เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 239.2 (ll) ยืดอายุพันปี!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 239.2 (ll) ยืดอายุพันปี! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 239 (II)

Sign in Buddha’s palm 239 (11) ยืดอายุพันปี!

เมื่อเวลาผ่านเลยไป

ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ เวลาที่วิหารการสงครามจะถือกําเนิดขึ้นก็ใกล้เข้ามาทุกที

ในเวลานี้ เหล่าผู้ทรงพลังอํานาจต่างก็ขึ้นมาบนยอดเขามากขึ้นเรื่อยๆ ยึดพื้นที่ของตนไว้มั่น ระแวงซึ่งกันและกัน

ตัวตนทรงพลังอํานาจเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด และมีหลายคนในนี้ก็แปรสภาพพลังได้มากกว่าหนึ่งครั้งในเวลานี้พวกเขาก็มารวมตัวกันที่นี่โดยคิดว่าจะใช้โอกาสอันดีภายในวิหารการสงครามเพื่อก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหลังจากนั้นก็จะสามารถมีอายุขัยมากขึ้นเป็นห้าร้อยปี

“คราวนี้ที่วิหารการสงครามได้ถือกําเนิดขึ้น ตามบันทึกก่อนหน้านี้มันสามารถเข้าไปได้เพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้นพวกเจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการจะแข่งขันกับข้า?” ชายผิวคล้ําคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายชวนน่าอึดอัดเหลือบมองคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างเย็นชา

เขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่เพิ่งแปรสภาพพลังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อันที่จริงแล้ว ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนี้โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกัน

พวกเขาอาศัยช่วงที่กระแสปราณีฟื้นฟูเพื่อก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแปรสภาพพลัง เข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

“เฮเฮ”

“วิหารการสงครามนั้นเป็นโอกาสใหญ่ยิ่งที่ไม่อาจจะพบเห็นได้ง่ายๆในรอบพันปี ทําไมข้าจะต้องมอบให้เจ้า?” ชายชราที่แต่งกายแปลกตาอีกคนก็กล่าวขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่เขายืนอยู่นั้นก็ได้แผ่กลิ่นอายที่ทําให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดไม่กล้าเข้าใกล้

“อิ่ม!”

ชายผิวคล้ําแค่นเสียงเย็นชา แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อไปอีก

ชายชราที่แต่งตัวแปลกตานั้นต่างไปจากเขา เข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งถึง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชายผิวคล้ําจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ใบหน้าของเขากลับไม่แสดงอาการเกรงกลัวมากนัก

แม้เขาจะคิดว่าความแข็งแกร่งของชายชรานั้นไม่ธรรมดาแต่ปัจจุบันมียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมากมายมารวมตัวกันบนภูเขาแม้ด้วยความแข็งแกร่งของชายชราก็ต้องให้ความสําคัญกับสถานกา รณ์ตรงหน้าเมื่อวิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้นเขาอาจจะถูกกํา จัดโดยยอดฝีมือคนอื่นๆจนทําให้สูญเสียโอกาสในการเข้าสู่วิหารการสงครามก็เป็นได้

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดแบ่งออกเป็นสามระดับแปรสภาพพลังหนึ่งครั้ง แปรสภาพพลังสองครั้งและแปรสภาพพลังสามครั้ง

แม้จะมีช่องว่างระหว่างสามระดับนี้ แต่ก็ไม่ได้ห่างกันไกลราวกับผืนดินและแผ่นฟ้า อย่างน้อยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้งก็สามารถร่วมมือกัน ไม่ต้องถึงกับเอาชนะระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังได้สองครั้ง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาในการยื้อเวลาไว้ในช่วงสั้นๆ

ต้นไม้ยิ่งใหญ่ยิ่งต้องต้านลมแรงมากเท่านั้น

ยิ่งชายชราโดดเด่นมากเพียงไร เขาก็ยิ่งต้องพบเจออุปสรรคในการก้าวเข้าสู่วิหารการสงครามมากเท่านั้น แต่สําหรับชายผิวคล้ําที่เป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้งนี้ นมันเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก

“ยี่สี่ ข่าววิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้นในครั้งนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว พวกเจ้าคิดว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะมาไหม?” หญิงชราถือไม้เท้าเป็นคนที่สามที่กล่าวออกมาอย่างช้าๆ

คําที่กล่าวออกมา

ท่าทีของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดก็เปลี่ยนไป

มาก

ในระดับของพวกเขา แม้จะได้รับอิทธิพลมาจากการฟื้นตัวของกระแสปราณฉีช่วยให้เลื่อนระดับขั้นแต่พวกเขาก็ล้วนฉลาดเฉลียวย่อมมีความรู้ความเข้าใจเป็นธรรมดาว่า เมื่อใดที่ตํานานยุทธเมือง ฉางอันมาถึงที่นี่สถานการณ์อาจจะพลิกกลับได้

แม้จะต้องเจอยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่มีการแปรสภาพพลังสามครั้งยอดฝีมือเหล่านี้ก็พอจะมั่นใจว่าสามารถจัดการได้

แต่ตํานานยุทธนั้น

แม้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดในที่นี้จะร่วมมือกันก็ไม่เพียงพอที่จะสู้รบตบมือกับตํานานยุทธ

ระหว่างขอบเขตวิทยายุทธเก้าระดับชั้นกับขอบเขตตํานานยุทธไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่ามันแตกต่างกันราวกับก้อนเมฆบนฟ้ากับโคลนตมในดิน

“ข้าได้ข่าวมา เมื่อไม่นานมานี้ที่ตีนเขาคุนหลุนมีร่องรอยของตํานานยุทธที่น่าสงสัยปรากฏตัวขึ้น”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดผู้นั้นพูดออกมาอย่างช้าๆ“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิมารร้ายที่เพิ่งออกมาจากด่านกตนเรียกคนผู้นั้นว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่….”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนนี้ก็ไม่ได้รู้อะไรเจาะลึกมากนัก ในเวลานั้นมีจอมยุทธหลายร้อยคนมารวมตัวกันที่โรงเตี้ยมแห่งนั้นไม่รู้ว่ามีข่าวลือออกไปมากมายเพียงใด

“เจ็ดสิบปีที่แล้ว จักรพรรดิมารร้ายกําลังจะถึงจุดแปรสภาพพลังและหลังจากปิดด่านฝึกตนไปกว่าเจ็ดสิบปี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ แต่ก็ต้องอยู่ไม่ไกลแล้ว…”

ชายผิวคล้ําดูเคร่งขรึม

ด้วยความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้าย เขากลับถูกบังคับให้ต้องเรียกว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่” ก็เห็นจะมีแต่ตํานานยุทธเท่านั้นที่ทําได้

“เมื่อเป็นเช่นนั้น หากตํานานยุทธต้องการจะเข้าไปภายในวิหารการสงคราม จะมีใครในหมู่พวกเจ้าที่กล้าขัดขวางด้วยหรือ?” ใบหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดผู้นั้นมีแววเยาะเย้ยอยู่ในที

จอมยุทธคนอื่นๆ ที่ได้ยินก็ต่างเงียบ

พวกเขาหรือจะกล้าไปขัดขวาง ล้อเล่นหรืออย่างไร? การเข้าไปขัดขวางตํานานยุทธ ไม่คิดจะมีอายุยืนแล้วหรือไร?

“แม้ว่าตํานานยุทธจะมาที่นี่จริงๆ เราจะไปทําอะไรได้? ทุกครั้งที่วิหารการสงครามปรากฏขึ้น มีที่ว่างให้เข้าไปได้ถึงยี่สิบที่แม้จะเป็นตํานานยุทธก็ใช้เพียงที่เดียวเท่านั้น ยังมีที่เหลืออีกตั้งสิบเก้าที่”

ชายผิวคล้ําเย้ยหยัน “แล้วเจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าหากมีตํานานยุทธมาด้วยกันทั้งหมดยี่สิบคนทุกคนจะได้เข้าวิหารการสงครามกันหมดทุกที่หรือเปล่า?”

ท่าทีของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดต่างผ่อนคลายลงอย่างกะทันหัน จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องยากมาก ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือในปัจจุบันที่ยุคๆ หนึ่งจะมีตํานานยุทธปรากฏตัวมากถึงยีสิบคน? มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไร้สาระ

ต่อให้นับรวมตํานานยุทธที่ถือกําเนิดมาแล้วเป็นพันปีมันก็ยังไม่ถึงยี่สิบ

“เอาล่ะ”

“อย่าได้พูดเรื่องไร้สาระกันต่อไปเลย ตามบันทึกที่อ่านมาตอนนี้วิหารการสงครามใกล้จะปรากฏขึ้นแล้ว” หญิงชราที่ถือไม้เท้าพูดต่อไปว่า “วิหารการสงครามที่กําเนิดขึ้นในครั้งนี้ มีทั้งหมดยี่สิบ คนที่จะได้เข้าไปและตอนนี้ก็มีผู้คนมากมายหลายสิบคนรออยู่ในที่แห่งนี้ ”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าตรวจสอบผู้คนโดยรอบ ทันใดนั้นก็ส่งเสียงแปลกใจออกมา ดวงตาของนางกวาดไปเห็นจุดหนึ่งที่กึ่งกลางของภูเขา

ในตอนนี้มีสามร่างด้วยกัน โดยที่หันหลังให้กับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมากมายในพื้นที่แห่งนี้

มันคือซูฉินและผู้ติดตาม

บนยอดเขา ความผันผวนของชั้นบรรยากาศกระจายไปทั่วแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินยังถูกระงับไปหนึ่งในหมื่นส่วน ไม่ต้องกล่าวถึงจอมยุทธในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นที่ยังไม่เคยแตะถึงขอบเขตตํานานยุทธด้วยซ้ํา

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้เพิ่งจะขึ้นมาถึงส่วนยอดเขาดังนั้นจึงเพิ่งค้นพบการมีอยู่ของซูฉินและคนอื่นๆ

“พวกเขาคือ?”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าค้ํายันขมวดคิ้วมุ่น ซูฉินได้หันหลังให้พวกเขาโดยสิ้นเชิงไม่สามารถเห็นรูปร่างหน้าตาได้เลย

“เฉียนขู่จากวัดเส้าหลิน?”

เป็นที่รู้กันว่าเฉียนขู่นั้นเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

ในความเห็นของพวกเขา เฉียนขู่ก็เป็นเพียงชนรุ่นหลังและไม่ได้เป็นแม้แต่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะยืนต่อหน้ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้?

“เป็นเฉียนขู่จริงๆ”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าขมวดคิ้ว แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ และมีอรหันต์กําเนิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้วแต่เฉียนขู่เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น กล้าดีอย่างไรมาปรากฏตัวที่นี่?

“เจ้าหนู เดี๋ยวข้าจะช่วยสั่งสอนเจ้าแทนเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเองต่อหน้าผู้อาวุโสก็ต้องรู้จักการให้ความเคารพ!”

ชายผิวคล้ําโกรธจัด เดิมทีการมีที่ว่างเพียงยี่สิบที่ภายในวิหารการสงครามก็ทําให้เขาเครียดมากพออยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีตํานานยุทธปริศนาอีกหนึ่งจนที่ให้ที่ว่างเหลือแค่สิบเก้า และตอนนี้เขาเห็นว่าเฉียนขู่เพียงอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่กลับอยู่ใกล้กับวิหา รการสงครามมากแน่นอนมันทําให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนอื่นๆ เป็นคนกุมที่ว่างภายในวิหารการสงครามไว้ แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็จะไม่มีความคิดอื่นใด แต่กับคนรุ่นหลังอย่างเฉียนขู่ หากคว้าที่ว่างในการเข้าสู่วิหารการสงครามไปได้ มันคงเป็นความอัปยศต่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอย่างชายผิวคล้ํา

เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายผิวคล้ําก็ก้าวออกไปด้านหน้า วิ่งเข้าหาเฉียนขู่ภายในพริบตา ในขณะเดียวกันก็ยกมือขวาพร้อมที่จะสอนบทเรียนให้แก่เฉียนขู่ แล้วโยนมันออกจากเขาคุนหลุนไป

เบื้องหลังของเฉียนขู่คือวัดเส้าหลิน เขาจึงไม่กล้าสังหารแต่การโยนออกไปนั้นไม่จําเป็นต้องกังวลแต่ประการใด

เมื่อเห็นฉากนี้ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนอื่นๆก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วหยุดดู

แม้ว่าชายผิวคล้ําจะเพิ่งเลื่อนระดับมา แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด มันไม่ยากในการที่จะจัดการเฉียนขู่ที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่ง

ในขณะที่ทุกคนกําลังมองด้วยสายตาเย็นชาเหมือนกับเห็นภาพ ที่พรรคพวกของเฉียนขู่ทั้งสามคนจะถูกโยนออกไปเรียบร้อยแล้ว

ชายผิวคล้ําที่วิ่งเข้าไปในระยะหนึ่งร้อยจ้างรอบตัวเฉียนขู่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

ในช่วงเวลาต่อมา

แกรัก แกรัก

สายลมพัดโชยผ่านไป

เห็นรอยร้าวปรากฏขึ้นบนร่างของชายผิวคล้ําอย่างต่อเนื่องและในที่สุดมันก็แตกกระจายออกกลายเป็นผุยผง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 239.2 (ll) ยืดอายุพันปี!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 239.2 (ll) ยืดอายุพันปี! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 239 (II)

Sign in Buddha’s palm 239 (11) ยืดอายุพันปี!

เมื่อเวลาผ่านเลยไป

ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ เวลาที่วิหารการสงครามจะถือกําเนิดขึ้นก็ใกล้เข้ามาทุกที

ในเวลานี้ เหล่าผู้ทรงพลังอํานาจต่างก็ขึ้นมาบนยอดเขามากขึ้นเรื่อยๆ ยึดพื้นที่ของตนไว้มั่น ระแวงซึ่งกันและกัน

ตัวตนทรงพลังอํานาจเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด และมีหลายคนในนี้ก็แปรสภาพพลังได้มากกว่าหนึ่งครั้งในเวลานี้พวกเขาก็มารวมตัวกันที่นี่โดยคิดว่าจะใช้โอกาสอันดีภายในวิหารการสงครามเพื่อก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหลังจากนั้นก็จะสามารถมีอายุขัยมากขึ้นเป็นห้าร้อยปี

“คราวนี้ที่วิหารการสงครามได้ถือกําเนิดขึ้น ตามบันทึกก่อนหน้านี้มันสามารถเข้าไปได้เพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้นพวกเจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการจะแข่งขันกับข้า?” ชายผิวคล้ําคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายชวนน่าอึดอัดเหลือบมองคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างเย็นชา

เขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่เพิ่งแปรสภาพพลังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อันที่จริงแล้ว ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนี้โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกัน

พวกเขาอาศัยช่วงที่กระแสปราณีฟื้นฟูเพื่อก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแปรสภาพพลัง เข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

“เฮเฮ”

“วิหารการสงครามนั้นเป็นโอกาสใหญ่ยิ่งที่ไม่อาจจะพบเห็นได้ง่ายๆในรอบพันปี ทําไมข้าจะต้องมอบให้เจ้า?” ชายชราที่แต่งกายแปลกตาอีกคนก็กล่าวขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่เขายืนอยู่นั้นก็ได้แผ่กลิ่นอายที่ทําให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดไม่กล้าเข้าใกล้

“อิ่ม!”

ชายผิวคล้ําแค่นเสียงเย็นชา แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อไปอีก

ชายชราที่แต่งตัวแปลกตานั้นต่างไปจากเขา เข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งถึง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชายผิวคล้ําจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ใบหน้าของเขากลับไม่แสดงอาการเกรงกลัวมากนัก

แม้เขาจะคิดว่าความแข็งแกร่งของชายชรานั้นไม่ธรรมดาแต่ปัจจุบันมียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมากมายมารวมตัวกันบนภูเขาแม้ด้วยความแข็งแกร่งของชายชราก็ต้องให้ความสําคัญกับสถานกา รณ์ตรงหน้าเมื่อวิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้นเขาอาจจะถูกกํา จัดโดยยอดฝีมือคนอื่นๆจนทําให้สูญเสียโอกาสในการเข้าสู่วิหารการสงครามก็เป็นได้

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดแบ่งออกเป็นสามระดับแปรสภาพพลังหนึ่งครั้ง แปรสภาพพลังสองครั้งและแปรสภาพพลังสามครั้ง

แม้จะมีช่องว่างระหว่างสามระดับนี้ แต่ก็ไม่ได้ห่างกันไกลราวกับผืนดินและแผ่นฟ้า อย่างน้อยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้งก็สามารถร่วมมือกัน ไม่ต้องถึงกับเอาชนะระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังได้สองครั้ง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาในการยื้อเวลาไว้ในช่วงสั้นๆ

ต้นไม้ยิ่งใหญ่ยิ่งต้องต้านลมแรงมากเท่านั้น

ยิ่งชายชราโดดเด่นมากเพียงไร เขาก็ยิ่งต้องพบเจออุปสรรคในการก้าวเข้าสู่วิหารการสงครามมากเท่านั้น แต่สําหรับชายผิวคล้ําที่เป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้งนี้ นมันเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก

“ยี่สี่ ข่าววิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้นในครั้งนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว พวกเจ้าคิดว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะมาไหม?” หญิงชราถือไม้เท้าเป็นคนที่สามที่กล่าวออกมาอย่างช้าๆ

คําที่กล่าวออกมา

ท่าทีของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดก็เปลี่ยนไป

มาก

ในระดับของพวกเขา แม้จะได้รับอิทธิพลมาจากการฟื้นตัวของกระแสปราณฉีช่วยให้เลื่อนระดับขั้นแต่พวกเขาก็ล้วนฉลาดเฉลียวย่อมมีความรู้ความเข้าใจเป็นธรรมดาว่า เมื่อใดที่ตํานานยุทธเมือง ฉางอันมาถึงที่นี่สถานการณ์อาจจะพลิกกลับได้

แม้จะต้องเจอยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่มีการแปรสภาพพลังสามครั้งยอดฝีมือเหล่านี้ก็พอจะมั่นใจว่าสามารถจัดการได้

แต่ตํานานยุทธนั้น

แม้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดในที่นี้จะร่วมมือกันก็ไม่เพียงพอที่จะสู้รบตบมือกับตํานานยุทธ

ระหว่างขอบเขตวิทยายุทธเก้าระดับชั้นกับขอบเขตตํานานยุทธไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่ามันแตกต่างกันราวกับก้อนเมฆบนฟ้ากับโคลนตมในดิน

“ข้าได้ข่าวมา เมื่อไม่นานมานี้ที่ตีนเขาคุนหลุนมีร่องรอยของตํานานยุทธที่น่าสงสัยปรากฏตัวขึ้น”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดผู้นั้นพูดออกมาอย่างช้าๆ“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิมารร้ายที่เพิ่งออกมาจากด่านกตนเรียกคนผู้นั้นว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่….”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนนี้ก็ไม่ได้รู้อะไรเจาะลึกมากนัก ในเวลานั้นมีจอมยุทธหลายร้อยคนมารวมตัวกันที่โรงเตี้ยมแห่งนั้นไม่รู้ว่ามีข่าวลือออกไปมากมายเพียงใด

“เจ็ดสิบปีที่แล้ว จักรพรรดิมารร้ายกําลังจะถึงจุดแปรสภาพพลังและหลังจากปิดด่านฝึกตนไปกว่าเจ็ดสิบปี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ แต่ก็ต้องอยู่ไม่ไกลแล้ว…”

ชายผิวคล้ําดูเคร่งขรึม

ด้วยความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้าย เขากลับถูกบังคับให้ต้องเรียกว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่” ก็เห็นจะมีแต่ตํานานยุทธเท่านั้นที่ทําได้

“เมื่อเป็นเช่นนั้น หากตํานานยุทธต้องการจะเข้าไปภายในวิหารการสงคราม จะมีใครในหมู่พวกเจ้าที่กล้าขัดขวางด้วยหรือ?” ใบหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดผู้นั้นมีแววเยาะเย้ยอยู่ในที

จอมยุทธคนอื่นๆ ที่ได้ยินก็ต่างเงียบ

พวกเขาหรือจะกล้าไปขัดขวาง ล้อเล่นหรืออย่างไร? การเข้าไปขัดขวางตํานานยุทธ ไม่คิดจะมีอายุยืนแล้วหรือไร?

“แม้ว่าตํานานยุทธจะมาที่นี่จริงๆ เราจะไปทําอะไรได้? ทุกครั้งที่วิหารการสงครามปรากฏขึ้น มีที่ว่างให้เข้าไปได้ถึงยี่สิบที่แม้จะเป็นตํานานยุทธก็ใช้เพียงที่เดียวเท่านั้น ยังมีที่เหลืออีกตั้งสิบเก้าที่”

ชายผิวคล้ําเย้ยหยัน “แล้วเจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าหากมีตํานานยุทธมาด้วยกันทั้งหมดยี่สิบคนทุกคนจะได้เข้าวิหารการสงครามกันหมดทุกที่หรือเปล่า?”

ท่าทีของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดต่างผ่อนคลายลงอย่างกะทันหัน จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องยากมาก ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือในปัจจุบันที่ยุคๆ หนึ่งจะมีตํานานยุทธปรากฏตัวมากถึงยีสิบคน? มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไร้สาระ

ต่อให้นับรวมตํานานยุทธที่ถือกําเนิดมาแล้วเป็นพันปีมันก็ยังไม่ถึงยี่สิบ

“เอาล่ะ”

“อย่าได้พูดเรื่องไร้สาระกันต่อไปเลย ตามบันทึกที่อ่านมาตอนนี้วิหารการสงครามใกล้จะปรากฏขึ้นแล้ว” หญิงชราที่ถือไม้เท้าพูดต่อไปว่า “วิหารการสงครามที่กําเนิดขึ้นในครั้งนี้ มีทั้งหมดยี่สิบ คนที่จะได้เข้าไปและตอนนี้ก็มีผู้คนมากมายหลายสิบคนรออยู่ในที่แห่งนี้ ”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าตรวจสอบผู้คนโดยรอบ ทันใดนั้นก็ส่งเสียงแปลกใจออกมา ดวงตาของนางกวาดไปเห็นจุดหนึ่งที่กึ่งกลางของภูเขา

ในตอนนี้มีสามร่างด้วยกัน โดยที่หันหลังให้กับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมากมายในพื้นที่แห่งนี้

มันคือซูฉินและผู้ติดตาม

บนยอดเขา ความผันผวนของชั้นบรรยากาศกระจายไปทั่วแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินยังถูกระงับไปหนึ่งในหมื่นส่วน ไม่ต้องกล่าวถึงจอมยุทธในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นที่ยังไม่เคยแตะถึงขอบเขตตํานานยุทธด้วยซ้ํา

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้เพิ่งจะขึ้นมาถึงส่วนยอดเขาดังนั้นจึงเพิ่งค้นพบการมีอยู่ของซูฉินและคนอื่นๆ

“พวกเขาคือ?”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าค้ํายันขมวดคิ้วมุ่น ซูฉินได้หันหลังให้พวกเขาโดยสิ้นเชิงไม่สามารถเห็นรูปร่างหน้าตาได้เลย

“เฉียนขู่จากวัดเส้าหลิน?”

เป็นที่รู้กันว่าเฉียนขู่นั้นเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

ในความเห็นของพวกเขา เฉียนขู่ก็เป็นเพียงชนรุ่นหลังและไม่ได้เป็นแม้แต่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะยืนต่อหน้ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้?

“เป็นเฉียนขู่จริงๆ”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าขมวดคิ้ว แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ และมีอรหันต์กําเนิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้วแต่เฉียนขู่เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น กล้าดีอย่างไรมาปรากฏตัวที่นี่?

“เจ้าหนู เดี๋ยวข้าจะช่วยสั่งสอนเจ้าแทนเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเองต่อหน้าผู้อาวุโสก็ต้องรู้จักการให้ความเคารพ!”

ชายผิวคล้ําโกรธจัด เดิมทีการมีที่ว่างเพียงยี่สิบที่ภายในวิหารการสงครามก็ทําให้เขาเครียดมากพออยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีตํานานยุทธปริศนาอีกหนึ่งจนที่ให้ที่ว่างเหลือแค่สิบเก้า และตอนนี้เขาเห็นว่าเฉียนขู่เพียงอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่กลับอยู่ใกล้กับวิหา รการสงครามมากแน่นอนมันทําให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนอื่นๆ เป็นคนกุมที่ว่างภายในวิหารการสงครามไว้ แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็จะไม่มีความคิดอื่นใด แต่กับคนรุ่นหลังอย่างเฉียนขู่ หากคว้าที่ว่างในการเข้าสู่วิหารการสงครามไปได้ มันคงเป็นความอัปยศต่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอย่างชายผิวคล้ํา

เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายผิวคล้ําก็ก้าวออกไปด้านหน้า วิ่งเข้าหาเฉียนขู่ภายในพริบตา ในขณะเดียวกันก็ยกมือขวาพร้อมที่จะสอนบทเรียนให้แก่เฉียนขู่ แล้วโยนมันออกจากเขาคุนหลุนไป

เบื้องหลังของเฉียนขู่คือวัดเส้าหลิน เขาจึงไม่กล้าสังหารแต่การโยนออกไปนั้นไม่จําเป็นต้องกังวลแต่ประการใด

เมื่อเห็นฉากนี้ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนอื่นๆก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วหยุดดู

แม้ว่าชายผิวคล้ําจะเพิ่งเลื่อนระดับมา แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด มันไม่ยากในการที่จะจัดการเฉียนขู่ที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่ง

ในขณะที่ทุกคนกําลังมองด้วยสายตาเย็นชาเหมือนกับเห็นภาพ ที่พรรคพวกของเฉียนขู่ทั้งสามคนจะถูกโยนออกไปเรียบร้อยแล้ว

ชายผิวคล้ําที่วิ่งเข้าไปในระยะหนึ่งร้อยจ้างรอบตัวเฉียนขู่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

ในช่วงเวลาต่อมา

แกรัก แกรัก

สายลมพัดโชยผ่านไป

เห็นรอยร้าวปรากฏขึ้นบนร่างของชายผิวคล้ําอย่างต่อเนื่องและในที่สุดมันก็แตกกระจายออกกลายเป็นผุยผง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+