 

หลังจากนั้น

เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด

 

เมืองฉางอัน

 

วังหลวง

 

ด้านบนของจัตุรัสหยกขาว

 

เย่กู้เฉิงเห็นเพียงประกายดาบพุ่งมาจากที่แห่งหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวัง และรู้สึกว่าลานสายตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งอื่นได้นอกจากมัน มันบดบังการมองเห็นอย่างสมบูรณ์ทุกอย่างราวกับภาพลวงตา

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

กระบี่ยาวในมือของเย่กู้เฉิงปรากฏรอยแตกกระจายไปทั่วตัวกระบี่ในชั่วพริบตา

 

“พี่ชายเย่”

 

ไม่ไกลนัก ลูกตาของซีเหมินชุยเฉวพลันหดตัวแคบลงและมองไปที่เกู้เฉิน

 

“นี่คือ?”

 

ซีเหมินชุยเฉว่ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ประกายดาบถูกกวาดกระจายออกมา

 

หวิ่ง!

 

สติของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวเริ่มที่จะมัวหม่น จมดิ่งสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด

 

และในตอนนี้

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายในจัตุรัสหยกขาวซึ่งกําลังเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนที่ทรงพลังไร้ต้านทาน บัดนี้ทั้งคู่กลับร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าและล้มลงแทบพื้นพสุธาเสียงสนั่นไปทั่วจัตุรัสหยกขาว

“นี่?”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เห็นฉากดังกล่าวต่างมองหน้ากันไปมา

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงกับคิดว่าพวกตนคงจะต้องตกตายอยู่ใต้คมกระบี่ของเย่กู้เฉิงเสียแล้ว

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะคิดฝันได้

 

“ฝ่า..ฝ่าบาท ตอนนี้ควรทําอย่างไรต่อดี?”

 

รองแม่ทัพพยายามระงับความตกใจของตนมองไปที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา

 

“หลิวกงกง ไปตรวจดูหน่อยซิ”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้น

 

“ตามพระบัญชา” หลิวกงกงโค้งคํานับให้เล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไปยังตําแหน่งที่เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวตกลงมา

 

ส่วนยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ตีกรอบล้อมเข้ามาทีละนิดด้วยวิธีการเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นกลอุบายของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่ พวกเขาก็จะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและจบเรื่องราวให้ได้ไวที่สุด

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

หลิวกงกงรีบกลับมาและกระซิบคําบอกต่อองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่ “ฝ่าบาท คนพวกนั้นตายหมดแล้ว

 

“ตายแล้ว?”

 

หลี่เชิง จักรพรรดิพระองค์ใหม่นิ่งเงียบไป

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่ที่ทรงพลังอํานาจถึงสองคนกลับมาตกตายเช่นนี้น่ะหรือ?

 

“ฝ่าบาท อาจจะเป็นฝีมือของผู้อาวุโสที่เคยลงมือเมื่อสองปีก่อน?”

 

ในขณะนั้นท่านแม่ทัพแห่งวังหลวงก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้แล้วกระซิบบอกออกไป

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ความคิดขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อสองปีที่แล้วองค์ชายเฉินสมรู้ร่วมคิดกับหนานหมิง และราชาหรู่หยางรวมถึงอินจิ๋วสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งคู่ ต่างถูกสังหารตกตายอยู่นอกพระราชวัง

 

ในยามนั้นองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงตกอยู่ในความสิ้นหวัง เกือบจะผ่านพ้นวิกฤติไปไม่ได้ เพราะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดถึงสองคนที่ร่วมมือกัน

 

ในตอนนั้นเองเสียงคู่ฉินก็ดังขึ้น

 

และหลังจากเสียงบรรเลงจากภู่ฉินจบลง มันก็จบลงพร้อมกับความตาย

 

หลี่เชิง จักรพรรดิพระองค์ใหม่สัมผัสได้รางๆ ว่าคงจะมียอดฝีมือที่ได้เปรียบหลบอยู่ในวังหลวง แต่ในเมื่อพวกเขาไม่ เคยพบท่านผู้นั้นจึงไม่สามารถยืนยันเรื่องราวได้

“ข้ารู้แล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ครุ่นคิด

 

แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดยอดฝีมือที่ได้เปรียบผู้นี้ จึงอาศัยอยู่ภายในวังหลวง ทั้งยังพยายามช่วยอาณาจักรถังไว้หลายต่อหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีความปรารถนาอันดีต่ออาณาจักรถัง

 

“เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะเป็นบรรพบุรุษสักคนที่ยังมีชีวิตอยู่

?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงทําได้แต่เดาอยู่ในใจ

 

สถานะของราชวงศ์ถังมีมานานกว่าห้าร้อยปี มีบรรพบุรุษที่เป็นถึงตํานานยุทธ หากจะมีบรรพบุรุษคนใดซ่อนตัวอยู่ในวังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

“ดีแล้วล่ะ”

 

“พวกเจ้าแยกย้ายกลับกันไปได้แล้ว”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงคิดคํานึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกคําสั่ง

 

“ตามพระบัญชา”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้มิด พวกเขาค่อยๆก้าวถอยกลับไปที่ละคน

 

เดิมที่พวกเขาคิดว่าวันนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่แสนยากลํา บาก และถึงแม้จะจัดการยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งสองคนได้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะกลายมาเป็นแบบนี้

 

หลังจากนั้นพระราชวังก็ค่อยๆสงบลง

 

จอมยุทธที่มารั้งรออยู่ในเมืองฉางอันแต่เนิ่นๆ ต่างก็งงงวย

 

แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองฉางอันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขตพระราชวังได้เลย ทําได้เพียงสัมผัสความผันผวนของกระแสพลังที่มาจากวังหลวงในระยะไกลเท่านั้น

 

การต่อสู้ของยอดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนั้น แม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายที่กระจายออกมาก็เพียงพอที่จะแพร่ไปทั่วทั้งเมืองฉางอันเลยทีเดียว

 

จอมยุทธเหล่านั้นไม่กล้าคาดหวังที่จะได้ชมดูการต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนอยู่แล้ว

 

หนึ่ง เป็นเพราะขีดจํากัดของพวกเขา สําหรับยอมยุทธที่พากันเข้ามาภายในเมืองฉางอัน หากต้องการเข้ามาใกล้พระราชวังถัง พวกเขาก็ต้องพึงสังวรไว้ด้วยว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งภายในราชวงศ์ถังนั้นเป็นชื่อที่ตั้งไว้ลอยๆ หรือไม่?

 

ประการที่สอง แม้ทางพระราชวังถึงจะอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในวังเพื่อชมการต่อสู้จริง แต่ใครจะกล้าไปกันเล่า?

 

การต่อสู้ของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเพียงใด แค่ผลพวงจากพลังที่กระจัดกระจายออกมาก็เพียง พอที่จะกดดันจนจอมยุทธส่วนใหญ่จนหายใจไม่ออก

 

จอมยุทธพวกนั้นล้วนอยากดู แต่ไม่มีใครที่อยากจะแขวนชีวิตของตนเองไว้ในกํามือของผู้อื่น

 

แม้ว่าจะไม่ได้รับชมการต่อสู้ของยอดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง แต่การรับรู้ถึงกลิ่นอายพลังจากระยะไกลก็เป็นประโยชน์ต่อตัวของพวกเขาอย่างรู้จบรู้สิ้นแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม

 

สิ่งที่ทําให้จอมยุทธทั้งหลายยากที่จะเข้าใจได้ก็คือ กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาจากวังหลวงนั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เย่กู้เฉิงกับซีเหมินชุยเฉวต่อสู้กันจริงรึเปล่าเนี่ย?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่านี่จะเป็นเรื่องหลอกลวง? ไม่สิ ด้วยตัวตนของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่ ในเมื่อกล่าวว่าจะมาชี้แนะวิถีกระบีกันที่พระราชวังถังแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทําตามที่

พูด…”

 

จอมยุทธทั้งหลายต่างพูดคุยส่งเสียงกัน น้ำเสียงของแต่ละคนเต็มไปด้วยความงงงวย

 

ในขณะนั้นชายชราที่มีผมและเคราสีขาวก็ยืนขึ้น

 

“บางที่เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่อาจจะมาถึงแล้ว”

 

ชายชราผมขาวเป็นยอดยุทธในขอบเขตสามระดับบนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เมื่อเขาเอ่ยคําขึ้น จอมยุทธที่อยู่รอบๆ ต่างก็เงียบฟัง

 

“ หมายความว่าเช่นไรกัน?”

 

จอมยุทธบางคนที่อดใจไม่ไหวก็ถามออกไป

 

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวเงียบอยู่นานก่อนที่จะพูดขี้นว่า “ผู้คนล้วนมาอยู่ที่นี่แต่จะได้สู้กันหรือเปล่านั่นก็เป็นอีกเรื่อง…”

คําที่กล่าวออกมา

 

จอมยุทธทั้งหมดต่างก็ตกใจ

 

พวกเขาเข้าใจความหมายของชายชราผมขาวดี ขณะนี้เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวอาจจะถูกใครบางคนภายในพระราชวังถึงปราบไปแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น จึงไม่มีการต่อสู้อีกต่อไป

 

“ภายในพระราชวังถึงนี่เก็บซ่อนความน่ากลัวเอาไว้มากจริงๆ”

 

ในที่สุดชายชราผมเคราขาวก็เอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

 

เหล่าจอมยุทธต่างมองหน้ากันหัวใจของพวกเขากระตุกวูบอย่างอธิบายไม่ได้

 

วังหลวง

 

ตําหนักชุนฝั่งขวา

 

หลังจากซูฉินสะบัดมือออกไปเป็นประกายดาบ เขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวังอีก

 

ด้วยประกายดาบที่ส่งออกไปนั้นอย่าว่าแต่เย่กู้เฉิงหรือซีเหมินชุยเฉวที่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งสองคน เลยแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่สามารถปัดป้องได้

 

“หลังจากการฝึกฝนอันหนักหน่วงมากว่าหนึ่งปี ในที่สุดข้าก็ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น…”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ รับรู้ถึงไอพลังของตนที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สี่ แม้ว่าเขาจะใช้ สมบัติไปมากมายเช่น หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้งหรือโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคํา แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมาได้เชื่องช้ามาก

 

แต่ตอนนี้มันได้ก้าวหน้าขึ้นแล้ว

 

หากจะแบ่งขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่เป็นสามระดับย่อย ซูฉินก็มาถึงระดับที่สองแล้วในตอนนี้

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าแสดงความพึงพอใจอยู่เล็กน้อย

 

หลังจากนั้น

เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+