เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

Sign in Buddha’s palm 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้!

 

“แผ่นดินที่กว้างกว่า นภาที่สูงขึ้น”

 

ซูฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม ร่ายวจีออกมาหนึ่งบท

 

หากยืนอยู่บนผืนดิน แม้แต่ซูฉินก็แทบจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เพราะเมื่อเทียบกับโลกนี้ตัวเขาช่างเล็กน้อยเหลือเกิน

 

แต่ตอนนี้ซูฉินยืนอยู่บนผืนฟ้า เขาค้นพบว่าโลกทั้งใบกําลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ

 

“นี่คือกระแสปราณฉีที่ว่า?”

 

ซูฉินเชื่อคําพูดของโม๋จีเกือบทั้งหมดแล้วในตอนนี้

 

ถ้าแค่เรื่องปราณฉีมีปริมาณเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญได้ แต่ตอนนี้โลกทั้งใบกําลังเปลี่ยนแปลงไป คงต้องปักใจเชื่อเรื่องกระแสปราณฉีกําลังเปลี่ยนผันจากปากคําของโม๋จีเสียแล้ว

 

“โลกหล้ากําลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก”

 

ซูฉินกลับไปที่พระราชวังถัง

 

คราวนี้เขาไม่ได้กลับไปโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน แต่ยืนอยู่หน้าตําหนักขุนฝั่งขวา

 

“มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่งอยู่ภายในวัง”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ และพบว่าแม่ทัพแห่งวังหลวงได้แปรสภาพกําลังภายในจนก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนซูฉินก็คงไม่คิดว่ามันผิดปกติอะไร แม่ทัพแห่งวังหลวงอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่ง ห่างจากการแปรสภาพเพียงแค่ก้าวเดียว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าวันหนึ่งจะตัดผ่านไปได้

 

แต่หลังจากตระหนักถึงการคงอยู่ของกระแสแห่งปราณฉี ซูฉินก็ไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป

 

“ยอดยุทธภายในเมืองฉางอันก็คงเพิ่มขึ้นเช่นกัน”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งเมืองฉางอัน

 

“ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่างมากที่สุดภายในเวลาไม่กี่ปีตํานานยุทธคงได้ถือกําเนิดขึ้นอีกครั้ง…”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ภายในใจ

 

พลังปราณฉีภายในโลกกําลังเปลี่ยนแปลงไป และง่ายขึ้นมากสําหรับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดในการเข้าใจถึงพลังฟ้าดิน ในกรณีนี้อาจจะมีบางคนสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสพลังดังกล่าวได้จริงๆ จนเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ

 

“ในเมื่อมันเป็นผลดีสําหรับจอมยุทธคนอื่นๆ แล้ว สําหรับข้าทําไมมันจะไม่ดีเล่า?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

หากกระแสปราณไม่เพิ่มขึ้นและยังคงอยู่ในยุคตกต่ำ แม้ว่าซูฉินจะมีโอสถเป็นจํานวนมาก ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ยี่สิบกว่าปีถึงจะเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่หกขั้นสมบูรณ์

 

ส่วนการจะทะลวงจากระดับนภาชั้นที่หกไปสู่ชั้นที่เจ็ดนั้น เกรงว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักสิบถึงยี่สิบปี

 

แต่ยามนี้

 

“สองปี”

 

“อย่างน้อยสองปี ข้าจะสามารถทะลวงผ่านไปยังนภาชั้นที่เจ็ดได้”

 

ซูฉินคาดคิดในใจ

 

เมื่อมาถึงระดับที่เป็นอยู่นี้ ความเข้าใจในตนเองของเขานั้นถือว่าแม่นยําที่สุดแล้วและสามารถสัมผัสได้ถึงทุกอย่างที่ละเอียดอ่อนภายในตน ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าในการฝึกตน

 

“นภาชั้นที่เจ็ดในสองปี นภาชั้นที่แปดอีกสิบปี และนภาชั้นอีกเก้าอีกสามสิบปี”

 

“จากการคาดคะเนนี้ อย่างน้อยสุดก็ห้าสิบปี ข้าจะไปอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนภาทั้งเก้าชั้น และจะทะยานสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ได้?”

 

สีหน้าของซูฉินแสดงให้เห็นถึงความสุขล้น

 

ห้าสิบปียาวนานหรือไม่เล่า?

 

บางที่สําหรับคนธรรมดาห้าสิบปีอาจจะเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งชีวิต

 

แต่ในสายตาของอรหันต์เช่นซูฉินที่มีอายุขัยกว่าหนึ่งพันปีห้าสิบปีก็เป็นเพียงหนึ่งในยี่สิบส่วนของอายุขัยทั้งหมด

 

“มาดูสรรพคุณของผลไม้แก่นปีศาจเสียหน่อย”

 

ซูฉินอยู่ในอารมณ์ที่ดี จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตัวเขาผสานเข้ากับคลังของระบบและจ้องไปที่ผลแก่นปีศาจที่คล้ายหัวใจสีดํากําลังเต้นตุบๆ

 

ก่อนหน้านี้เขากําลังจดจ่ออยู่กับปัญหาเรื่องกระแสปราณฉี จึงละเลยการตรวจสอบผลไม้แก่นปีศาจจากโลกถ้ำปีศาจใต้พิภพไปเสียสนิท

 

“จากพลังที่ผันผวนอยู่ภายใน มันเทียบเท่าได้กับผลไม้สีแดงหนึ่งร้อยผล”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ถ้าเขาต้องการลงชื่อแล้วได้รับผลไม้สีแดงร้อยผล เขาจะต้องลงชื่อเข้าใช้แท่นบูชาเทพธรณีฯ อย่างต่อเนื่องอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน

 

แต่ตอนนี้ผลไม้แก่นปีศาจผลเดียวก็ช่วยแก้ปัญหานั้นได้แล้ว

 

“หากมีผลไม้จิตวิญญาณเช่นนี้อีกเป็นพันๆ ผล ก็คงเพียงพอสําหรับการฝึกฝนของข้าในระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้ว”

 

ซูฉินค่อนข้างพึงพอใจ

 

องค์ประกอบภายในของผลไม้แก่นปีศาจผลนี้ไม่ใช่พลังฟ้าดิน แต่เป็นปราณปีศาจปริมาณมหาศาลจากโลกถ้ำปีศาจใต้พิภพ

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าตํานานยุทธคนอื่นๆ ผลไม้แก่นปีศาจก็ไม่ต่างไปจากพิษร้ายและไม่สามารถดูดซับเข้าไปได้

 

แต่สําหรับซูฉินก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพียงใช้ร่างทองมารพุทธะเพื่อแปรเปลี่ยนปราณปีศาจภายในผลไม้แก่นปีศาจให้กลายเป็นแก่นแท้แห่งพลัง ซึ่งก็ลําบากขึ้นอีกนิดหน่อยเท่านั้น

 

“เก็บไว้ก่อนแล้วกัน”

 

“ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับนภาชั้นที่หกเท่านั้น การใช้ผลไม้แก่นปีศาจนั้นเป็นการสิ้นเปลืองจนเกินไป รอจนถึงนภาชั้นที่เจ็ดเสียก่อนดีกว่า”

 

ซูฉินค่อยๆ เก็บจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนกลับมา

 

และในตอนที่ซูฉินกําลังจะเดินเข้าไปในตําหนักชุนฝั่งขวานั้น

 

หลีหว่านก็วิ่งจ้ำเท้าเข้ามา

 

“ลุงสาม”

 

“ลุงสาม”

 

“ข้า ข้า ข้า…”

 

หลีหว่านวิ่งมาหาซูฉิน คําพูดติดๆ ขัดๆ ด้วยความตื่นเต้น

 

“ค่อยๆ พูด”

 

ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและกล่าวออกอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

“เอาล่ะ” หลีหว่านสงบใจลง ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงพูดขึ้นว่า “ลุงสาม ข้าตัดผ่านอีกครั้งแล้ว “

 

“ตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เจ็ด…”

 

ใบหน้าอันสวยงามของหลีหว่านเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

ตัวนางเพิ่งจะเข้าสู่ระดับชั้นที่แปดเมื่อไม่นานมานี้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็เข้าสู่ระดับชั้นที่เจ็ดเสียแล้ว?

 

ถ้าไม่ใช่เพราะหลีหว่านยืนยันแล้วว่าร่างกายตนปกติ กําลังภายในก็แข็งแกร่งดี เกรงว่าคงคิดว่าตนเข้าใจผิดไปแน่

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ไม่บ่อยนักที่เขาจะชมเชยหลีหว่าน

 

แม้จะเป็นผลมาจากกระแสปราณฉี แต่ที่หลีหว่านข้ามระดับชั้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของกระแสปราณฉีเพียงแค่เล็กน้อย ก็เห็นได้ชัดถึงความพยายามของตัวนางเองแล้ว

 

“ลุงสาม ทําไม ทําไม…”

 

หลี่หว่านเต็มไปด้วยความสงสัยจึงพูดออกมา “ทําไมข้ารู้สึกว่าการฝึกยุทธจึงกลายเป็นเรื่องง่าย…”

 

“ง่าย?”

 

ซูฉินยิ้มและพูดแฝงความลึกซึ้งเอาไว้ “ไม่ใช่แค่เจ้าที่รู้สึกว่ามันง่าย แต่พื้นพิภพใต้ผืนฟ้านี้ทุกสิ่งจะกลับกลายเป็นง่ายขึ้น”

 

“อย่างนี้นี่เอง…”

 

หลีหว่านพยักหน้าโดยไม่เข้าใจนัก

 

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าซูฉินพูดถึงอะไร แต่อย่างไรเสียการบ่มเพาะนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของผืนฟ้าและพื้นพิภพ เนื่องจากซูฉินเป็นผู้พูดมันก็ควรเป็นเรื่องจริง

 

“ตอนนี้เจ้าเป็นจอมยุทธระดับชั้นที่เจ็ดแล้ว ข้าจะสอนบางสิ่งให้กับเจ้า”

 

ซูฉินมองไปที่หลีหว่านแล้วกล่าวขึ้นมา

 

หากโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปราณฉีกําลังจะกลับคืนมา เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีผู้คนที่ทรงพลังอํานาจผุดเพิ่มขึ้นอีกมากมาย

 

ดังนั้นซูฉินจึงต้องตัดสินใจที่จะปลูกฝังพลังอํานาจให้กับอาณาจักรถัง

 

“จริงหรือ?”

 

ดวงตาของหลีหว่านเป็นประกายเมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น

 

“แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องจริง”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง

แฟนเพจ : novelza

“วิชาหมัด ฝ่ามือ ท่าเท้า มีด ดาบ เกาทัณฑ์”

 

“เลือกมาหนึ่งอย่างเจ้าอยากจะเรียนรู้สิ่งใด”

 

ซูฉินพูดอย่างช้าๆ

 

“ฟังดูซับซ้อนยิ่งนัก” หลีหว่านกะพริบตาและมองซูฉินอย่างมีความหวัง “ลุงสาม ข้าเรียนทั้งหมดนั่นเลยมิได้หรือ?”

 

“ทั้งหมด?”

 

ซูฉินยิ้มเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้วจึงส่ายหัว “พลังงานของทุกคนมีขีดจํากัด และเป็นเช่นเดียวกันแม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ”

 

“แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ตํานานยุทธ และเซียนเทพปฐพีก็ยังชํานาญในบางศาสตร์บางแขนงเท่านั้น หากต้องการจะเรียนรู้ทั้งหมด ความสําเร็จในอนาคตของเจ้าจะถูกจํากัด ได้ไม่คุ้มเสีย”

 

ซูฉินพูดอย่างอ่อนโยน

 

อันที่จริงตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่พระโพธิธรรมแห่งวัดเส้าหลินที่ว่ากันว่าร่ำเรียนวิชามามากมาย ก็เรียนรู้เฉพาะศาสตร์วิชาภายในวัดเส้าหลินเท่านั้น ส่วนทักษะวิชาอื่นๆ ภายในโลกหล้านั้นค่อนข้างจํากัด

 

เมื่อหลีหว่านได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของนางก็ดูครุ่นคิดอยู่ครูใหญ่

 

“ลุงสาม”

 

จู่ๆ หลี่หว่านก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ มองไปที่ซูฉินแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “แล้วลุงสาม ท่านชํานาญในด้านใด?”

 

“ข้า?”

 

ซูฉินหัวเราะราวกับคนบ้า เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาค่อยๆ สงบนิ่งก่อนจะพูดว่า

 

“ข้านั้นไม่มีใครมาเทียบได้!”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้!

Now you are reading เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล Chapter 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

Sign in Buddha’s palm 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้!

 

“แผ่นดินที่กว้างกว่า นภาที่สูงขึ้น”

 

ซูฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม ร่ายวจีออกมาหนึ่งบท

 

หากยืนอยู่บนผืนดิน แม้แต่ซูฉินก็แทบจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เพราะเมื่อเทียบกับโลกนี้ตัวเขาช่างเล็กน้อยเหลือเกิน

 

แต่ตอนนี้ซูฉินยืนอยู่บนผืนฟ้า เขาค้นพบว่าโลกทั้งใบกําลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ

 

“นี่คือกระแสปราณฉีที่ว่า?”

 

ซูฉินเชื่อคําพูดของโม๋จีเกือบทั้งหมดแล้วในตอนนี้

 

ถ้าแค่เรื่องปราณฉีมีปริมาณเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญได้ แต่ตอนนี้โลกทั้งใบกําลังเปลี่ยนแปลงไป คงต้องปักใจเชื่อเรื่องกระแสปราณฉีกําลังเปลี่ยนผันจากปากคําของโม๋จีเสียแล้ว

 

“โลกหล้ากําลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก”

 

ซูฉินกลับไปที่พระราชวังถัง

 

คราวนี้เขาไม่ได้กลับไปโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน แต่ยืนอยู่หน้าตําหนักขุนฝั่งขวา

 

“มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่งอยู่ภายในวัง”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ และพบว่าแม่ทัพแห่งวังหลวงได้แปรสภาพกําลังภายในจนก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนซูฉินก็คงไม่คิดว่ามันผิดปกติอะไร แม่ทัพแห่งวังหลวงอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่ง ห่างจากการแปรสภาพเพียงแค่ก้าวเดียว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าวันหนึ่งจะตัดผ่านไปได้

 

แต่หลังจากตระหนักถึงการคงอยู่ของกระแสแห่งปราณฉี ซูฉินก็ไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป

 

“ยอดยุทธภายในเมืองฉางอันก็คงเพิ่มขึ้นเช่นกัน”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งเมืองฉางอัน

 

“ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่างมากที่สุดภายในเวลาไม่กี่ปีตํานานยุทธคงได้ถือกําเนิดขึ้นอีกครั้ง…”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ภายในใจ

 

พลังปราณฉีภายในโลกกําลังเปลี่ยนแปลงไป และง่ายขึ้นมากสําหรับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดในการเข้าใจถึงพลังฟ้าดิน ในกรณีนี้อาจจะมีบางคนสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสพลังดังกล่าวได้จริงๆ จนเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ

 

“ในเมื่อมันเป็นผลดีสําหรับจอมยุทธคนอื่นๆ แล้ว สําหรับข้าทําไมมันจะไม่ดีเล่า?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

หากกระแสปราณไม่เพิ่มขึ้นและยังคงอยู่ในยุคตกต่ำ แม้ว่าซูฉินจะมีโอสถเป็นจํานวนมาก ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ยี่สิบกว่าปีถึงจะเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่หกขั้นสมบูรณ์

 

ส่วนการจะทะลวงจากระดับนภาชั้นที่หกไปสู่ชั้นที่เจ็ดนั้น เกรงว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักสิบถึงยี่สิบปี

 

แต่ยามนี้

 

“สองปี”

 

“อย่างน้อยสองปี ข้าจะสามารถทะลวงผ่านไปยังนภาชั้นที่เจ็ดได้”

 

ซูฉินคาดคิดในใจ

 

เมื่อมาถึงระดับที่เป็นอยู่นี้ ความเข้าใจในตนเองของเขานั้นถือว่าแม่นยําที่สุดแล้วและสามารถสัมผัสได้ถึงทุกอย่างที่ละเอียดอ่อนภายในตน ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าในการฝึกตน

 

“นภาชั้นที่เจ็ดในสองปี นภาชั้นที่แปดอีกสิบปี และนภาชั้นอีกเก้าอีกสามสิบปี”

 

“จากการคาดคะเนนี้ อย่างน้อยสุดก็ห้าสิบปี ข้าจะไปอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนภาทั้งเก้าชั้น และจะทะยานสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ได้?”

 

สีหน้าของซูฉินแสดงให้เห็นถึงความสุขล้น

 

ห้าสิบปียาวนานหรือไม่เล่า?

 

บางที่สําหรับคนธรรมดาห้าสิบปีอาจจะเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งชีวิต

 

แต่ในสายตาของอรหันต์เช่นซูฉินที่มีอายุขัยกว่าหนึ่งพันปีห้าสิบปีก็เป็นเพียงหนึ่งในยี่สิบส่วนของอายุขัยทั้งหมด

 

“มาดูสรรพคุณของผลไม้แก่นปีศาจเสียหน่อย”

 

ซูฉินอยู่ในอารมณ์ที่ดี จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตัวเขาผสานเข้ากับคลังของระบบและจ้องไปที่ผลแก่นปีศาจที่คล้ายหัวใจสีดํากําลังเต้นตุบๆ

 

ก่อนหน้านี้เขากําลังจดจ่ออยู่กับปัญหาเรื่องกระแสปราณฉี จึงละเลยการตรวจสอบผลไม้แก่นปีศาจจากโลกถ้ำปีศาจใต้พิภพไปเสียสนิท

 

“จากพลังที่ผันผวนอยู่ภายใน มันเทียบเท่าได้กับผลไม้สีแดงหนึ่งร้อยผล”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ถ้าเขาต้องการลงชื่อแล้วได้รับผลไม้สีแดงร้อยผล เขาจะต้องลงชื่อเข้าใช้แท่นบูชาเทพธรณีฯ อย่างต่อเนื่องอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน

 

แต่ตอนนี้ผลไม้แก่นปีศาจผลเดียวก็ช่วยแก้ปัญหานั้นได้แล้ว

 

“หากมีผลไม้จิตวิญญาณเช่นนี้อีกเป็นพันๆ ผล ก็คงเพียงพอสําหรับการฝึกฝนของข้าในระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้ว”

 

ซูฉินค่อนข้างพึงพอใจ

 

องค์ประกอบภายในของผลไม้แก่นปีศาจผลนี้ไม่ใช่พลังฟ้าดิน แต่เป็นปราณปีศาจปริมาณมหาศาลจากโลกถ้ำปีศาจใต้พิภพ

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าตํานานยุทธคนอื่นๆ ผลไม้แก่นปีศาจก็ไม่ต่างไปจากพิษร้ายและไม่สามารถดูดซับเข้าไปได้

 

แต่สําหรับซูฉินก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพียงใช้ร่างทองมารพุทธะเพื่อแปรเปลี่ยนปราณปีศาจภายในผลไม้แก่นปีศาจให้กลายเป็นแก่นแท้แห่งพลัง ซึ่งก็ลําบากขึ้นอีกนิดหน่อยเท่านั้น

 

“เก็บไว้ก่อนแล้วกัน”

 

“ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับนภาชั้นที่หกเท่านั้น การใช้ผลไม้แก่นปีศาจนั้นเป็นการสิ้นเปลืองจนเกินไป รอจนถึงนภาชั้นที่เจ็ดเสียก่อนดีกว่า”

 

ซูฉินค่อยๆ เก็บจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนกลับมา

 

และในตอนที่ซูฉินกําลังจะเดินเข้าไปในตําหนักชุนฝั่งขวานั้น

 

หลีหว่านก็วิ่งจ้ำเท้าเข้ามา

 

“ลุงสาม”

 

“ลุงสาม”

 

“ข้า ข้า ข้า…”

 

หลีหว่านวิ่งมาหาซูฉิน คําพูดติดๆ ขัดๆ ด้วยความตื่นเต้น

 

“ค่อยๆ พูด”

 

ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและกล่าวออกอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

“เอาล่ะ” หลีหว่านสงบใจลง ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงพูดขึ้นว่า “ลุงสาม ข้าตัดผ่านอีกครั้งแล้ว “

 

“ตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เจ็ด…”

 

ใบหน้าอันสวยงามของหลีหว่านเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

ตัวนางเพิ่งจะเข้าสู่ระดับชั้นที่แปดเมื่อไม่นานมานี้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็เข้าสู่ระดับชั้นที่เจ็ดเสียแล้ว?

 

ถ้าไม่ใช่เพราะหลีหว่านยืนยันแล้วว่าร่างกายตนปกติ กําลังภายในก็แข็งแกร่งดี เกรงว่าคงคิดว่าตนเข้าใจผิดไปแน่

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ไม่บ่อยนักที่เขาจะชมเชยหลีหว่าน

 

แม้จะเป็นผลมาจากกระแสปราณฉี แต่ที่หลีหว่านข้ามระดับชั้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของกระแสปราณฉีเพียงแค่เล็กน้อย ก็เห็นได้ชัดถึงความพยายามของตัวนางเองแล้ว

 

“ลุงสาม ทําไม ทําไม…”

 

หลี่หว่านเต็มไปด้วยความสงสัยจึงพูดออกมา “ทําไมข้ารู้สึกว่าการฝึกยุทธจึงกลายเป็นเรื่องง่าย…”

 

“ง่าย?”

 

ซูฉินยิ้มและพูดแฝงความลึกซึ้งเอาไว้ “ไม่ใช่แค่เจ้าที่รู้สึกว่ามันง่าย แต่พื้นพิภพใต้ผืนฟ้านี้ทุกสิ่งจะกลับกลายเป็นง่ายขึ้น”

 

“อย่างนี้นี่เอง…”

 

หลีหว่านพยักหน้าโดยไม่เข้าใจนัก

 

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าซูฉินพูดถึงอะไร แต่อย่างไรเสียการบ่มเพาะนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของผืนฟ้าและพื้นพิภพ เนื่องจากซูฉินเป็นผู้พูดมันก็ควรเป็นเรื่องจริง

 

“ตอนนี้เจ้าเป็นจอมยุทธระดับชั้นที่เจ็ดแล้ว ข้าจะสอนบางสิ่งให้กับเจ้า”

 

ซูฉินมองไปที่หลีหว่านแล้วกล่าวขึ้นมา

 

หากโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปราณฉีกําลังจะกลับคืนมา เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีผู้คนที่ทรงพลังอํานาจผุดเพิ่มขึ้นอีกมากมาย

 

ดังนั้นซูฉินจึงต้องตัดสินใจที่จะปลูกฝังพลังอํานาจให้กับอาณาจักรถัง

 

“จริงหรือ?”

 

ดวงตาของหลีหว่านเป็นประกายเมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น

 

“แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องจริง”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง

“วิชาหมัด ฝ่ามือ ท่าเท้า มีด ดาบ เกาทัณฑ์”

 

“เลือกมาหนึ่งอย่างเจ้าอยากจะเรียนรู้สิ่งใด”

 

ซูฉินพูดอย่างช้าๆ

 

“ฟังดูซับซ้อนยิ่งนัก” หลีหว่านกะพริบตาและมองซูฉินอย่างมีความหวัง “ลุงสาม ข้าเรียนทั้งหมดนั่นเลยมิได้หรือ?”

 

“ทั้งหมด?”

 

ซูฉินยิ้มเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้วจึงส่ายหัว “พลังงานของทุกคนมีขีดจํากัด และเป็นเช่นเดียวกันแม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ”

 

“แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ตํานานยุทธ และเซียนเทพปฐพีก็ยังชํานาญในบางศาสตร์บางแขนงเท่านั้น หากต้องการจะเรียนรู้ทั้งหมด ความสําเร็จในอนาคตของเจ้าจะถูกจํากัด ได้ไม่คุ้มเสีย”

 

ซูฉินพูดอย่างอ่อนโยน

 

อันที่จริงตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่พระโพธิธรรมแห่งวัดเส้าหลินที่ว่ากันว่าร่ำเรียนวิชามามากมาย ก็เรียนรู้เฉพาะศาสตร์วิชาภายในวัดเส้าหลินเท่านั้น ส่วนทักษะวิชาอื่นๆ ภายในโลกหล้านั้นค่อนข้างจํากัด

 

เมื่อหลีหว่านได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของนางก็ดูครุ่นคิดอยู่ครูใหญ่

 

“ลุงสาม”

 

จู่ๆ หลี่หว่านก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ มองไปที่ซูฉินแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “แล้วลุงสาม ท่านชํานาญในด้านใด?”

 

“ข้า?”

 

ซูฉินหัวเราะราวกับคนบ้า เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาค่อยๆ สงบนิ่งก่อนจะพูดว่า

 

“ข้านั้นไม่มีใครมาเทียบได้!”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+