หมอหญิงยอดมือสังหาร 1033 จี้หยก (2)
ตอนที่ 1033 จี้หยก (2)
จื่อเยียนยิ้มหวาน “จูสามหรือ จวนเกาอี้โหวผู้นั่นน่ะหรือ”
สาวใช้พยักหน้า เอ่ย “คุณชายจูสามเอ่ยปากอยากพบแม่นางเจ้าค่ะ” หลายปีมานี้ เพราะการล่มสลายไปของหอซินเย่ว์ จื่อเยียนจึงกลายเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งคนใหม่ของจินหลิงในยุคนี้ แม้ว่าหลายปีมานี้จะมีสตรีงดงามโผล่ขึ้นมามากมาย แต่เพราะมีหอชุนเฟิงอยู่ และจื่อเยียนยังเรียกได้ว่าเป็นใหญ่ในหอชุนเฟิง ชื่อเสียงของจื่อเยียนจึงไม่ถูกคนรุ่นหลังกดทับ ยังเป็นเป้าหมายของเหล่าคุณชายตระกูลร่ำรวยในจินหลิง
จื่อเยียนยกยิ้มมุมปาก เอ่ย “ก็ดีเหมือนกัน เวลาเช่นนี้ยังมาหอชุนเฟิงได้ เห็นได้ว่าจวนเกาอี้โหวเองก็มีความมั่นอกมั่นใจไม่น้อย เชิญคุณชายจูสามขึ้นมาเถิด”
“เจ้าค่ะ แม่นาง” ริมฝีปากของสาวใช้ยกยิ้ม หมุนตัวเดินออกไป
ในห้องทรงอักษร มีผู้คนนั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป เซียวเชียนเยี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์ มองดูกลุ่มคนด้านล่างไม่เอ่ยสิ่งใด คนที่อยู่ในท้องพระโรงเห็นได้ชัดว่าแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งเป็นขุนนางที่มีหันหมิ่นและโจวเซียงเป็นผู้นำ อีกฝั่งดูจะยุ่งเหยิงกว่ามาก คนที่เป็นผู้นำคือเอ้อกั๋วกงที่เพิ่งพ่ายแพ้สงครามมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ถัดลงไปอีกเป็นชายหนุ่มที่ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด คนที่นั่งถัดลงมาจากชายหนุ่มนั้นผู้คนต่างรู้จัก คือหนานกงไหวที่หนีไปจากเมืองอวิ๋นตูนั่นเอง ถัดลงไปอีกถึงเป็นเหล่าขุนพลต่างๆ
หากมิใช่เพราะตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ เกรงว่าเอ้อกั๋วกงก็คงถูกขุนนางเหล่านี้ประณามจนไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการมาร่วมหารือกับพวกเขาในตอนนี้ ส่วนหนานกงไหว นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เซียวเชียนเยี่ยจะปล่อยหนานกงไหวออกมาจากคุกหลวง ความจริงหลายคนไม่เห็นด้วย หากนับตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้เปรียบอีกฝ่ายอยู่บ้าง หลังจากนั้นหนานกงไหวก็ไม่ได้มีผลงานการรบใดๆ สุดท้ายยังลอบหนีไปอีกด้วย ในสายตาของขุนนางเหล่านี้ ยิ่งคิดว่าเมื่อครั้งหนานกงไหวถูกขังไว้ในคุกหลวงนั่นเป็นสิ่งที่สมควร เป็นเพียงจอมหลอกลวงผู้หนึ่งเท่านั้น
สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายแน่นอนไม่อาจเรียกได้ว่าสามัคคี
เซียวเชียนเยี่ยมองดูผู้คนเหล่านั้น เอ่ยเสียงเข้ม “เอาล่ะ ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นอย่างไร ยามนี้กบฏเยี่ยนมาใกล้เมืองแล้ว สิ่งที่ทุกท่านควรคิดคือจะร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูได้เยี่ยงไร ไม่ใช่มาสนใจเรื่องราวที่ผ่านมา เข้าใจหรือไม่” ลังเลอยู่ชั่วครู่ เหล่าโจวเซียงจึงเอ่ยตอบรับเสียงแข็งขืนโดยพร้อมเพรียง แม่จะเย่อหยิ่งทว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คนไม่รู้หนักเบา ไม่สนใจคนหมู่มาก ไม่ว่าจะไม่พอใจคนเหล่านี้มากเพียงใด ก็ต้องรอขับไล่ทหารกบฏไปก่อนค่อยว่ากัน เพียงแต่…
“ฝ่าบาท ไม่รู้คุณชายผู้นี้คือใครหรือพ่ะย่ะค่ะ” หันหมิ่นมองไปยังกงอวี้เฉินแล้วเอ่ยถามขึ้นมา มักรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของกงอวี้เฉินนั้นคุ้นตา ทว่านึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใด นี่ก็ไม่อาจโทษหันหมิ่นว่าความจำไม่ดี เขาถูกอดีตฮ่องเต้เนรเทศหลายสิบปี มีเพียงเมื่อครั้งกลับมาที่ได้เจอเนี่ยนหย่วนเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ไม่นานเนี่ยนหย่วนก็ไปจากจินหลิงมุ่งหน้าขึ้นทางเหนือ อีกทั้งแม้ว่าทั้งสองจะหน้าตาคล้ายคลึงกันทว่าท่าทางและนิสัยแตกต่างกันมาก เกรงว่าแม้แต่พระผู้ใหญ่ในวัดต้ากวงหมิงเองก็ไม่อาจยืนยันได้ในทันทีว่านี่คือคนเดียวกัน
กงอวี้เฉินยิ้ม เอ่ย “ข้าน้อย กงอวี้เฉิน”
ทุกคนตกตะลึง คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน อย่างไรเสีย ต่อให้สำนักหอธาราร้ายกาจเพียงใดอย่างไรก็เป็นเพียงสำนักหนึ่งในยุทธภพ ตัวตนของเจ้าสำนักหอธารายิ่งไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรู้ เซียวเชียนเยี่ย หันหมิ่นเหล่านี้แน่นอนว่ารู้ แต่เช่นเดียวกัน หันหมิ่นโจวเซียงต่างก็รู้ว่าเซียวเชียนเยี่ยถูกกงอวี้เฉินหลอกมากี่ครั้งแล้ว คนเช่นนี้…เชื่อได้หรือ
ชายชราทั้งสองหันไปมองเซียวเชียนเยี่ยด้วยความสงสัยอย่างพร้อมเพรียง เซียวเชียนเยี่ยหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่ากงอวี้เฉินไม่น่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้นอกจากเชื่อกงอวี้เฉินก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ถอนหายใจออกมา เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “เรื่องที่ผ่านมาให้ลืมมันไปเถิด ข้าหวังว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้สามารถรวมใจ ก้าวผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้าพึงพอใจ เอ่ยต่อ “เรื่องป้องกันเมืองให้เป็นหน้าที่ของเอ้อกั๋วกงและ…ฉู่กั๋งกง” ชะงักไปชั่วครู่ เซียวเชียนเยี่ยจึงเลือกที่จะเอ่ยเรียกหนานกงไหวเช่นนั้น แม้จะรู้สึกน่ารำคาญบ้าง แต่หากสามารถขับไล่เยี่ยนอ๋องไปได้ จะแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นกั๋วกงอีกครั้งจะเป็นไรไป
เอ้อกั๋วกงพยักหน้า เอ่ยเสียงเข้ม “กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “เรื่องกองทัพมอบให้ท่านทั้งสองข้าก็วางใจ เพียงแต่เรื่องในเมืองทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร”
กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “ทูลฝ่าบาท ตามความคิดเห็นของกระหม่อมคิดว่าสิ่งที่ฝ่าบาทจำเป็นต้องระวังที่สุดไม่ใช่กองทัพโยวโจวข้างนอกนั่น แต่เป็นคนบางส่วนที่อยู่ในเมือง” เซียวเชียนเยี่ยหรี่ตา “ว่าอย่างไร” กงอวี้เฉินยิ้มพลางเอ่ยตอบ “ผู้คนที่อยู่ตรงนี้แน่นอนว่ามีใจรักภักดีต่อแผ่นดิน แต่ว่า…ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในเมืองนี้ยังมีนกสองหัวอยู่กระมัง หากกองทัพโยวโจวบีบเข้ามาใกล้ หากมีคน…”
กงอวี้เฉินไม่เอ่ยจนจบ แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมายของเขา เซียวเชียนเยี่ยสีหน้าทะมึน กัดฟันพยักหน้า เอ่ย “เจ้าสำนักกงเอ่ยไม่ผิด” จุดนี้เขากลับไม่ได้กังวลว่ากงอวี้เฉินจะสร้างรอยร้าว เพราะเขารู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้ ในเมืองจินหลิงคงมีคนไม่น้อยที่มีความคิดเช่นนี้
“เจ้าสำนักกงมีวิธีการอย่างไรหรือไม่”
กงอวี้เฉินตบมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ง่ายมาก ขอฝ่าบาทเชิญนายท่านแต่ละตระกูลรวมไปถึงเหล่าคุณชายเข้ามาอยู่ในวังสักพักก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าสำนักกงจะกักบริเวณคนเหล่านี้หรือ” โจวเซียงขมวดคิ้ว ไม่เห็นคนในยุทธภพอย่างกงอวี้เฉิน รวมไปถึงเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนในยุทธภพเหล่านี้อยู่ในสายตานัก กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงการรับมือชั่วคราวเท่านั้น หากเราสามารถป้องกันเมืองหลวงได้แน่นอนว่าคนเหล่านี้จะไม่เป็นไร แต่เกิดพวกเราปกป้องอยู่บนกำแพง ด้านล่างกลับมีคนเปิดประตูเมืองให้ศัตรู เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า เกิดประตูเมืองถูกเปิด อย่างไรก็ยังเหลือประตูวัง คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในวังหลวงชั่วคราว จะได้ไม่ต้องตายอยู่ท่ามกลางสนามรบที่วุ่นวายมิใช่หรือ”
โจวเซียงเงียบไม่เอ่ยปากอีก แม้ไม่ชอบวิธีของกงอวี้เฉิน แต่เขาก็คิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก เพียงเยี่ยนอ๋องเปิดประตูเมืองมาได้ คนอย่างเขาและหันหมิ่นแน่นอนว่ายอมตายโดยไม่มีข้อสงสัย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กับคนเหล่านั้นที่พร้อมจะขายพวกเขาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตนเอง มิสู้ตายไปพร้อมๆ กันกับฝ่าบาทให้หมดเสียจะดีกว่า
“เอ้อกั๋วกงคิดเห็นเช่นไร” กงอวี้เฉินหันไปเอ่ยถามเอ้อกั๋วกงที่นั่งอยู่ขวามือของตน
เอกั๋วกงหน้านิ่ง เอ่ยเสียงเข้ม “ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง”
“เอ้อกั๋วกงช่างเข้าใจสถานการณ์และเห็นแก่ส่วนรวม” กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สายตาซับซ้อนของเอ้อกั๋วกงมองไปยังกงอวี้เฉิน กงอวี้เฉินยิ้มทว่าไม่สนใจสายตามองสำรวจของเขา
เอ้อกั๋วกงรู้จักกงอวี้เฉินดีกว่าเซียวเชียนเยี่ยเหล่านั้นอยู่บ้าง ฮูหยินเอ้อกั๋วกงฝักใฝ่ในพระพุทธศานา เมื่อคิดว่าสามีต้องก่อกรรมหนัก จึงมักไปขอพรเพื่อสามี เอ้อกั๋วกงสองสามีภรรยามีความรักที่ดีต่อกัน ไปวัดต้ากวงหมิงด้วยกันแน่นอนว่าได้เห็นเนี่ยนหย่วนอยู่หลายครั้ง
นอกจากนี้ ความแค้นของกงอวี้เฉินและเว่ยจวินมั่วเขาก็เคยได้ยินมาบ้าง สำหรับคนที่ให้ข้อมูลอย่างเป็นมิตร แน่นอนว่าเป็นเจี่ยนชิวหยางที่คุ้มกันเขามาส่งที่จินหลิงในตอนนั้น เอ่ยถึงตัวตนของกงอวี้เฉินเชื่อมโยงกับเนี่ยนหย่วน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกงอวี้เฉิน เอ้อกั๋วกงจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวังและสงสัย เพียงแต่…มองความโกรธของเซียวเชียนเยี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เอ้อกั๋วกงจึงทำได้เพียงถอนหายใจอยู่ในใจ
ออกมาจากห้องทรงอักษร กงอวี้เฉินเดินตามเอ้อกั๋วกงไปอย่างอารมณ์ดี เมื่อเทียบกับเหล่าขุนนางที่กำลังหนักใจ นับว่ากงอวี้เฉินนั้นผ่อนคลายกว่ามาก กงอวี้เฉินแอบคิดอยู่ลึกๆ ว่าเมื่อคราแรกที่ตนเลือกไปหาเยี่ยนอ๋องนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หากตอนนั้นไม่ได้โกหกเซียวเชียนเยี่ย คอยช่วยเหลืออยู่ข้างเซียวเชียนเยี่ยก็คงสบายกว่ามาก เซียวเชียนเยี่ยโอนอ่อนเพียงนั้น สามารถควบคุมฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ได้ ไหนเลยจะต้องลำบากเหมือนอยู่ข้างกายเยี่ยนอ๋อง สุดท้ายยังไม่ได้อันใดอีก
แต่ว่านั่นเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ตอนนั้นหากอยู่ข้างเซียวเชียนเยี่ยก็คงไม่ได้ราบรื่น ตาเฒ่าในราชสำนักพวกนั้นดูถูกผู้คนในยุทธภพที่มีที่มาไม่ชัดเจน เป็นที่ปรึกษาแบบลับๆ ก็ยังพอได้ หากคิดจะนั่งอยู่ในราชสำนักอย่างเปิดเผย เขาคงต้องกำจัดคนแก่ไม่ยอมตายพวกนั้นเสีย
“เอ้อกั๋วกง ช้าก่อน”
เอ้อกั๋วกงหันกลับไป มองกงอวี้เฉินด้วยสายตาเรียบนิ่ง เอ่ย “ไต้ซือเนี่ยนหย่วนมีสิ่งใดชี้แนะหรือ”
ใบหน้าหล่อเหลาของไต้ซือเนี่ยนหย่วนเผยรอยยิ้มร้าย ขมวดคิ้ว เอ่ย “เอ้อกั๋วกงช่างมีสายตาแหลมคม ฝ่าบาทเอ่ยได้ไม่ผิด ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไยกั๋วกงต้องหวาดระแวงต่อข้า ข้าเพียงแค่…มีของบางอย่างอยากมอบให้กั๋วกงเท่านั้น” ระหว่างที่เอ่ย กงอวี้เฉินก็หยิบม้วนกระดาษยื่นไปให้ เอ้อกั๋วกงลังเลอยู่ชั่วครู่ เขารับมาเปิดออกดูก่อนจะชะงักไป เนิ่นนานจึงเอ่ย “ไต้ซือช่างมีความสามารถ” ม้วนกระดาษนั่นเป็นแผนที่การจัดวางกำลังป้องกันเมืองจินหลิง ด้วยสายตาของเอ้อกั๋วกงแน่นอนว่าเห็นความสำคัญของกระดาษแผ่นนี้
กงอวี้เฉินเองก็ไม่ปิดบัง ถอนหายใจเอ่ย “เดิมที…วางแผนว่าจะยกให้เยี่ยนอ๋อง ข้าลำบากศึกษามากว่าสองปี ช่างน่าเสียดายแล้ว…”
เอ่อกั๋วกงเอ่ย “คนที่กลับกลอกไม่มีความน่าเชื่อถือ เจ้าสำนักกงรู้หรือไม่”
กงอวี้เฉินยิ้มบาง “ข้าเชื่อว่าเอ้อกั๋วกงเป็นคนฉลาด อีกทั้ง ต่อให้ฝ่าบาทรู้ตัวตนของข้า ท่านคิดว่าตอนนี้เขายังจะแตกหักกับข้าอยู่หรือ” เอ้อกั๋วกงมองเขานิ่งๆ ยกมือขึ้นประสานและหันหลังเดินหนีไป
กงอวี้เฉินหัวเราะมองเอ้อกั๋วกงที่มุ่งหน้าไปยังวังหลัง คิดว่าคงไปพบฮองเฮา ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย็น ความน่าเชื่อถือหรือ นั่นคืออันใดกันเล่า
“เจ้าคิดว่ายังคุ้มกันจินหลิงได้อีกหรือ” ด้านหลัง เสียงทุ้มของหนานกงไหวดังขึ้น
กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไยฉู่กั๋วกงถึงคิดมากเพียงนั้น ยามนี้นอกจากจินหลิง แผ่นดินกว้างใหญ่ยังมีที่ใดให้ท่านยืนได้อีก ขอเพียงออกจากจินหลิง ท่านก็คงถูกคนของวังจื่อเซียวตามฆ่า อ้อ…บางทีในเมืองจินหลิงก็ไม่ปลอดภัยนัก อย่างไรเสีย อย่างไรมือสังหารของวังจื่อเซียวก็แทรมซึมไปทุกที่ ดังนั้น อยู่ในกองทัพคงจะปลอดภัยที่สุดแล้วมิใช่หรือ”
ดวงตาของกงอวี้เฉินฉายแววกรุ่นโกรธขึ้นมา ที่ข้าไม่มีที่ให้ยืนเช่นนี้ก็มิใช่เพราะเจ้าหรือ
กงอวี้ฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย ยื่นมือไปตบหลังเขา เอ่ย “ไม่ต้องกลัว ขอเพียงครั้งนี้ท่านกับข้าสามารถหนีออกไปจากจินหลิงได้ ข้ารับรองได้ว่าชาตินี้ทั้งชาติคนวังจื่อเซียวก็หาท่านไม่เจอ เป็นอย่างไร”
หนานกงไหวส่งเสียงหยัน หมุนตัวเดินหนีไป
เขาไม่ได้เชื่อกงอวี้เฉิน แต่เป็นเหมือนกับเซียวเชียนเยี่ย นอกจากเชื่อกงอวี้เฉินแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่น
Comments