เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 358 เยื้องกรายมาถึง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 358 เยื้องกรายมาถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 358 เยื้องกรายมาถึง

“ก่อนจะเข้าสู่อาณาจักรเก้าดาบ ต้องตรวจดูให้ดีเสียก่อน”

ซูฉินตรวจดูช่องทางมิติอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะผสานวิชาปราณฉีฟ้ากําาหนด มองเข้าไปสุดทางภายในช่องทางมิติ

ก่อนหน้านี้ซูฉินก็ตรวจสอบอาณาจักรเก้าดาบด้วยดวงตาแห่งสัจจะแล้ว แต่เนื่องจากช่องทางมิติยังก่อตัวได้ไม่สมบูรณ์ เขาจึงรู้เพียงข้อมูลคร่าวๆ ของอาณาจักรเก้าดาบเท่านั้น นั่นคือข้อมูลที่หลงเหลือมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรเก้าดาบนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป

ตอนนี้ช่องทางมิติได้ถูกทําให้เสถียรโดยสมบูรณ์แล้ว หากซูฉินตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขาคงจะได้รับข้อมูลมามากกว่าครั้งที่แล้ว

หวิ่ง!!!

เห็นโลกที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา และในขณะเดียวกัน พลังงานทุกชนิดก็หลั่งไหล

“หืม?”

“มีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรเก้าดาบ?”

หัวใจของซูฉินกระตุกวูบ พลังฉีที่เขาสังเกตเห็นจากดวงตาแห่งสัจจะ เห็นได้ชัดว่ามันถูกปล่อยออกมาจากสิ่งมีชีวิต กล่าวคือ มีสิ่งมีชีวิตมากมายภายในอาณาจักรเก้าดาบ

ไม่เพียงเท่านั้น ซูฉินยังค้นพบว่าความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเก้าดาบนั้นมิใช่อ่อนแอ และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดแล้ว

“น่าสนใจยิ่ง”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

หากมีขั้นสถิตเทพอยู่ในอาณาจักรเก้าดาบ ซูฉินจะต้องพิจารณาอีกทีว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ แต่สําหรับขั้นกลับคืนต้นกําเนิด…..แม้จะเป็นขั้นกลับคืนต้นกําเนิดระดับสูงสุด แต่จะมาเทียบกับซูฉินได้อย่างไร?

ในเวลาต่อมา

ซูฉินเฝ้าดูอย่างระมัดระวังหลายครั้ง และในที่สุดก็ยืนยันระดับคร่าวๆ ของอาณาจักรเก้าดาบได้ จากนั้นจึงเรียกวิหารการสงครามออกมา

เห็นวิหารอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าซุฉิน ต่อหน้าไอพลังที่ผันผวนของวิหาร แม้แต่ความว่างเปล่ายังเริ่มหยุดนิ่ง

มีเพียงสองวิธีเท่านั้นในการผ่านช่องทางมิติ หนึ่งคือไปถึงขอบเขตของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ควบคุมพลังพื้นที่มิติ ผ่านช่องทางมิติไปได้อย่างง่ายดาย แทนการใช้สมบัติหรือสมบัติขนาดใหญ่ บางชนิดที่มีพลังมิติเพื่อต้านทานเศษซากมิติในช่วงที่ข้ามผ่านช่องว่างอันว่างเปล่านี้

เช่นในตอนที่เทพธิดาไท่อินและพรรคพวกเดินทางมายังโลกมนุษย์ พวกเขาก็ใช้ตราประทับ ไท่อินเพื่อข้ามผ่านช่องทางมิติ ในขณะที่กลุ่มของนักพรตหมื่นกําเนิดเดินทางผ่านสมบัติล้ําค่ารูป หอคอย

นอกจากนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว แม้แต่ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ ก็ไม่สามารถเดินทางผ่านความว่างเปล่าด้วยพลังของตนเองได้

ในขอบเขตที่ต่ํากว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด จะไม่สามารถควบคุมพลังของพื้นที่มิติได้ นี่คือกฎเหล็กสําคัญ

แน่นอนว่าคนอื่นๆ ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎเหล็กนี้ไปได้ แต่ซูฉินมีหลากหลายวิธีที่จะผ่านช่องทางมิติในขณะที่ยังอยู่ในขอบเขตที่ต่ํากว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด……

ตัวอย่างเช่น หากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปถึงความสําเร็จชั้นยอด จะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขาซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิง แม้ว่าอีกาทองคําสามขาจะไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในด้านพลังมิติ แต่ร่างกายของอีกาทองคํานั้นทรงพลังอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเพียงอีกาทองคําสามขาในช่วงเยาว์วัย ก็ไม่ใช่ตัวตนที่เศษซากมิติจะทําอะไรได้

นอกจากนี้ ซูฉินยังได้บ่มเพาะอาณาเขตเทพสงคราม สามารถควบแน่นโลกขึ้นมาภายใน สามารถผ่านช่องทางมิติได้อย่างง่ายดาย หรือซูฉินอาจจะผนึกตนเองไว้ด้านในฝ่ามือยูไลรูปแบบที่สอง ฝ่ามือแดนพิสุทธิ์ ใช้พลังของผนึกนี้ในการฝ่าความว่างเปล่าไปก็ย่อมได้

และสิ่งที่ซูฉินเลือกในตอนนี้ก็คือสิ่งที่ง่ายที่สุด ก็คือการใช้วิหารการสงครามเดินทางผ่านช่องทางมิติโดยตรง

วิหารการสงครามเป็นสมบัติพื้นที่มิติขนาดใหญ่พิเศษ และคุณค่าของมันก็มีมากกว่าสมบัติล้ําค่าของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเสียอีก

ซูฉินก้าวเท้าเข้าไปภายในวิหารการสงคราม จากนั้นตัววิหารการสงครามทั้งหมดก็กลายเป็นแสงกะพริบ พุ่งตรงเข้าไปภายในช่องทางมิติทันที

“นี่คือความว่างเปล่างั้นรึ?”

“พื้นที่ที่อยู่นอกโลกมนุษย์?”

ซูฉินยืนอยู่ในวิหารการสงคราม แต่ก็มองเห็นฉากมากมายที่ปรากฏเบื้องหน้าเขา

พื้นที่มิติความว่างเปล่านั้นกว้างใหญ่ แม้ว่าจะเป็นวิหารการสงคราม แต่เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้มันก็เล็กจิ๋วไม่ต่างจากฝุ่น และในที่ไกลลิบออกไปก็มีจุดแสงจางๆ ส่องสว่างอยู่ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่อะไรอื่นอีกในความว่างเปล่า

“ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดบางคนเลือกที่จะไม่ออกไปจากโลก เลือกไม่เดินทางท่องไปในความว่างเปล่านอกโลก เพราะความว่างเปล่ามันเป็นเช่นนี้สินะ?” ซูฉินตกใจเล็กน้อย

แม้ว่าจะแยกตัวออกมาได้โดยมีวิหารการสงครามกันอยู่ แต่ซูฉินก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวและหนาวเย็นอันไร้ที่สิ้นสุด แม้ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะสามารถอยู่รอดได้ภายในความว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่านั้นมันเหนือล้ํายิ่งกว่าทะเลทรายบนโลกมนุษย์เสียอีก

หากมาอยู่ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เป็นเวลาสักหลายร้อยหลายพันปี เกรงว่าแม้จะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ยังต้องเป็นบ้าไป

“อย่างไรก็ตาม ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือโบราณ ระยะทางในห้วงความว่างเปล่านั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง หากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดต้องการเดินทางไปที่ไหนสักที่หนึ่ง พวกเขาเพียงแต่ต้องฉีกทําลายพื้นที่มิติ เข้าไปในความว่างเปล่า ก้าวเข้าไปในทิศทางนั้นสักสองสามก้าว เมื่อกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง บางทีอาจข้ามผ่านระยะทางมากว่าแสนแล้วก็เป็นได้?”

ซูฉินคิดใคร่ครวญอยู่กับตนเอง

ในความว่างเปล่านั้นไม่มีความแตกต่างในด้านทิศทางไม่ว่าจะเป็นขึ้นลงซ้ายขวา และระยะทางภายในนี้ก็แตกต่างกับโลกมนุษย์อย่างมาก

“อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการเดินทางของข้าไม่ใช่ในส่วนลึกของความว่างเปล่า แต่เป็นที่นั่น?” ซูฉินเพ่งมองไปยังทิศทางที่เชื่อมมาจากช่องทางมิติ

เห็นจุดแสงสีฟ้าที่มองแทบไม่เห็น ค่อยๆกะพริบแสงออกมา

มันคืออาณาจักรเก้าดาบที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยช่องทางมิติ

“เร่งความเร็ว”

ซูฉินควบคุมวิหารการสงครามในทันที ให้มุ่งหน้าไปที่อาณาจักรเก้าดาบ

ในเวลาเดียวกัน

ณ โลกอาณาจักรเก้าดาบ

เห็นประกายแสงสามดวง ด้านหน้าหนึ่งดวงและข้างหลังอีกสอง ประกายแสงด้านหน้ากําลังหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่ประกายแสงอีกสองดวงด้านหลังก็ไล่ตามติด

“ทําไมกัน?!”

ประกายแสงที่หลบหนีตระหนักว่าตัวมันคงหนีไม่พ้นจึงหยุดลงในทันที จ้องตรงไปยังประกายแสงอีกสองดวงที่ไล่ตามมา

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบของเจ้าครองฟ้าไร้เทียมทานมาตั้งห้าหมื่นปีแล้ว ทําไมเจ้าไม่ปล่อยข้าไปเล่า?”

หลังจากที่หยุดลงชั่วคราว ก็ปรากฏเป็นร่างของชายชราที่กําลังไม่พอใจอย่างยิ่ง

โลกของอาณาจักรเก้าดาบถูกสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ

เมื่อห้าหมื่นปีก่อนผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบได้เปิดโลกอาณาจักรเก้าดาบขึ้นมา และไม่ได้จากไปในทันที แต่พักอยู่ภายในโลกนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี

และเวลาหลายร้อยปีนี้ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็รู้สึกได้ถึงความเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวของโลกนี้ ดังนั้นจึงใช้ทิพยอํานาจอพยพสิ่งมีชีวิตบางส่วนบนโลกมนุษย์มาไว้ยังโลกอาณาจักรเก้าดาบ

หลังจากที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจากไป สิ่งมีชีวิตเหล่านี้บางส่วนก็ได้ใช้เคล็ดวิชาและสิ่งที่สืบทอดต่อมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ เข้าครอบครองสถานที่พักอาศัยของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบรวมถึงสิ่งทั้งหลายที่ท่านทิ้งเอาไว้ เป็นที่รู้จักในนามดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ อยู่เหนืออาณาจักรเก้าดาบทั้งมวล

อย่างไรก็ตาม แม้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะสูงส่ง แต่โลกทั้งใบไม่ได้มีเพียงผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเท่านั้น

นอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีผู้ฝึกยุทธกระจายตัวอยู่ไม่น้อย

ผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดที่ไม่เต็มใจจะเข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ตรงตามเงื่อนไขของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างอิสระนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

เป็นผลให้ศิษย์สาวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบไม่ถือว่าผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดเหล่านี้เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ํา

ด้วยการโจมตีธรรมดาๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดจะมีโอกาสต้านทานได้

“ฉินหยางสื่อ”

ประกายแสงสองดวงก็หยุดลง มองไปที่ชายชราผู้มีท่าที่ไม่พอใจด้วยอาการเฉยเมย “มอบโอสถวิเศษ เข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าในฐานะทาสสักสองร้อยปี แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอด”

สําหรับศิษย์ทั้งคู่จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ ดูเหมือนว่าการทําให้ฉันหยางสื่อกลายเป็นทาส จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พึงกระทํา

“มอบโอสถวิเศษ?”

“อยู่เป็นทาสสองร้อยปี?”

ฉุนหยางสื่อตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้ากําลังบังคับให้ชายชราผู้นี้ต้องตายแล้ว!!!”

“โอสถวิเศษนั่นเป็นสิ่งที่ชายชราผู้นี้พบอยู่ก่อนแล้ว และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า สมบัติฟ้าดินเป็นของของผู้มีคุณธรรม ทําไมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงคิดว่าชายชรา ผู้นี้จะมอบมันให้กับพวกเจ้า?”

ฉุนหยางสื่อพูดออกมาทีละคํา

โอสถวิเศษนี้ถูกค้นพบโดยฉุนหยางสื่อเมื่อแปดสิบปีก่อน
ในเวลานั้นโอสถวิเศษยังบ่มตัวได้ไม่เต็มที่ และฉินหยางสื่อก็ต้องรอถึงแปดสิบปีเพื่อให้มันบ่มได้เต็มที่

ในที่สุด หลังจากแปดสิบปีผ่านไป โอสถวิเศษที่บ่มไว้ก็พัฒนาเต็มที่เสียที แต่ขณะที่ฉนหยางสื่อกําลังอยู่ในห้วงแห่งความสุขนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าข่าวได้เล็ดรอดออกไปเมื่อใด และพบเข้ากับศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบสองคนที่บังเอิญผ่านทางมา

ศิษย์ทั้งสองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ขอให้ฉนหยางสื่อมอบโอสถวิเศษนั้นมาให้พวกตน

แน่นอนฉุนหยางสื่อไม่ยินยอมทําตาม

เขาใช้เวลาไปกว่าแปดสิบปีและอายุขัยของเขาก็เหลือน้อยมากแล้ว เขารอคอยโอสถวิเศษนี้ให้บ่มจนเต็มที่และใช้มันยืดอายุตนเองออกไป จะให้ยอมมอบโอสถอายุวัฒนะนี้ออกไปได้อย่างไร?

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศิษย์ระดับสูงภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ตามที

“สมบัติฟ้าดินเป็นของของผู้มีคุณธรรม?”

เมื่อศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งสองคนได้ยินดังนั้น รอยยิ้มประชดประชันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา “ฉินหยางสื่อ อาจารย์ของเจ้าไม่ได้บอกหรือว่าบนโลกใบนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เก้าดาบของข้านี่แหละคือวิถีแห่งคุณธรรม”

“ถ้าไม่ใช่เพราะความสําเร็จของเจ้าในการบ่มโอสถวิเศษเอาไว้อย่างดี เจ้าจะไม่มีโอกาสกลายเป็นทาสในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าด้วยซ้ํา”

“แต่ตอนนี้”

“ในเมื่อเจ้าปฏิเสธ เจ้าก็จงตายเสียเถอะ”

ท่าทีของเหล่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ทันใดนั้นก็มีประกายแสง ดาบอันรุนแรงปรากฏขึ้น ฟันไปทางฉินหยางสื่อ

“ไม่ดีแล้ว!!

หัวใจของฉันหยางสื่อบีบตัวแน่น ร่างกายของเขาแบ่งแยกออกเป็นเก้าร่าง พุ่งออกไปทุกทิศทาง

มันเป็นวิธีการหลบหนีลับสุดยอดซึ่งทําให้ฉันหยางสื่อสามารถหลบหนีจากศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนมาได้หลายต่อหลายครั้ง

หากไม่มีทักษะลับนี้ ฉินหยางสื่อคงจะตกตายใต้คมดาบศักดิ์สิทธิ์ไปนานแล้ว

“ฉินหยางสื่อ”

“ถ้าเจ้ามีความสามารถเท่านี้ ก็จงยินยอมตายเสียโดยดี

หนึ่งในศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏแววดูถูกในสายตา

ชั่วพริบตา

ประกายดาบที่ฟันไปทางฉุนหยางสื่อก็ถูกแบ่งออกเป็นเก้าทาง

ประกายแสงดาบทั้งเก้านั้นทรงพลังยิ่ง ปล่อยจิตสังหารอันยิ่งใหญ่ออกมา เข้าปกคลุมฉุนหยางสื่อ

“จบแล้ว”

หัวใจของฉันหยางจื่อเย็นเยียบ

เขาไม่คาดหวังว่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่จะมีวิธียับยั้งทักษะลับของตนได้ว่องไวเพียงนี้

“ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ต้องลากพวกเจ้าไปด้วยกัน”

ใบหน้าของฉุนหยางสื่อเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนั้นเอง

หวิ่ง!

หวิ่ง!

หวิ่ง!!!

ความว่างเปล่าที่สงบนิ่งพลันเกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา สั่นสะเทือนมาในแนวระนาบ

เหนือหัวฉุนหยางสื่อและศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งสอง ได้เกิดระลอกคลื่นขึ้น

ภายใต้แรงกระเพื่อมนี้ พื้นที่ทั้งหมดถูกสะกด ประกายแสงดาบที่ฟันมาทางฉินหยางสื่อพลันสลายหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ

“นี่คือ?”

ศิษย์ทั้งสองจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบมองขึ้นไปบนฟ้า ดวงตาของพวกเขาตกตะลึงพรึงเพริด

เมื่อเห็นแบบนั้น ฉุนหยางสื่อก็ได้มองตามสายตาของศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งคู่ขึ้นไปบนฟากฟ้าโดยไม่รู้ตัว

เพียงมองไป ฉุนหยางสื่อก็ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนในชั่วชีวิต
เห็นว่าความว่างเปล่าเกิดระลอกคลื่นมาในแนวระนาบต่อเนื่องไม่หยุด
ระลอกคลื่นที่กระเพื่อมมาอย่างไม่หยุดยั้งนี้ค่อยๆ ควบแน่นกลายเป็นพื้นที่ที่บิดเบี้ยว และเกิดช่องโหว่ขึ้นในทันใด

ช่องทางนั้นลึกล้ําสุดหยั่ง ไม่สามารถสัมผัสได้ และท่ามกลางการจ้องมองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อของทุกคน เห็นวิหารอันงามสง่าค่อยๆมุดออกมาจากช่องทางนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 358 เยื้องกรายมาถึง

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 358 เยื้องกรายมาถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 358 เยื้องกรายมาถึง

“ก่อนจะเข้าสู่อาณาจักรเก้าดาบ ต้องตรวจดูให้ดีเสียก่อน”

ซูฉินตรวจดูช่องทางมิติอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะผสานวิชาปราณฉีฟ้ากําาหนด มองเข้าไปสุดทางภายในช่องทางมิติ

ก่อนหน้านี้ซูฉินก็ตรวจสอบอาณาจักรเก้าดาบด้วยดวงตาแห่งสัจจะแล้ว แต่เนื่องจากช่องทางมิติยังก่อตัวได้ไม่สมบูรณ์ เขาจึงรู้เพียงข้อมูลคร่าวๆ ของอาณาจักรเก้าดาบเท่านั้น นั่นคือข้อมูลที่หลงเหลือมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรเก้าดาบนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป

ตอนนี้ช่องทางมิติได้ถูกทําให้เสถียรโดยสมบูรณ์แล้ว หากซูฉินตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขาคงจะได้รับข้อมูลมามากกว่าครั้งที่แล้ว

หวิ่ง!!!

เห็นโลกที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา และในขณะเดียวกัน พลังงานทุกชนิดก็หลั่งไหล

“หืม?”

“มีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรเก้าดาบ?”

หัวใจของซูฉินกระตุกวูบ พลังฉีที่เขาสังเกตเห็นจากดวงตาแห่งสัจจะ เห็นได้ชัดว่ามันถูกปล่อยออกมาจากสิ่งมีชีวิต กล่าวคือ มีสิ่งมีชีวิตมากมายภายในอาณาจักรเก้าดาบ

ไม่เพียงเท่านั้น ซูฉินยังค้นพบว่าความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเก้าดาบนั้นมิใช่อ่อนแอ และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดแล้ว

“น่าสนใจยิ่ง”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

หากมีขั้นสถิตเทพอยู่ในอาณาจักรเก้าดาบ ซูฉินจะต้องพิจารณาอีกทีว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ แต่สําหรับขั้นกลับคืนต้นกําเนิด…..แม้จะเป็นขั้นกลับคืนต้นกําเนิดระดับสูงสุด แต่จะมาเทียบกับซูฉินได้อย่างไร?

ในเวลาต่อมา

ซูฉินเฝ้าดูอย่างระมัดระวังหลายครั้ง และในที่สุดก็ยืนยันระดับคร่าวๆ ของอาณาจักรเก้าดาบได้ จากนั้นจึงเรียกวิหารการสงครามออกมา

เห็นวิหารอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าซุฉิน ต่อหน้าไอพลังที่ผันผวนของวิหาร แม้แต่ความว่างเปล่ายังเริ่มหยุดนิ่ง

มีเพียงสองวิธีเท่านั้นในการผ่านช่องทางมิติ หนึ่งคือไปถึงขอบเขตของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ควบคุมพลังพื้นที่มิติ ผ่านช่องทางมิติไปได้อย่างง่ายดาย แทนการใช้สมบัติหรือสมบัติขนาดใหญ่ บางชนิดที่มีพลังมิติเพื่อต้านทานเศษซากมิติในช่วงที่ข้ามผ่านช่องว่างอันว่างเปล่านี้

เช่นในตอนที่เทพธิดาไท่อินและพรรคพวกเดินทางมายังโลกมนุษย์ พวกเขาก็ใช้ตราประทับ ไท่อินเพื่อข้ามผ่านช่องทางมิติ ในขณะที่กลุ่มของนักพรตหมื่นกําเนิดเดินทางผ่านสมบัติล้ําค่ารูป หอคอย

นอกจากนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว แม้แต่ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ ก็ไม่สามารถเดินทางผ่านความว่างเปล่าด้วยพลังของตนเองได้

ในขอบเขตที่ต่ํากว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด จะไม่สามารถควบคุมพลังของพื้นที่มิติได้ นี่คือกฎเหล็กสําคัญ

แน่นอนว่าคนอื่นๆ ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎเหล็กนี้ไปได้ แต่ซูฉินมีหลากหลายวิธีที่จะผ่านช่องทางมิติในขณะที่ยังอยู่ในขอบเขตที่ต่ํากว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด……

ตัวอย่างเช่น หากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปถึงความสําเร็จชั้นยอด จะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขาซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิง แม้ว่าอีกาทองคําสามขาจะไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในด้านพลังมิติ แต่ร่างกายของอีกาทองคํานั้นทรงพลังอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเพียงอีกาทองคําสามขาในช่วงเยาว์วัย ก็ไม่ใช่ตัวตนที่เศษซากมิติจะทําอะไรได้

นอกจากนี้ ซูฉินยังได้บ่มเพาะอาณาเขตเทพสงคราม สามารถควบแน่นโลกขึ้นมาภายใน สามารถผ่านช่องทางมิติได้อย่างง่ายดาย หรือซูฉินอาจจะผนึกตนเองไว้ด้านในฝ่ามือยูไลรูปแบบที่สอง ฝ่ามือแดนพิสุทธิ์ ใช้พลังของผนึกนี้ในการฝ่าความว่างเปล่าไปก็ย่อมได้

และสิ่งที่ซูฉินเลือกในตอนนี้ก็คือสิ่งที่ง่ายที่สุด ก็คือการใช้วิหารการสงครามเดินทางผ่านช่องทางมิติโดยตรง

วิหารการสงครามเป็นสมบัติพื้นที่มิติขนาดใหญ่พิเศษ และคุณค่าของมันก็มีมากกว่าสมบัติล้ําค่าของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเสียอีก

ซูฉินก้าวเท้าเข้าไปภายในวิหารการสงคราม จากนั้นตัววิหารการสงครามทั้งหมดก็กลายเป็นแสงกะพริบ พุ่งตรงเข้าไปภายในช่องทางมิติทันที

“นี่คือความว่างเปล่างั้นรึ?”

“พื้นที่ที่อยู่นอกโลกมนุษย์?”

ซูฉินยืนอยู่ในวิหารการสงคราม แต่ก็มองเห็นฉากมากมายที่ปรากฏเบื้องหน้าเขา

พื้นที่มิติความว่างเปล่านั้นกว้างใหญ่ แม้ว่าจะเป็นวิหารการสงคราม แต่เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้มันก็เล็กจิ๋วไม่ต่างจากฝุ่น และในที่ไกลลิบออกไปก็มีจุดแสงจางๆ ส่องสว่างอยู่ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่อะไรอื่นอีกในความว่างเปล่า

“ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดบางคนเลือกที่จะไม่ออกไปจากโลก เลือกไม่เดินทางท่องไปในความว่างเปล่านอกโลก เพราะความว่างเปล่ามันเป็นเช่นนี้สินะ?” ซูฉินตกใจเล็กน้อย

แม้ว่าจะแยกตัวออกมาได้โดยมีวิหารการสงครามกันอยู่ แต่ซูฉินก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวและหนาวเย็นอันไร้ที่สิ้นสุด แม้ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะสามารถอยู่รอดได้ภายในความว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่านั้นมันเหนือล้ํายิ่งกว่าทะเลทรายบนโลกมนุษย์เสียอีก

หากมาอยู่ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เป็นเวลาสักหลายร้อยหลายพันปี เกรงว่าแม้จะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ยังต้องเป็นบ้าไป

“อย่างไรก็ตาม ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือโบราณ ระยะทางในห้วงความว่างเปล่านั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง หากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดต้องการเดินทางไปที่ไหนสักที่หนึ่ง พวกเขาเพียงแต่ต้องฉีกทําลายพื้นที่มิติ เข้าไปในความว่างเปล่า ก้าวเข้าไปในทิศทางนั้นสักสองสามก้าว เมื่อกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง บางทีอาจข้ามผ่านระยะทางมากว่าแสนแล้วก็เป็นได้?”

ซูฉินคิดใคร่ครวญอยู่กับตนเอง

ในความว่างเปล่านั้นไม่มีความแตกต่างในด้านทิศทางไม่ว่าจะเป็นขึ้นลงซ้ายขวา และระยะทางภายในนี้ก็แตกต่างกับโลกมนุษย์อย่างมาก

“อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการเดินทางของข้าไม่ใช่ในส่วนลึกของความว่างเปล่า แต่เป็นที่นั่น?” ซูฉินเพ่งมองไปยังทิศทางที่เชื่อมมาจากช่องทางมิติ

เห็นจุดแสงสีฟ้าที่มองแทบไม่เห็น ค่อยๆกะพริบแสงออกมา

มันคืออาณาจักรเก้าดาบที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยช่องทางมิติ

“เร่งความเร็ว”

ซูฉินควบคุมวิหารการสงครามในทันที ให้มุ่งหน้าไปที่อาณาจักรเก้าดาบ

ในเวลาเดียวกัน

ณ โลกอาณาจักรเก้าดาบ

เห็นประกายแสงสามดวง ด้านหน้าหนึ่งดวงและข้างหลังอีกสอง ประกายแสงด้านหน้ากําลังหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่ประกายแสงอีกสองดวงด้านหลังก็ไล่ตามติด

“ทําไมกัน?!”

ประกายแสงที่หลบหนีตระหนักว่าตัวมันคงหนีไม่พ้นจึงหยุดลงในทันที จ้องตรงไปยังประกายแสงอีกสองดวงที่ไล่ตามมา

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบของเจ้าครองฟ้าไร้เทียมทานมาตั้งห้าหมื่นปีแล้ว ทําไมเจ้าไม่ปล่อยข้าไปเล่า?”

หลังจากที่หยุดลงชั่วคราว ก็ปรากฏเป็นร่างของชายชราที่กําลังไม่พอใจอย่างยิ่ง

โลกของอาณาจักรเก้าดาบถูกสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ

เมื่อห้าหมื่นปีก่อนผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบได้เปิดโลกอาณาจักรเก้าดาบขึ้นมา และไม่ได้จากไปในทันที แต่พักอยู่ภายในโลกนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี

และเวลาหลายร้อยปีนี้ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็รู้สึกได้ถึงความเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวของโลกนี้ ดังนั้นจึงใช้ทิพยอํานาจอพยพสิ่งมีชีวิตบางส่วนบนโลกมนุษย์มาไว้ยังโลกอาณาจักรเก้าดาบ

หลังจากที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจากไป สิ่งมีชีวิตเหล่านี้บางส่วนก็ได้ใช้เคล็ดวิชาและสิ่งที่สืบทอดต่อมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ เข้าครอบครองสถานที่พักอาศัยของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบรวมถึงสิ่งทั้งหลายที่ท่านทิ้งเอาไว้ เป็นที่รู้จักในนามดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ อยู่เหนืออาณาจักรเก้าดาบทั้งมวล

อย่างไรก็ตาม แม้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะสูงส่ง แต่โลกทั้งใบไม่ได้มีเพียงผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเท่านั้น

นอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีผู้ฝึกยุทธกระจายตัวอยู่ไม่น้อย

ผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดที่ไม่เต็มใจจะเข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ตรงตามเงื่อนไขของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างอิสระนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

เป็นผลให้ศิษย์สาวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบไม่ถือว่าผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดเหล่านี้เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ํา

ด้วยการโจมตีธรรมดาๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดจะมีโอกาสต้านทานได้

“ฉินหยางสื่อ”

ประกายแสงสองดวงก็หยุดลง มองไปที่ชายชราผู้มีท่าที่ไม่พอใจด้วยอาการเฉยเมย “มอบโอสถวิเศษ เข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าในฐานะทาสสักสองร้อยปี แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอด”

สําหรับศิษย์ทั้งคู่จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ ดูเหมือนว่าการทําให้ฉันหยางสื่อกลายเป็นทาส จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พึงกระทํา

“มอบโอสถวิเศษ?”

“อยู่เป็นทาสสองร้อยปี?”

ฉุนหยางสื่อตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้ากําลังบังคับให้ชายชราผู้นี้ต้องตายแล้ว!!!”

“โอสถวิเศษนั่นเป็นสิ่งที่ชายชราผู้นี้พบอยู่ก่อนแล้ว และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า สมบัติฟ้าดินเป็นของของผู้มีคุณธรรม ทําไมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงคิดว่าชายชรา ผู้นี้จะมอบมันให้กับพวกเจ้า?”

ฉุนหยางสื่อพูดออกมาทีละคํา

โอสถวิเศษนี้ถูกค้นพบโดยฉุนหยางสื่อเมื่อแปดสิบปีก่อน
ในเวลานั้นโอสถวิเศษยังบ่มตัวได้ไม่เต็มที่ และฉินหยางสื่อก็ต้องรอถึงแปดสิบปีเพื่อให้มันบ่มได้เต็มที่

ในที่สุด หลังจากแปดสิบปีผ่านไป โอสถวิเศษที่บ่มไว้ก็พัฒนาเต็มที่เสียที แต่ขณะที่ฉนหยางสื่อกําลังอยู่ในห้วงแห่งความสุขนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าข่าวได้เล็ดรอดออกไปเมื่อใด และพบเข้ากับศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบสองคนที่บังเอิญผ่านทางมา

ศิษย์ทั้งสองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ขอให้ฉนหยางสื่อมอบโอสถวิเศษนั้นมาให้พวกตน

แน่นอนฉุนหยางสื่อไม่ยินยอมทําตาม

เขาใช้เวลาไปกว่าแปดสิบปีและอายุขัยของเขาก็เหลือน้อยมากแล้ว เขารอคอยโอสถวิเศษนี้ให้บ่มจนเต็มที่และใช้มันยืดอายุตนเองออกไป จะให้ยอมมอบโอสถอายุวัฒนะนี้ออกไปได้อย่างไร?

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศิษย์ระดับสูงภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ตามที

“สมบัติฟ้าดินเป็นของของผู้มีคุณธรรม?”

เมื่อศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งสองคนได้ยินดังนั้น รอยยิ้มประชดประชันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา “ฉินหยางสื่อ อาจารย์ของเจ้าไม่ได้บอกหรือว่าบนโลกใบนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เก้าดาบของข้านี่แหละคือวิถีแห่งคุณธรรม”

“ถ้าไม่ใช่เพราะความสําเร็จของเจ้าในการบ่มโอสถวิเศษเอาไว้อย่างดี เจ้าจะไม่มีโอกาสกลายเป็นทาสในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าด้วยซ้ํา”

“แต่ตอนนี้”

“ในเมื่อเจ้าปฏิเสธ เจ้าก็จงตายเสียเถอะ”

ท่าทีของเหล่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ทันใดนั้นก็มีประกายแสง ดาบอันรุนแรงปรากฏขึ้น ฟันไปทางฉินหยางสื่อ

“ไม่ดีแล้ว!!

หัวใจของฉันหยางสื่อบีบตัวแน่น ร่างกายของเขาแบ่งแยกออกเป็นเก้าร่าง พุ่งออกไปทุกทิศทาง

มันเป็นวิธีการหลบหนีลับสุดยอดซึ่งทําให้ฉันหยางสื่อสามารถหลบหนีจากศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนมาได้หลายต่อหลายครั้ง

หากไม่มีทักษะลับนี้ ฉินหยางสื่อคงจะตกตายใต้คมดาบศักดิ์สิทธิ์ไปนานแล้ว

“ฉินหยางสื่อ”

“ถ้าเจ้ามีความสามารถเท่านี้ ก็จงยินยอมตายเสียโดยดี

หนึ่งในศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏแววดูถูกในสายตา

ชั่วพริบตา

ประกายดาบที่ฟันไปทางฉุนหยางสื่อก็ถูกแบ่งออกเป็นเก้าทาง

ประกายแสงดาบทั้งเก้านั้นทรงพลังยิ่ง ปล่อยจิตสังหารอันยิ่งใหญ่ออกมา เข้าปกคลุมฉุนหยางสื่อ

“จบแล้ว”

หัวใจของฉันหยางจื่อเย็นเยียบ

เขาไม่คาดหวังว่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่จะมีวิธียับยั้งทักษะลับของตนได้ว่องไวเพียงนี้

“ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ต้องลากพวกเจ้าไปด้วยกัน”

ใบหน้าของฉุนหยางสื่อเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนั้นเอง

หวิ่ง!

หวิ่ง!

หวิ่ง!!!

ความว่างเปล่าที่สงบนิ่งพลันเกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา สั่นสะเทือนมาในแนวระนาบ

เหนือหัวฉุนหยางสื่อและศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งสอง ได้เกิดระลอกคลื่นขึ้น

ภายใต้แรงกระเพื่อมนี้ พื้นที่ทั้งหมดถูกสะกด ประกายแสงดาบที่ฟันมาทางฉินหยางสื่อพลันสลายหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ

“นี่คือ?”

ศิษย์ทั้งสองจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบมองขึ้นไปบนฟ้า ดวงตาของพวกเขาตกตะลึงพรึงเพริด

เมื่อเห็นแบบนั้น ฉุนหยางสื่อก็ได้มองตามสายตาของศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งคู่ขึ้นไปบนฟากฟ้าโดยไม่รู้ตัว

เพียงมองไป ฉุนหยางสื่อก็ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนในชั่วชีวิต
เห็นว่าความว่างเปล่าเกิดระลอกคลื่นมาในแนวระนาบต่อเนื่องไม่หยุด
ระลอกคลื่นที่กระเพื่อมมาอย่างไม่หยุดยั้งนี้ค่อยๆ ควบแน่นกลายเป็นพื้นที่ที่บิดเบี้ยว และเกิดช่องโหว่ขึ้นในทันใด

ช่องทางนั้นลึกล้ําสุดหยั่ง ไม่สามารถสัมผัสได้ และท่ามกลางการจ้องมองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อของทุกคน เห็นวิหารอันงามสง่าค่อยๆมุดออกมาจากช่องทางนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+