หมอหญิงยอดมือสังหาร 1005 หนอนบ่อนไส้ การพบกันของพ่อลูก (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1005 หนอนบ่อนไส้ การพบกันของพ่อลูก (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1005 หนอนบ่อนไส้ การพบกันของพ่อลูก (2)

จูชูอวี้ส่ายศีรษะ แสดงออกว่านางก็ไม่รู้ “หากท่านพี่ไม่วางใจ มิสู้ลองคิดหาวิธี ทำให้คุณชายเว่ยไม่อาจกลับมาได้ทันเวลาเป็นพอ”

ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเซียวเชียนเหว่ยไหววูบราวกับกำลังคิดอันใดอยู่ จูชูอวี้นั่งอยู่ด้านข้างเขาใบหน้านิ่งสงบและมีรอยยิ้มอันอ่อนโยน

บนเขาที่มีทิวทัศน์บรรยากาศงดงามแห่งหนึ่งนอกเมืองเฉินโจว หนานกงมั่วนั่งหัวเราะอยู่ในศาลาบนเนินเขาขณะมองดูเด็กแฝดชายหญิงวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน รวมถึงซังเจี้ยวที่นั่งอยู่บนหินก็มองพวกเขาพร้อมรอยยิ้ม ด้านข้างของนาง มีซังเนี่ยนเอ๋อร์และองค์หญิงฉังผิงนั่งอยู่ ด้านหลังมีชวีเหลียนซิง จือซู หมิงฉินคอยปรนนิบัติ ไม่ไกลออกไป หนานกงฮุยและฉินจื่อซวี่กำลังยืนพูดคุยกันอยู่

องค์หญิงฉังผิงมองหลานชายหลานสาวพร้อมรอยยิ้ม เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “อานอานก็ช่างเถิด เยาเยานั้นชอบเคลื่อนไหว อยู่แต่ในจวนตลอดเวลาก็น่าสงสาร นานๆ ได้ออกมาทีคงมีความสุขมากทีเดียว”

หนานกงมั่วเองก็รู้สึกผิด นางและเว่ยจวินมั่วไม่อยู่ เพื่อความปลอดภัยจึงไม่มีใครพาเด็กๆ ออกมาเดินเล่น อย่างมากก็เดินเล่นอยู่ในเมืองเท่านั้น อาจารย์อานั้นสามารถพาเด็กๆ ออกมาได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย แต่ว่าอาจารย์อาหรืออาจารย์ใครก็ดูแลเด็กไม่เป็น ดังนั้นจึงช่างเถิด จัดการธุระในจวนเรียบร้อยแล้ว หนานกงมั่วจึงอาศัยจังหวะนี้พาครอบครัวไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ออกมาเดินเล่น

ตรงหน้าด้านล่างของเนินเขานั้นเป็นแม่น้ำหลีเจียง เงยหน้ามองไกลออกไป ผืนป่าไร้ขอบเขตในฝั่งตรงข้ามดูกว้างขวาง

หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “อีกไม่กี่วันก็ดีแล้ว”

องค์หญิงฉังผิงชะงัก ตั้งสติได้จึงเข้าใจว่าหนานกงมั่วหมายถึงสงครามความวุ่นวายอีกไม่นานก็จะจบลงแล้ว ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้หลายปีมานี้สงครามไม่ได้กระทบมาถึงเฉินโจว แต่ว่าผู้อพยพลี้ภัยจากด้านนอกเข้ามาก็มีไม่น้อย หลายปีก่อนชาวเมืองเฉินโจวต้องหนีออกไป ผ่านไปไม่กี่ปีเฉินโจวก็กลายเป็นพื้นที่แห่งความสุข ด้านนอกกลับวุ่นวายแทน

ชวีเหลียนซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ ได้ยินมาว่าเมืองเผิงและอวิ๋นตูฝั่งนั้นได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ หนิงอ๋องนำทัพปิดล้อมเขาชิงอวิ๋น คิดว่าอีกไม่นานก็คงได้รับชัยชนะ เช่นนี้แล้วจินหลิงก็คงอยู่ใกล้แค่เอื้อม”

หนานกงมั่วนวดหัวคิ้ว เอ่ย “หากทุกอย่างราบรื่นแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี”

องค์หญิงฉังผิงมองหนานกงมั่ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ยถาม “อู๋สยา หากมีสักวันที่พี่สามยึดจินหลิงได้ เจ้ากับจวินเอ๋อร์วางแผนเยี่ยงไร”

หนานกงมั่วชะงัก นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ และไม่คิดว่าองค์หญิงฉังผิงจะเอ่ยถามคำถามนี้

หนานกงมั่วเอ่ย “เสด็จแม่มีความคิดอย่างไรหรือไม่เพคะ” มองชวีเหลียนซิงเล็กน้อย ส่งสายตาให้นาง ชวีเหลียนซิงสบตา ดึงจือซูและหมิงฉินออกไปเล่นกับเด็กๆ

องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ เอ่ย “หลายปีมานี้เคยชินกับชีวิตสงบสุขที่เฉินโจวแล้ว เพียงคิดว่าต้องกลับจินหลิงข้าก็เกิดความกลัวขึ้นมา อนาคตพวกเราก็อยู่ที่เฉินโจว ใช้ชีวิตสงบสุขดีหรือไม่”

หนานกงมั่วนิ่งเงียบ นางแทบอยากตอบตกลงกับองค์หญิงฉังผิง แต่นางก็รู้ดีว่าไม่อาจทำได้ หากมีสักวันที่เยี่ยนอ๋องปกครองใต้หล้าแล้วจริงๆ เว่ยจวินมั่วจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอยู่ที่เฉินโจวคงเป็นไปไม่ได้ อีกด้าน กองทัพเฉินโจวจะเป็นอย่างไรนับเป็นปัญหาใหญ่ แต่ว่าตอนนี้กองทัพเฉินโจวใช้การได้แล้ว ไม่ว่าอยากแยกตัวออกจากกองทัพโยวโจวหรืออยู่รวมกันต่างก็เป็นปัญหาใหญ่ หนานกงมั่วไม่รู้ว่าตอนนั้นเยี่ยนอ๋องไยจึงตอบรับแผนของเว่ยจวินมั่ว แต่ความคิดของเว่ยจวินมั่วนั้นนางพอเข้าใจอยู่บ้าง เพียงแต่…เยี่ยนอ๋องจะยอมหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

เพียงแต่ความปรารถนาขององค์หญิงฉังผิงที่จะอยู่อย่างสงบในครอบครัวคงไม่อาจเป็นไปได้ อย่างน้อยในระยะนี้ก็คงไม่อาจเป็นไปได้

เห็นนางไม่เอ่ยปาก องค์หญิงฉังผิงก็เข้าใจว่าตนเองคิดง่ายเกินไป ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา “ช่างเถิด อย่างไรครอบครัวของเราก็ยังอยู่ด้วยกัน”

หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “เสด็จแม่วางใจเป็นพอเพคะ มีหม่อมฉันกับจวินมั่วอยู่ต่อไปจะไม่มีเรื่องใดอย่างแน่นอน เสด็จแม่เพียงดูแลอานอานกับเยาเยาให้เติบใหญ่ก็พอแล้วเพคะ”

องค์หญิงฉังผิงพยักหน้าเบาๆ หันไปมองเด็กทั้งสองที่นั่งเล่นอยู่บนพื้น ดวงตากลับมีความกังวลจางๆ

เสียงแหลมคมผ่าอากาศออกมาจากในป่า หนานกงมั่วใจเต้น ผลักองค์หญิงฉังผิงออกไป ลูกธนูหนึ่งดอกผ่านหน้าของนางไป ร่วงลงไปยังแม่น้ำหลีเจียง

“จวิ้นจู่ระวัง” น้ำเสียงอ่อนหวานของชวีเหลียนซิงเปลี่ยนเป็นแหลมดังขึ้นมา เอาตัวเข้ามาบังหนานกงมั่วที่กำลังคุ้มกันองค์หญิงฉังผิงอยู่

“เหลียนซิง” หนานกงมั่วผลักชวีเหลียนซิงออกพร้อมกวาดตามองหนึ่งรอบ ลูกธนูที่พุ่งตัวแหวกอากาศมานั้นเฉี่ยวหัวไหล่ของนางไป ชุดสีม่วงพลันถูกย้อมเป็นวงสีแดงเข้ม

ในที่ลับตา กลุ่มชายชุดดำทยอยปรากฏตัวขึ้น หลิ่วหันอุ้มเยาเยาขึ้นมา ขณะเดียวกันซิงเวยก็เข้าไปอุ้มอานอานต่างคนต่างกอดเด็กเอาไว้ในอ้อมอก ห่างออกไปฉินจื่อซวี่และหนานกงฮุยเห็นเหตุการณ์รีบพุ่งตัวเข้ามา หนานกงมั่วหรี่ตาลง เอ่ยเสียงเข้ม “พาเสด็จแม่และเด็กทั้งสองออกไปก่อน พี่รอง พาเนี่ยนเอ๋อร์กลับเข้าเมืองไปก่อน”

หนานกงฮุยกอดซังเนี่ยนเอ๋อร์เอาไว้ด้วยมือเดียว พร้อมเอ่ย “เอ่ยอันใดกัน จะให้พวกเราทิ้งเจ้าหนีไปก่อนอย่างนั้นหรือ”

หนานกงมั่วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “พวกเจ้าอยู่ก็รั้งทางหนีของข้า”

“จวิ้นจู่” ซิงเวยและหลิ่วหันอุ้มเด็กทั้งสองเอาไว้ ด้านข้างมีซังเจี้ยวที่ดึงกริชสั้นของตนเองออกมาใบหน้าจริงจัง

ซิงเวยเอ่ยเสียงเข้ม “ในป่ามีอีกไม่น้อย ล้วนเป็นยอดฝีมือ” หากไม่ใช่ยอดฝีมือ พวกเขาก็คงไม่มารู้ตัวเอาป่านนี้

ใบหน้าเย็นยะเยือกของหนานกงมั่วจับจ้องไปยังป่าเขาตรงหน้า องครักษ์ด้านหน้ากำลังต่อสู้กับชายชุดดำที่พุ่งออกมาก่อน ไม่ต้องดูหนานกงมั่วก็เดาได้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร

“ซิงเวย หลิ่วหัน พวกเจ้าพาเสด็จแม่และเด็กทั้งสองกลับเมืองไปก่อน” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ

ชวีเหลียนซิงกุมบาดแผลที่ไหล่เดินเข้ามา เอ่ยเสียงเข้ม “จวิ้นจู่ เป้าหมายของคนเหล่านี้คือท่าน ท่านกลับไปกับองค์หญิงและคุณชายน้อยคุณหนูน้อยเถิดเจ้าค่ะ”

หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ารู้หรือไม่ไยตอนนี้พวกเขาถึงไม่ยิง”

ชวีเหลียนซิงนิ่งเงียบ หนานกงมั่วเอ่ย “เพราะพวกเขาอยากจับเป็น หากข้าเคลื่อนไหว เวลาต่อไปเกรงว่าทุกคนคงถูกลูกธนูปักจนเป็นตะแกรง”

ใบหน้าของคุณชายฉินทะมึนขึ้นอย่างหาได้ยาก “พวกเขาไม่มีทางมีมือยิงธนูมากมายเพียงนั้น” ฝีมือยิงธนูกับวรยุทธ์นั้นเป็นคนละเรื่อง ไม่ใช่ผู้มีวรยุทธ์ร้ายกาจทุกคนจะยิงธนูได้ดี และมือยิงธนูโดยทั่วไปวรยุทธ์ก็ไม่ได้ดีนัก เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่อาจแฝงตัวเข้ามาอยู่ในนี้ได้ง่ายๆ

มุมปากของหนานกงมั่วยกยิ้มหยัน “พวกเขาไม่ใช่เพิ่งแอบเข้ามาเป็นแน่ เกรงว่า…คงมาก่อนพวกเราหนึ่งก้าว ซ่อนตัวอยู่ในนั้นตั้งนานแล้วกระมัง”

สีหน้าของฉินจื่อซวี่ไม่น่ามองยิ่งขึ้น เขาลูกนี้แม้ไม่ได้ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก หากจะแอบซ่อนคนเอาไว้ในเขาแห่งนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าการออกมาเที่ยวเล่นวันนี้เพิ่งตัดสินใจเมื่อคืน นั่นหมายความว่า…จวนเฉินโจวมีสายลับของสำนักหอธารา

มีสายลับไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ไม่เพียงจวนเฉินโจว วังจื่อเซียวก็มีสายลับสำนักหอธารา สำนักหอธาราเองก็มีสายลับวังจื่อเซียว แต่คนพวกนี้มิใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงความลับของอีกฝ่ายได้ มิเช่นนั้นพวกเขาคงทำลายสำนักหอธาราไปนานแล้ว หรือบางทีพวกเขาอาจถูกสำนักหอธาราทำลายไปแล้ว

แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายอยู่ในจวนเฉินโจว อย่างน้อยน่าจะมีตำแหน่งหรือได้รับความเชื่อใจ

เวลาเพียงชั่วครู่ ฉินจื่อซวี่พิจารณาผู้คนที่มีความเป็นไปได้ทั้งหมดในหัวของเขา แต่ยังไม่ทันให้เขาได้นึกถึงข้อสงสัย พลันมีเสียงหัวเราะดังออกมาจากในป่า “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ช่างฉลาดจริงๆ น่าเสียดายที่รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว”

หนานกงมั่วกลับไม่โกรธแต่อย่างใด เพียงมองเข้าไปในป่า เอ่ย “ในเมื่อมาแล้วก็ออกมา ซ่อนหัวโผล่หางนั่นเป็นการกระทำของหนู”

เสียงหยันดังออกมาจากในป่า ในที่สุดคนที่อยู่ในป่าก็เดินออกมา ด้านหลังของเขามีกลุ่มชายชุดดำที่เป็นมือยิงธนูและมือสังหารมากมายของสำนักหอธารา

คนที่เอ่ยอยู่ในชุดคลุมสีเทา ใบหน้าถูกปิดบังเอาไว้ เหลือไว้เพียงดวงตามาดร้ายคู่นั้น

“หนานกงมั่ว เจ้าคงไม่คิดว่าสุดท้ายจะมาตายอยู่หน้าบ้านตนเองกระมัง” ชายในชุดสีเทาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น

หนานกงมั่วพยักหน้า “ข้ากลับไม่คิดว่า…กงอวี้เฉินจะเล่นสกปรกเพียงนี้” ชายชุดดำด้านหลังคนในชุดสีเทาจ้องหนานกงมั่วด้วยความโกรธ แต่ชายชุดสีเทานั้นกลับไม่ใส่ใจ “ตอนนี้คนที่โชคร้ายคงไม่ใช่กงอวี้เฉิน มีพวกเจ้าอยู่ในมือ ต้องกลัวเว่ยจวินมั่วจะไม่ยอมแพ้อีกหรือ”

“เจ้าเป็นใครกัน” ด้านข้าง หนานกงฮุยเอ่ยถามขึ้นเสียงดัง ดวงตาข่มขู่จ้องมองไปยังคนในชุดสีเทา

คนชุดเทาชะงัก ยิ้มเย็น “เจ้าลองทายดูสิว่าข้าเป็นใคร หนานกงมั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”

หนานกงมั่วแม้แต่คิดก็คร้านจะคิด เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าน่ะหรือ ก็อดีตฉู่กั๋วกง หนานกงไหวมิใช่หรือ ท่านพ่อ ไม่เจอกันนาน ดูเหมือนว่าท่านจะดูไม่ค่อยสบายนัก”

ได้ยินเช่นนั้น หนานกงฮุยหัวใจกระตุก หันกลับไปมองคนชุดเทาทันที คนชุดเทาเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ยกมือขึ้นมาดึงผ้าบนใบหน้าออก “หนานกงมั่ว สมแล้วที่เป็นบุตรีของข้าหนานกงไหว” เห็นเพียงผืนผ้าร่วงลงไปเผยให้เห็นใบหน้าซูบผอมดูมีอายุโผล่ออกมาจากผ้า พร้อมกับดวงตาเย็นชาคู่นั้น ทำให้คนรู้สึกว่ามองเขามากอีกสักหน่อยคงหวาดกลัวจนขนลุกขนพอง

แต่แม้จะเปลี่ยนไปมาก หนานกงฮุยยังคงมองออกในปราดเดียว ไม่ใช่หนานกงไหวจะเป็นใครได้

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *