หมอหญิงยอดมือสังหาร 1035 คนที่โง่คือตัวนางเอง (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1035 คนที่โง่คือตัวนางเอง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1035 คนที่โง่คือตัวนางเอง (2)

หนานกงมั่วยิ้มบางแล้วจึงพยักหน้า

หนานกงชวี่ได้ยินวาจาของเขาจึงขมวดคิ้ว จากนั้นพลันคลายออก เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามว่า “การรักษาการณ์เป็นอย่างไร”

หนานกงชวี่เอ่ย “ดูเหมือนจะเพิ่งปรับการคุ้มกัน ผู้ที่รับผิดชอบเฝ้ารักษาการณ์น่าจะเป็นยอดฝีมือ” การป้องกันของเมืองจินหลิงหนานกงชวี่เองก็ศึกษามาบ้าง “เมื่อครู่ลองหยั่งเชิงโจมตีประตูทิศตะวันออกแล้ว ทหารที่เฝ้าประจำการฝีมือเก่งกาจ สะกัดกั้นเอาไว้ได้”

เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เอ่ย “ตอนนี้คนที่คุ้มกันเมืองคงเป็นเอ้อกั๋วกง หนานกงไหว และกงอวี้เฉิน”

หนานกงชวี่ตกใจ เขามาช้า ตอนที่กลับมาถึงเนี่ยนหย่วนก็ไม่อยู่แล้ว ผู้คนในกองทัพเองก็ไม่เปิดเผยเรื่องนี้ออกมาแม้แต่น้อย หนานกงชวี่ได้ยินเพียงคุณชายเสียนเกอเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยค เพราะเรื่องราวก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่ได้แปลกใจกับตัวตนของเนี่ยนหย่วนนัก แต่เพราะก่อนหน้านี้เคยกลั่นแกล้งเนี่ยนหย่วน เขาเองจึงรู้ว่าความสามารถของเนี่ยนหย่วนเป็นอย่างไร ทั้งสามคนนี้รวมตัวกันคุ้มกันเมือง…จะเอ่ยว่าจินหลิงนั้นแข็งแกร่งจนยากจะตีให้แตกได้คงไม่เกินจริง

เพียงแต่ทหารสองฝ่ายประจัญหน้ากัน ฝ่ายที่ป้องกันนั้นไม่ได้เปรียบ ยามนี้กองทัพโยวโจวเรียกได้ว่าได้รับชัยชนะล้นหลาม เพียงเมืองจินหลิง ต่อให้บดขยี้ก็ยังบดขยี้ได้ ค่อยเป็นค่อยไปเถิด ไม่รีบร้อน

หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “ขอให้พี่ใหญ่ได้รับชัยชนะเจ้าค่ะ”

หนานกงชวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “วางใจเถิด”

ไม่ต้องให้เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วเอ่ยปาก หนานกงชวี่ก็รู้ได้ว่าไยเว่ยจวินมั่วจึงไม่เข้าร่วมสงครามการบุกตีเมืองในครั้งนี้ ในเมื่อเว่ยจวินมั่วไม่อาจเข้าร่วมได้ เช่นนั้น…ความดีความชอบที่ควรจะเป็นของกองกำลังเฉินโจวเขาจะช่วยเอามันกลับมาเอง หากเมืองจินหลิงถูกเปิดออกด้วยเว่ยจวินมั่ว เช่นนั้นคงถูกผู้คนหวาดกลัว แต่หากถูกกองทัพเฉินโจวเปิดออก เช่นนั้นจะทำให้ผู้คนมองเห็นความสำคัญของกองทัพเฉินโจวมากขึ้น อย่างไรกองทัพเฉินโจวก็เป็นกองทัพใหม่ จำเป็นต้องมีผลงานที่โดดเด่นจึงจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ส่วนเรื่องคุณงามความดีที่มากไปจนผู้นำต้องหวาดระแวงอันใดนั่น คงยังไม่ถึงขั้นนั้น

หัวเมืองจินหลิงมีเสียงรบราฆ่าฟันดังไม่ขาด ชาวบ้านพากันหลบอยู่ในบ้าน หากไม่มีความจำเป็นน้อยนักจะออกมาเดินไปมาอยู่ตามถนน สิ่งที่ยังโชคดีก็คือเมืองจินหลิงยังคงมั่นคงภายใต้การคุ้มกันของเอ้อกั๋วกงและหนานกงไหว ไม่ได้กระสับกระส่ายเพราะความยิ่งใหญ่ของกองทัพโยวโจว เหล่าผู้ร่ำเรียนตำราและซื่อจื่อในเมืองจินหลิงเอ่ยถึงเรื่องนี้มากขึ้น เพียงแต่ส่วนใหญ่วิพากษ์วิจารณ์การกบฏของเยี่ยนอ๋อง เพียงไม่นานบทเพลง บทกวี บทความนับไม่ถ้วนก็ถือกำเนิดขึ้นทันใด ก่นด่าต่อว่าเยี่ยนอ๋องมากมาย บทความเหล่านี้มีไม่น้อยที่ถูกส่งมายังกองทัพโยวโจวด้านนอกจินหลิง เยี่ยนอ๋องอ่านเล็กน้อย ส่งเสียงหยันพลางโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ

จื่อเยียนสวมผ้าบางคลุมหน้า นั่งอยู่ในห้องเล็กๆ ของโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ฟังการพูดคุยของผู้คนด้านนอกพร้อมทั้งอ่านบทความในมือ อ่านถึงจุดที่น่าสนใจก็อดหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ เอ่ย “แม่นาง ไยจึงยังหัวเราะอยู่ได้เล่า” บทความเหล่านี้กำลังด่าเยี่ยนอ๋อง ในนั้นยังลากไปถึงคุณชายและจวิ้นจู่ นักวิชาการเหล่านี้น่ารำคาญที่สุด เขียนเป็นแต่บทความขี้อิจฉา เอ่ยปากก็มีแต่ความจงรักภักดี ก็ไม่เห็นว่าใครจะปีนขึ้นกำแพงเมืองไปช่วยคุ้มกันเมืองนี่ ช่างเป็นนักวิชาการที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี

จื่อเยียนดีดนิ้ววางบทความไว้ด้านข้าง เอ่ย “จู่ๆ ก็ร้อนแรงขึ้นมา เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้อยู่ดีๆ ก็รู้สึกรักแผ่นดินขึ้นมาหรืออย่างไร”

สาวใช้กลอกตา เอ่ย “แน่นอนข้ารู้ว่าไม่ใช่ ต้องมีคนคอยกระพืออยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เพียงแต่คนพวกนี้ไม่กลัวว่าถึงยามเยี่ยนอ๋องชนะแล้วพวกเขาจะซวยหรอกหรือเจ้าคะ”

จื่อเยียนจิบชาไปหนึ่งอึก เอ่ยเสียงเรียบ “คนพวกนี้คงกำลังคิดว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่กำลังด่า ถึงตอนนั้นเยี่ยนอ๋องคงไม่คิดจะจับทุกคนตัดหัวกระมัง โบราณมิใช่ว่าเอาไว้แล้วหรือ กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก”

สาวใช้แลบลิ้นออกมา เอ่ย “นั่นไม่แน่นอนนะเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้ครองบัลลังก์ ร้ายที่สุดคือการสังหารขุนนางบู๊บุ๋นในราชสำนักไปกว่าครึ่ง” เยี่ยนอ๋องนิสัยคล้ายอดีตฮ่องเต้ที่สุด กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มากเรื่องเหล่านี้คงไม่ได้อยู่ในสายตากระมัง ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ… “กล้าด่าคุณชายและจวิ้นจู่ เดี๋ยวข้าจะให้คนไปฆ่าคนปากร้ายพวกนั้นให้หมดเลย”

แม้พวกเขาจะเป็นเพียงพื้นที่รวบรวมและส่งข่าวสารของวังจื่อเซียว วรยุทธ์สู้คนอื่นไม่ได้ แต่หากจะลอบสังหารพวกปัญญาชนพวกนั้นเงียบๆ ก็ย่อมมิใช่ปัญหา

จื่อเยียนปรายตามองนาง เอ่ย “อย่าได้เหลวไหล ยามนี้มีคนของสำนักหอธารามากมาย พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ รู้จักถ่อมตัวบ้างก็ดี”

สาวใช้ครุ่นคิด ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างหงอยเหงา ยามนี้ในเมืองมียอดฝีมือของสำนักหอธาราโผล่มามากมาย พวกเขาเหล่านี้ทำได้เพียงระมัดระวังทำตัวให้ปกติ คุณชายและจวิ้นจู่ไม่อยู่ มือสังหารชั้นหนึ่งของสำนักก็ไม่อยู่ กุ้งตัวน้อยๆ อย่างพวกนางจะเอาสิ่งใดไปสู้กับเจ้าสำนักหอธาราได้

จื่อเยียนมองออกไปนอกหน้าต่าง ในอดีตท้องถนนในเมืองจินหลิงเต็มไปด้วยผู้คน ยามนี้ถนนเรียกได้ว่าอ้างว้างไร้ผู้คน ทว่าสามารถมองออกได้ว่าอย่างน้อยก็หายไปกว่าเจ็ดแปดส่วน คนที่กล้าเดินอยู่ด้านนอก นอกจากคนที่มีความจำเป็นจริงๆ ก็คงเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวต่ำต้อย ถอนหายใจออกมา จื่อเยียนเอ่ย “การป้องกันที่กำแพงเมืองพวกเราไม่อาจเข้าใกล้ได้ จวนรองเจ้ากรมธรรมการและกงอวี้เฉินนั่นเราคงต้องจับตาให้ดี คนที่เหลืออย่าได้เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม”

พวกเขาเองก็เคยคิดอยากสืบเรื่องการป้องกันเมือง น่าเสียดายต้องล้มเหลวไปหลายครั้ง จนเกือบจะเผยที่อยู่ของตนเองให้อีกฝ่ายรับรู้ จดหมายของคุณชายและจวิ้นจู่เองก็บอกว่าอย่าฝืนตนเอง จื่อเยียนจึงจำต้องวางมือ

“แม่นางวางใจเป็นพอเจ้าค่ะ”

จื่อเยียนพยักหน้า “ไม่มีสิ่งใดใหม่ๆ ให้ฟังแล้ว พวกเรากลับกันเถิด”

“เจ้าค่ะ แม่นาง”

จื่อเยียนลุกขึ้น เดินไปถึงประตูกำลังจะเปิดออก ประตูห้องพลันถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก ชายหนุ่มในชุดบ่าวรับใช้ธรรมดาเดินเข้ามา เอ่ยเสียงเบา “แม่นางโปรดรอสักครู่” จื่อเยียนขมวดคิ้ว “เกิดอันใดขึ้น”

ชายหนุ่มปิดประตู เอ่ยเสียงเบา “ด้านนอกมีคนมาหนึ่งคน คงจะเป็นเจ้าสำนักหอธาราขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้น หัวใจของจื่อเยียนก็สั่นสะท้าน “เจ้าไม่ได้ดูผิดใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “แม้ไม่เคยเห็นเจ้าสำนักหอธารา แต่ว่าคนที่ติดตามเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนของสำนักหอธารา คงไม่ผิดแน่ขอรับ”

จื่อเยียนถอนหายใจ พยักหน้าหมุนตัวเดินกลับไปนั่ง กงอวี้เฉินคงไม่ได้จะมาหาพวกนางกระมัง นึกถึงเรื่องที่พวกนางทำหลายวันมานี้ จื่อเยียนรู้สึกไม่สงบอยู่ในใจ

กงอวี้เฉินนั่งลงข้างหน้าต่างฟังคำก่นด่าของปัญญาชนเหล่านั้น ไม่เข้าร่วมและไม่วิจารณ์ แม้ว่าปัญญาชนเหล่านั้นจะพูดคุยเฮฮาแต่ก็ยังมีตาอยู่บ้าง กงอวี้เฉินไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรือว่าสีหน้า รวมทั้งผู้คนติดตามของเขาต่างก็ดูไม่น่าหาเรื่องทั้งนั้น

กงอวี้เฉินยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ ชาดีชั้นสูงทำให้หัวคิ้วของเขาคลายออกมากขึ้น

สำหรับสิ่งเหล่านี้ที่โจวเซียงหันหมิ่นชายแก่สองคนนั้นทำ กงอวี้เฉินไม่ได้เห็นด้วยนัก เขาไม่คิดว่าเยี่ยนอ๋องจะเป็นคนที่ถูกชี้นำโดยถ้อยคำของโลกภายนอก แต่เขาก็ไม่ได้ห้าม นักวิชาการเหล่านี้ครอบครองตำแหน่งสำคัญในราชสำนักต้าเซี่ย หากคนเหล่านี้เป็นศัตรูของเยี่ยนอ๋อง แม้ไม่อาจทำลายเยี่ยนอ๋องได้มากนัก แต่ก็ทำให้เกิดความวุ่นวายได้ไม่น้อย

“เจ้าสำนัก” กงชีก้าวขึ้นมาจากด้านล่าง เดินมาหยุดอยู่ข้างกงอวี้เฉินพร้อมเอ่ยเสียงเบา

กงอวี้เฉินเลิกคิ้ว “มีอันใด”

กงชีเอ่ยเสียงเบา “ตระกูลจูมีความเคลื่อนไหวเจ้าค่ะ”

“เอ๋” กงอวี้เฉินเองไม่แปลกใจ เอ่ยถามเสียงเรียบ “ตาเฒ่าตระกูลจูนั่นจะทำอันใด”

กงชีเอ่ยเสียงเบา “เกาอี้โหวได้รับจดหมายลับจากจูชูอวี้ก็ลังเลอยู่ไม่เป็นสุขมาโดยตลอด ยามนี้โยวโจวเคลื่อนกำลังมาใกล้ คิดว่าเขาคงตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ ตาเฒ่าตระกูลจูได้ยินว่าฝ่าบาทเรียกตัวพวกเขาเข้าวังก็เริ่มลอบติดต่อกับตระกูลต่างๆ…”

กงอวี้เฉินส่งเสียงหยัน “เซียวเชียนเยี่ยเจ้าคนไม่ได้เรื่อง เรื่องเล็กน้อยก็ยังทำไม่ได้”

กงชีเอ่ย “คิดว่าเซียวเชียนเยี่ยยังต้องการให้ตระกูลเหล่านี้บริจาคเงินและอาหารเจ้าค่ะ” ทำสงครามติดต่อกันมาหลายปี ยามนี้คนที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิงคงไม่ใช่วังหลวงแต่เป็นคลังส่วนตัวของเหล่าตระกูลขุนนางพวกนั้น กงอวี้เฉินครุ่นคิดชั่วครู่ เอ่ยเสียงเรียบ “ส่งคนไปจับตาพวกเขาเอาไว้ อย่างอื่นไม่ต้องสนใจ ขอเพียงอย่าให้พวกเขาพังแผนของข้าเป็นพอ เซียวเชียนเยี่ยนั่นก็เตือนสักหน่อย แม้แต่พ่อตาของตนเองยังดึงมาเป็นพวกไม่ได้ สมควรที่จะถูกเยี่ยนอ๋องบีบมาจนถึงขั้นนี้”

“เจ้าค่ะ เจ้าสำนัก” กงอวี้เฉินพยักหน้า คิดอยู่ชั่วครู่ กงชีจึงเอ่ย “เจ้าสำนักจะเตือนจูชูอวี้หรือไม่เจ้าคะ”

สำหรับจูชูอวี้ สองปีมานี้กงชีนั้นคุ้นเคย เป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดาย…คิดว่าตนเองฉลาดไปสักหน่อย รู้อยู่ว่าเจ้าสำนักอยู่ที่จินหลิง ยังกล้ามาคว่ำโต๊ะของพวกเขา เห็นได้ว่าหลายปีมานี้เจ้าสำนักคงใจดีกับจูชูอวี้มากเกินไป

กงอวี้เฉินลูบปลายคางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “จูชูอวี้สตรีผู้นั้น น่าเสียดายเกิดมาฉลาด ข้ากลัวว่านางจะลงทุนไปโดยเปล่าประโยชน์” ต่อให้จูชูอวี้ช่วยเยี่ยนอ๋องยึดครองจินหลิงได้โดยไม่เสียเลือดเสียเนื้อ ด้วยนิสัยของเยี่ยนอ๋องเกรงว่าคงยิ่งหวาดระแวงนาง ไม่มีทางให้ความสำคัญกับนางมากยิ่งขึ้น ต่อให้ในอนาคตเยี่ยนอ๋องคิดจะแต่งตั้งเซียวเชียนเหว่ยจริงๆ จูชูอวี้สตรีผู้นั้นก็ไม่มีโชคชะตาจะได้เป็นฮองเฮา ด้วยความฉลาดของเยี่ยนอ๋องไม่มีทางที่เขาจะยอมให้ลูกสะใภ้ขี่หัวบุตรชายตนเอง

ไยเยี่ยนอ๋องจึงให้ความสำคัญกับหนานกงมั่ว ไม่ว่าหนานกงมั่วจะเก่งกาจมากเพียงใดก็ยังคงชื่นชอบและเอ็นดู เพราะเยี่ยนอ๋องดูออก ความรู้สึกของหนานกงมั่วที่มีต่อเว่ยจวินมั่วนั้นเป็นความจริง หนานกงมั่วไม่มีจิตใจทะเยอทะยาน ต่อให้หนานกงมั่วจะเก่งกาจเพียงใด ผลประโยชน์ของนางและเว่ยจวินมั่วก็เป็นสิ่งเดียวกัน นางไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีต่อเว่ยจวินมั่วเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของตนเอง หากจูชูอวี้ทำเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก ไยจะเป็นหนานกงมั่วคนที่สองไม่ได้ น่าเสียดาย…สตรีผู้นั้นมีความทะเยอทะยานมากเกินไป เอาแต่คิดว่าคนทั้งโลกล้วนโง่กว่านาง แต่กลับไม่รู้ว่าในสายตาของคนที่ฉลาดจริงๆ คนที่โง่ก็คือตัวนางเอง

“จะปล่อยนางไปเยี่ยงนี้หรือเจ้าคะ” กงชีเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้

กงอวี้เฉินเลิกคิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เก็บนางไว้มีประโยชน์กว่าสังหารนางทิ้ง อย่างไรข้าก็เลี้ยงมาหลายปี ดูเอาไว้ให้ดี มีนางอยู่ หึๆ…จวนเยี่ยนอ๋องก็คงสงบไม่ได้”

กงชีนึกถึงจูชูอี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเองพลันเข้าใจ ‘เจ้าสำนักปรีชาสามารถ’ เพียงแต่โทษตายละเว้นได้ โทษเป็นยากจะเลี่ยงได้ ยังจำเป็นต้องตักเตือนสักหน่อย

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *