เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 91 เข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 91 เข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 91 เข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์

 

 

“ลงจากเขา”

 

“แสวงหาสัจธรรม!”

 

น้ำเสียงของนักพรตจางราบเรียบไม่มีความผันผวน แต่ในที่สุดเมื่อพูดคำว่า ‘แสวงหาสัจธรรม‘ เขาแอบแสดงความคาดหวังออกมาเล็กน้อย

 

“แสวงหาสัจธรรม?”

 

เหล่าสาวกเขาหวู่ตั้งต่างมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร

 

ในสายตาของพวกเขา นักพรตจางคือที่สุดในยุทธภพแล้วในวิถีปรัชญา แล้วทำไมยังต้องลงเขาไปแสวงหาสัจธรรมอีก?

 

มีเพียงจางเซียวและสาวกบางคนเท่านั้นที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

หากจะกล่าวถึงเรื่องข่าวลือที่ว่าวัดเส้าหลินมีอรหันต์กำเนิดขึ้น ในสายตาของจอมยุทธส่วนใหญ่ก็แค่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเท่านั้น…

 

แต่หลังจากการกลับมาของจางเซียว สาวกคนอื่นๆ หลายคนต่างก็รับรู้ได้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ระดับอรหันต์นั้นมีอยู่จริงในวัดเส้าหลิน

 

หากมิใช่ขอบเขตอรหันต์ใครจะสามารถสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ได้ด้วยดาบไม้ธรรมดาๆ?

 

การออกมาของนักพรตจางในครั้งนี้เกรงว่าจะเพราะได้ยินข่าวนั้น

 

“ในครานี้ที่ข้าลงไปจากเขาหวู่ตั้ง ถ้าข้ายังไม่กลับมา เขาหวู่ตั้งจะถูกปิดเป็นเวลายี่สิบปีและไม่อนุญาตให้มีการแก้แค้นเกิดขึ้น”

 

สายตาของนักพรตจางจ้องมองดูเหล่าสาวกเขาหวู่ตั้งที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นท่านก็ค่อยๆ เดินลงจากเขาทีละก้าวท่ามกลางสายตาของเหล่าศิษย์สาวก

 

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างกำลังดีอกดีใจ

 

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ศิษย์ถึงสามคนที่บ่มเพาะอยู่ใกล้พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังได้เข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน

 

ระดับนี้หาได้ยากแค่ไหนกัน?

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่สุดยอดพรรคแห่งยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน จอมยุทธในขอบเขตสามระดับบนก็เพียงพอจะนั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักได้แล้ว

 

หากเป็นเมื่อก่อนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบหรือยี่สิบปีกว่าที่วัดเส้าหลินจะให้กำเนิดจอมยุทธในขอบเขตสามระดับบนได้

 

แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น จะไม่ให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักยินดีได้อย่างไร?

 

ยิ่งมียอดฝีมือขอบเขตสามระดับบนมากเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่จะกำเนิดปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองและยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็มากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีทั้งปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองและชั้นที่หนึ่งจำนวนมากในระดับหนึ่ง พวกเขาก็สามารถแนะนำแนวทางให้กับลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่มีศักยภาพได้…

 

ผลก็คือ วัดเส้าหลินจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ…

 

“อย่าเพิ่งหลงระเริงยินดีไป”

 

“ศิษย์ทั้งสามคนที่เข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนได้ ล้วนเป็นหัวกะทิของวัดเรา ในปีก่อนพวกเขาก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สี่อยู่แล้ว ห่างจากขอบเขตสามระดับบนเพียงก้าวเดียวเท่านั้น”

 

“พอมาตอนนี้ ด้วยแรงผลักดันจากหมอกนั่นจึงเกิดความก้าวหน้าขึ้น”

 

“แต่ถ้าเจ้าต้องการจะให้มีคนเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนในเวลาอันสั้นเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้”

 

หัวหน้าลานธรรมกล่าวคำช้าๆ

 

เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ที่กำลังจมอยู่กับความสุขพากันสงบเสงี่ยมขึ้นทันที

 

“ฮุ่ยจื๋อพูดถูก”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความสุขไม่แพ้กัน แต่เขาก็ได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว

 

สาเหตุสำคัญที่มีวัดเส้าหลินให้กำเนิดยอดฝีมือขอบเขตสามระดับบนในเวลาไม่กี่เดือน เป็นเพราะการสั่งสมตบะมาตั้งแต่ต้น

 

ถ้าจะให้ราบรื่นเหมือนเช่นตอนนี้ก็คงจะยากพอๆ กับทะยานขึ้นไปแตะท้องฟ้า

 

“เจ้าอาวาส”

 

“ข้าน่าจะใกล้ทะลวงขั้นได้แล้ว”

 

ในเวลานั้นเองหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา

 

“เจ้าต้องการจะทะลวงขั้นงั้นรึ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่หน้าของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ทันทีด้วยความประหลาดใจ

 

ทราบหรือไม่ว่าหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เป็นผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่สาม และถ้าทะลวงขั้นได้สำเร็จก็จะเข้าขอบเขตปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง

 

ปัจจุบันนี้ ยกเว้นซูฉินเอาไว้สักหนึ่งคน วัดเส้าหลินมีเพียงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่ง และหัวหน้าลานธรรมที่อยู่ในระดับชั้นที่สอง

 

หากยามนี้มีภิกษุในวัดที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่งและระดับชั้นที่สองเพิ่มขึ้น รากฐานของวัดเส้าหลินก็ย่อมดีมากขึ้นไปตามธรรมชาติ

 

และเมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น ศิษย์วัดเส้าหลินคนหนึ่งก็รีบเข้ามาหา

 

“เรียนเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนัก มีใครบางคนมาขอเข้าพบขอรับ”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินผู้นี้รายงานอย่างรวดเร็วจนแทบจะหายใจไม่ทัน

 

“ขอเข้าพบ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้ใด?”

 

“เขาบอกว่าเขามาจากภูเขาหวู่ตั้ง และมีแซ่ว่าจาง…”

 

“อะไรนะ?!” นัยน์ตาของเหล่าหัวหน้าตำหนักหดตัวลง

 

เขาหวู่ตั้ง?

 

ใช้แซ่ว่าจาง?

 

ไม่ว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม แต่หัวหน้าตำหนักต่างนึกถึงนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งโดยไม่รู้ตัว

 

“ออกไปดูสักหน่อยเถอะ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแสดงสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกวัดเส้าหลินโดยพลัน

 

หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ มองหน้ากันแล้วรีบติดตามไปในทันที

 

ไม่ช้านาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักก็ออกมาด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

ในขณะนี้มีชายที่สวมชุดคลุมนักพรตเต๋า ใบหน้าของเขาดูซื่อๆ กำลังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ

 

“เป็นนักพรตจางจริงๆ…”

 

หัวหน้าตำหนักต่างตกใจไม่อยากจะเชื่อ

 

พวกเขาไม่คาดคิดว่านักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งจะมายืนอยู่หน้าวัดเส้าหลินเช่นนี้

 

“นักพรตจาง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสูดลมหายใจเข้า ก้าวเท้าออกไปด้านหน้าและกล่าวคำทักทาย

 

แม้ว่าเขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่เขายังไม่อาจเทียบเคียงนักพรตจางที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมายาวนานหลายทศวรรษได้

 

“เจ้าอาวาส”

 

นักพรตจางดูสงบอ่อนโยน มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและพยักหน้าให้เล็กน้อย

 

“ข้าไม่ทราบว่านักพรตจางมาที่วัดเส้าหลินของข้าด้วยเหตุใด มีเรื่องอะไรหรือไม่?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถามไปอย่างห้วนๆ

 

“ยามเมื่อนักพรตเฒ่าผู้นี้ยังหนุ่มแน่น ข้าเดินเตร็ดเตร่ท่องเที่ยวไปทั่วแล้วโชคดีบังเอิญได้พบเข้ากับคัมภีร์เก้าสุริยันที่เหลืออยู่ครึ่งเล่ม…”

 

นักพรตจางไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตรงๆ แต่พูดกลับไปว่า “คัมภีร์เก้าสุริยันครึ่งเล่มนี้มีประโยชน์มากกับชายชราผู้นี้”

 

เมื่อนักพรตจางพูดเช่นนั้น เขาก็ขยับมือขวาหยิบคัมภีร์ออกมา “ด้วยคัมภีร์เพียงครึ่งเล่มนั้นข้าจึงได้สร้างแก่นของวิชาไท่ฉีขึ้นมาได้ โปรดรับสิ่งนี้เอาไว้เพื่อให้ข้าสานสัมพันธ์กับวัดเส้าหลินด้วย…”

 

แก่นของวิชาไท่ฉี…

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างตกตะลึง

 

แก่นแท้ของวิชาไท่ฉีเขียนขึ้นโดยความพยายามชั่วชีวิตของนักพรตจาง แม้แต่ในหมู่สาวกเขาหวู่ตั้งก็มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เรียนรู้แก่นของวิชาไท่ฉี

 

แต่ตอนนี้ นักพรตจางจะใช้แก่นของไท่ฉีเพื่อสานสัมพันธ์กับวัดเส้าหลิน?

 

“นักพรตจาง โปรดนำมันกลับไปเถิด”

 

“เนื่องจากคัมภีร์เก้าสุริยันได้ออกจากวัดเส้าหลินไปสู่โลกภายนอกแล้ว มันจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวัดเส้าหลินอีก…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วปฏิเสธแก่นของไท่ฉีโดยไม่ลังเล

 

ถึงแม้ว่าแก่นของไท่ฉีจะดี แต่มันก็เป็นวิชาในวิถีทางแบบเต๋า แม้จะรับมามันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

 

ในทางตรงกันข้ามนักพรตจางถึงกับส่งแก่นของไท่ฉีมาเพื่อสานสัมพันธ์ เห็นได้ชัดว่าต้องการกระทำการใหญ่

 

นักพรตจางส่ายหัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้เก็บคัมภีร์กลับไป

 

“นอกจากนี้…”

 

เมื่อนักพรตจางพูดเรื่องนี้แววตาของเขาก็เป็นประกาย “ชายชรามาที่นี่เพื่อพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่พำนักอยู่ภายในวัดของท่าน…”

 

ขอเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…

 

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเปลี่ยนไป

 

“ข้าเกรงว่านักพรตจางจะมาสายเกินไป ตอนนี้ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ไม่ต้องการจะพบใคร…” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวคำช้าๆ

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ชายชราผู้นี้รอได้”

 

นักตรตจางเป็นคนง่ายๆ และอิสรเสรี

 

“รอ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินขมวดคิ้วมุ่น

 

ถ้าจะให้นักพรตจางยอดปรมาจารย์จากเขาหวู่ตั้งต้องรออยู่ที่หน้าประตูแบบนี้จะมิเป็นการเสียหน้าให้กับวัดเส้าหลินหรอกหรือ?

 

“นักพรตจางโปรดกลับไปเถิด” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจเบาๆ

 

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ภายในวัดของพวกเรา เจ้าไม่กลัวท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จัดการเจ้าหรอกหรือ?”

 

จากคำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็แฝงคำเตือนออกไปแล้ว

 

“ในเมื่อข้าเป็นผู้รนหาที่เอง แม้จะต้องตายก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้” มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักพรตจาง “ตราบใดที่ได้พบกับผู้ทรงสมณศักดิ์ ไม่ว่าจะอะไรหรือแม้แต่ชีวิตของชายชราผู้นี้ก็มอบให้แก่เจ้าได้”

 

ดวงตาของนักพรตจางแน่วแน่ ใบหน้าของเขาจริงจัง

 

“นี่…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปทางนักพรตจางด้วยความเคร่งเครียด

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ วัดเส้าหลินของข้าคงต้องขอให้นักพรตจางชี้แนะแก่นของวิชาไท่ฉีให้ เหลือเพียงทางนี้เท่านั้น…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินค่อยๆ รวบรวมกำลังภายในของตนและมองตรงไปยังนักพรตจาง

 

นักพรตจางอยากจะเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ แต่ด้วยสถานะของท่านจะให้ใครที่อยากพบเข้ามาพบท่านได้ง่ายๆ ตามต้องการกระนั้นหรือ?

 

ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น หากใครอยากจะพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯก็ได้พบ ท่านจะรักษาหน้าท่านได้อย่างไร? วัดเส้าหลินจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

 

ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะต้องหยุดชายตรงหน้าเอาไว้ให้ได้ แม้จะรู้ว่าตนระดับห่างไกลจากนักพรตจางเพียงไร

 

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างก็แอบเกร็งกำลังภายในของตนเอาไว้ พร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ

 

เมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักพร้อมเข้าต่อสู้

 

ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจที่เศร้าหมอง เป็นความเมตตาที่ใช้มองโลกที่เร่งรีบนี้อย่างเนิบช้าค่อยเป็นค่อยไป

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างตกใจและมองไปที่ภูเขาด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

 

นักพรตจางก็ทำเช่นเดียวกัน เขาเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่ภูเขาด้านหลัง

 

อย่างไรก็ตามนักพรตจางกลับได้เห็นฉากที่เขาจะจดจำไปชั่วชีวิต

 

เขาเห็นว่าภูเขาด้านหลังที่เดิมเงียบสงบและลึกล้ำ กลายเป็นภูเขาสูงใหญ่และน่าเกรงขาม

 

เมื่อมองไปจนสุดสายตา พบร่างคนกำลังนั่งขัดสมาธิปรากฏขึ้น

 

ภาพนี้เหมือนกับองค์ยูไลที่อยู่ในดินแดนอันพิสุทธิ์ มีเมตตาอันบริสุทธิ์ “เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!”

 

“นี่คือ?!!”

 

จิตใจของนักพรตจางประหวั่นพรั่นพรึง เขารู้สึกเพียงว่าวิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัว สติของเขาเริ่มไม่ชัดเจน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 91 เข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 91 เข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Sign in Buddha’s palm 91 เข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์

 

 

“ลงจากเขา”

 

“แสวงหาสัจธรรม!”

 

น้ำเสียงของนักพรตจางราบเรียบไม่มีความผันผวน แต่ในที่สุดเมื่อพูดคำว่า ‘แสวงหาสัจธรรม‘ เขาแอบแสดงความคาดหวังออกมาเล็กน้อย

 

“แสวงหาสัจธรรม?”

 

เหล่าสาวกเขาหวู่ตั้งต่างมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร

 

ในสายตาของพวกเขา นักพรตจางคือที่สุดในยุทธภพแล้วในวิถีปรัชญา แล้วทำไมยังต้องลงเขาไปแสวงหาสัจธรรมอีก?

 

มีเพียงจางเซียวและสาวกบางคนเท่านั้นที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

หากจะกล่าวถึงเรื่องข่าวลือที่ว่าวัดเส้าหลินมีอรหันต์กำเนิดขึ้น ในสายตาของจอมยุทธส่วนใหญ่ก็แค่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเท่านั้น…

 

แต่หลังจากการกลับมาของจางเซียว สาวกคนอื่นๆ หลายคนต่างก็รับรู้ได้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ระดับอรหันต์นั้นมีอยู่จริงในวัดเส้าหลิน

 

หากมิใช่ขอบเขตอรหันต์ใครจะสามารถสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ได้ด้วยดาบไม้ธรรมดาๆ?

 

การออกมาของนักพรตจางในครั้งนี้เกรงว่าจะเพราะได้ยินข่าวนั้น

 

“ในครานี้ที่ข้าลงไปจากเขาหวู่ตั้ง ถ้าข้ายังไม่กลับมา เขาหวู่ตั้งจะถูกปิดเป็นเวลายี่สิบปีและไม่อนุญาตให้มีการแก้แค้นเกิดขึ้น”

 

สายตาของนักพรตจางจ้องมองดูเหล่าสาวกเขาหวู่ตั้งที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นท่านก็ค่อยๆ เดินลงจากเขาทีละก้าวท่ามกลางสายตาของเหล่าศิษย์สาวก

 

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างกำลังดีอกดีใจ

 

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ศิษย์ถึงสามคนที่บ่มเพาะอยู่ใกล้พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังได้เข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน

 

ระดับนี้หาได้ยากแค่ไหนกัน?

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่สุดยอดพรรคแห่งยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน จอมยุทธในขอบเขตสามระดับบนก็เพียงพอจะนั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักได้แล้ว

 

หากเป็นเมื่อก่อนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบหรือยี่สิบปีกว่าที่วัดเส้าหลินจะให้กำเนิดจอมยุทธในขอบเขตสามระดับบนได้

 

แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น จะไม่ให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักยินดีได้อย่างไร?

 

ยิ่งมียอดฝีมือขอบเขตสามระดับบนมากเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่จะกำเนิดปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองและยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็มากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีทั้งปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองและชั้นที่หนึ่งจำนวนมากในระดับหนึ่ง พวกเขาก็สามารถแนะนำแนวทางให้กับลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่มีศักยภาพได้…

 

ผลก็คือ วัดเส้าหลินจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ…

 

“อย่าเพิ่งหลงระเริงยินดีไป”

 

“ศิษย์ทั้งสามคนที่เข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนได้ ล้วนเป็นหัวกะทิของวัดเรา ในปีก่อนพวกเขาก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สี่อยู่แล้ว ห่างจากขอบเขตสามระดับบนเพียงก้าวเดียวเท่านั้น”

 

“พอมาตอนนี้ ด้วยแรงผลักดันจากหมอกนั่นจึงเกิดความก้าวหน้าขึ้น”

 

“แต่ถ้าเจ้าต้องการจะให้มีคนเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนในเวลาอันสั้นเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้”

 

หัวหน้าลานธรรมกล่าวคำช้าๆ

 

เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ที่กำลังจมอยู่กับความสุขพากันสงบเสงี่ยมขึ้นทันที

 

“ฮุ่ยจื๋อพูดถูก”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความสุขไม่แพ้กัน แต่เขาก็ได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว

 

สาเหตุสำคัญที่มีวัดเส้าหลินให้กำเนิดยอดฝีมือขอบเขตสามระดับบนในเวลาไม่กี่เดือน เป็นเพราะการสั่งสมตบะมาตั้งแต่ต้น

 

ถ้าจะให้ราบรื่นเหมือนเช่นตอนนี้ก็คงจะยากพอๆ กับทะยานขึ้นไปแตะท้องฟ้า

 

“เจ้าอาวาส”

 

“ข้าน่าจะใกล้ทะลวงขั้นได้แล้ว”

 

ในเวลานั้นเองหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา

 

“เจ้าต้องการจะทะลวงขั้นงั้นรึ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่หน้าของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ทันทีด้วยความประหลาดใจ

 

ทราบหรือไม่ว่าหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เป็นผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่สาม และถ้าทะลวงขั้นได้สำเร็จก็จะเข้าขอบเขตปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง

 

ปัจจุบันนี้ ยกเว้นซูฉินเอาไว้สักหนึ่งคน วัดเส้าหลินมีเพียงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่ง และหัวหน้าลานธรรมที่อยู่ในระดับชั้นที่สอง

 

หากยามนี้มีภิกษุในวัดที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่งและระดับชั้นที่สองเพิ่มขึ้น รากฐานของวัดเส้าหลินก็ย่อมดีมากขึ้นไปตามธรรมชาติ

 

และเมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น ศิษย์วัดเส้าหลินคนหนึ่งก็รีบเข้ามาหา

 

“เรียนเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนัก มีใครบางคนมาขอเข้าพบขอรับ”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินผู้นี้รายงานอย่างรวดเร็วจนแทบจะหายใจไม่ทัน

 

“ขอเข้าพบ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้ใด?”

 

“เขาบอกว่าเขามาจากภูเขาหวู่ตั้ง และมีแซ่ว่าจาง…”

 

“อะไรนะ?!” นัยน์ตาของเหล่าหัวหน้าตำหนักหดตัวลง

 

เขาหวู่ตั้ง?

 

ใช้แซ่ว่าจาง?

 

ไม่ว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม แต่หัวหน้าตำหนักต่างนึกถึงนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งโดยไม่รู้ตัว

 

“ออกไปดูสักหน่อยเถอะ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแสดงสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกวัดเส้าหลินโดยพลัน

 

หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ มองหน้ากันแล้วรีบติดตามไปในทันที

 

ไม่ช้านาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักก็ออกมาด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

ในขณะนี้มีชายที่สวมชุดคลุมนักพรตเต๋า ใบหน้าของเขาดูซื่อๆ กำลังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ

 

“เป็นนักพรตจางจริงๆ…”

 

หัวหน้าตำหนักต่างตกใจไม่อยากจะเชื่อ

 

พวกเขาไม่คาดคิดว่านักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งจะมายืนอยู่หน้าวัดเส้าหลินเช่นนี้

 

“นักพรตจาง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสูดลมหายใจเข้า ก้าวเท้าออกไปด้านหน้าและกล่าวคำทักทาย

 

แม้ว่าเขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่เขายังไม่อาจเทียบเคียงนักพรตจางที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมายาวนานหลายทศวรรษได้

 

“เจ้าอาวาส”

 

นักพรตจางดูสงบอ่อนโยน มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและพยักหน้าให้เล็กน้อย

 

“ข้าไม่ทราบว่านักพรตจางมาที่วัดเส้าหลินของข้าด้วยเหตุใด มีเรื่องอะไรหรือไม่?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถามไปอย่างห้วนๆ

 

“ยามเมื่อนักพรตเฒ่าผู้นี้ยังหนุ่มแน่น ข้าเดินเตร็ดเตร่ท่องเที่ยวไปทั่วแล้วโชคดีบังเอิญได้พบเข้ากับคัมภีร์เก้าสุริยันที่เหลืออยู่ครึ่งเล่ม…”

 

นักพรตจางไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตรงๆ แต่พูดกลับไปว่า “คัมภีร์เก้าสุริยันครึ่งเล่มนี้มีประโยชน์มากกับชายชราผู้นี้”

 

เมื่อนักพรตจางพูดเช่นนั้น เขาก็ขยับมือขวาหยิบคัมภีร์ออกมา “ด้วยคัมภีร์เพียงครึ่งเล่มนั้นข้าจึงได้สร้างแก่นของวิชาไท่ฉีขึ้นมาได้ โปรดรับสิ่งนี้เอาไว้เพื่อให้ข้าสานสัมพันธ์กับวัดเส้าหลินด้วย…”

 

แก่นของวิชาไท่ฉี…

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างตกตะลึง

 

แก่นแท้ของวิชาไท่ฉีเขียนขึ้นโดยความพยายามชั่วชีวิตของนักพรตจาง แม้แต่ในหมู่สาวกเขาหวู่ตั้งก็มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เรียนรู้แก่นของวิชาไท่ฉี

 

แต่ตอนนี้ นักพรตจางจะใช้แก่นของไท่ฉีเพื่อสานสัมพันธ์กับวัดเส้าหลิน?

 

“นักพรตจาง โปรดนำมันกลับไปเถิด”

 

“เนื่องจากคัมภีร์เก้าสุริยันได้ออกจากวัดเส้าหลินไปสู่โลกภายนอกแล้ว มันจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวัดเส้าหลินอีก…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วปฏิเสธแก่นของไท่ฉีโดยไม่ลังเล

 

ถึงแม้ว่าแก่นของไท่ฉีจะดี แต่มันก็เป็นวิชาในวิถีทางแบบเต๋า แม้จะรับมามันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

 

ในทางตรงกันข้ามนักพรตจางถึงกับส่งแก่นของไท่ฉีมาเพื่อสานสัมพันธ์ เห็นได้ชัดว่าต้องการกระทำการใหญ่

 

นักพรตจางส่ายหัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้เก็บคัมภีร์กลับไป

 

“นอกจากนี้…”

 

เมื่อนักพรตจางพูดเรื่องนี้แววตาของเขาก็เป็นประกาย “ชายชรามาที่นี่เพื่อพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่พำนักอยู่ภายในวัดของท่าน…”

 

ขอเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…

 

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเปลี่ยนไป

 

“ข้าเกรงว่านักพรตจางจะมาสายเกินไป ตอนนี้ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ไม่ต้องการจะพบใคร…” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวคำช้าๆ

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ชายชราผู้นี้รอได้”

 

นักตรตจางเป็นคนง่ายๆ และอิสรเสรี

 

“รอ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินขมวดคิ้วมุ่น

 

ถ้าจะให้นักพรตจางยอดปรมาจารย์จากเขาหวู่ตั้งต้องรออยู่ที่หน้าประตูแบบนี้จะมิเป็นการเสียหน้าให้กับวัดเส้าหลินหรอกหรือ?

 

“นักพรตจางโปรดกลับไปเถิด” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจเบาๆ

 

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ภายในวัดของพวกเรา เจ้าไม่กลัวท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จัดการเจ้าหรอกหรือ?”

 

จากคำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็แฝงคำเตือนออกไปแล้ว

 

“ในเมื่อข้าเป็นผู้รนหาที่เอง แม้จะต้องตายก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้” มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักพรตจาง “ตราบใดที่ได้พบกับผู้ทรงสมณศักดิ์ ไม่ว่าจะอะไรหรือแม้แต่ชีวิตของชายชราผู้นี้ก็มอบให้แก่เจ้าได้”

 

ดวงตาของนักพรตจางแน่วแน่ ใบหน้าของเขาจริงจัง

 

“นี่…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปทางนักพรตจางด้วยความเคร่งเครียด

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ วัดเส้าหลินของข้าคงต้องขอให้นักพรตจางชี้แนะแก่นของวิชาไท่ฉีให้ เหลือเพียงทางนี้เท่านั้น…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินค่อยๆ รวบรวมกำลังภายในของตนและมองตรงไปยังนักพรตจาง

 

นักพรตจางอยากจะเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ แต่ด้วยสถานะของท่านจะให้ใครที่อยากพบเข้ามาพบท่านได้ง่ายๆ ตามต้องการกระนั้นหรือ?

 

ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น หากใครอยากจะพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯก็ได้พบ ท่านจะรักษาหน้าท่านได้อย่างไร? วัดเส้าหลินจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

 

ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะต้องหยุดชายตรงหน้าเอาไว้ให้ได้ แม้จะรู้ว่าตนระดับห่างไกลจากนักพรตจางเพียงไร

 

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างก็แอบเกร็งกำลังภายในของตนเอาไว้ พร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ

 

เมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักพร้อมเข้าต่อสู้

 

ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจที่เศร้าหมอง เป็นความเมตตาที่ใช้มองโลกที่เร่งรีบนี้อย่างเนิบช้าค่อยเป็นค่อยไป

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างตกใจและมองไปที่ภูเขาด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

 

นักพรตจางก็ทำเช่นเดียวกัน เขาเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่ภูเขาด้านหลัง

 

อย่างไรก็ตามนักพรตจางกลับได้เห็นฉากที่เขาจะจดจำไปชั่วชีวิต

 

เขาเห็นว่าภูเขาด้านหลังที่เดิมเงียบสงบและลึกล้ำ กลายเป็นภูเขาสูงใหญ่และน่าเกรงขาม

 

เมื่อมองไปจนสุดสายตา พบร่างคนกำลังนั่งขัดสมาธิปรากฏขึ้น

 

ภาพนี้เหมือนกับองค์ยูไลที่อยู่ในดินแดนอันพิสุทธิ์ มีเมตตาอันบริสุทธิ์ “เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!”

 

“นี่คือ?!!”

 

จิตใจของนักพรตจางประหวั่นพรั่นพรึง เขารู้สึกเพียงว่าวิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัว สติของเขาเริ่มไม่ชัดเจน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+