หมอหญิงยอดมือสังหาร 1040 ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากสงคราม (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1040 ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากสงคราม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1040 ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากสงคราม (1)

มาถึงค่ายทหารของเยี่ยนอ๋อง ครึกครื้นมากจริงๆ ยามนี้เยี่ยนอ๋องร่างกายไม่แข็งแรง ไม่มีอารมณ์ไปสนใจพวกเขายิ่งทำให้คนเหล่านั้นได้ใจยิ่งขึ้น มองเห็นพวกหนานกงมั่วทั้งสามคนเดินเข้ามา กระโจมใหญ่เงียบลงอย่างฉับพลันทันที

เยี่ยนอ๋องลืมตาที่เดิมปิดลงเพื่อพักสมอง วาดดวงตาขึ้นมองไปยังเว่ยจวินมั่ว “พวกเจ้ามาแล้วหรือ นั่งเสียสิ”

เว่ยจวินมั่วจูงมือหนานกงมั่วเดินไปนั่งลงอีกฝั่ง เหล่าขุนพลมองเห็นหนานกงมั่วก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด หลายวันมานี้พวกเขาเคยชินไปแล้วที่ไม่ว่าคุณชายเว่ยจะไปที่ใดก็ต้องมีซิงเฉิงจวิ้นจู่ไปด้วย แม้แต่เยี่ยนอ๋องเรียกหาก็ต้องเรียกทั้งสองคนมาด้วยกัน แม้แต่เยี่ยนอ๋องยังไม่ว่าอันใด แล้วพวกเขาที่เป็นผู้ใต้บัญชาการจะว่าอย่างไรได้ ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าขุนพลในกองทัพต่างก็เคยบุกน้ำลุยไฟมาก่อน แม้จะมีจุดยืนของตนเองแต่ทุกคนก็ยังมีตาอยู่บ้าง เห็นว่าช่วงนี้คุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่อารมณ์ไม่ดีนัก โดยเฉพาะไม่กี่วันมานี้มักจะลึกลับซับซ้อน ทุกครั้งที่ปรากฏตัวล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดจนไม่รู้ว่าเป็นทั้งสองคนหรือพวกเขากันแน่ที่ไปรบอยู่ในสนามรบ

“ในเมื่อมาครบแล้ว มีเรื่องอันใดพวกเจ้าก็เอ่ยมาเถิด” เยี่ยนอ๋องนั่งตรง เอ่ยเสียงเข้มมองไปยังทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์

หนานกงมั่วมองไปยังคนอื่นๆ ด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นหันไปขมวดคิ้วมองเยี่ยนอ๋อง

ความเงียบเข้าปกคลุมในกระโจมชั่วครู่ ก่อนจะมีขุนพลผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “รายงานท่านอ๋อง ตอนนี้กำแพงเมืองจินหลิงนั้นถูกคุ้มกันแน่นหนา กองทัพของเราเข้าโจมตีเกิดการสูญเสียอย่างหนัก กระหม่อมคิดว่า…ไม่รู้จะขอให้คุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ช่วยเหลือได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้นไม่เอ่ยสิ่งใด เว่ยจวินมั่วหันมามองเขา “ลองว่ามา”

ขุนพลเอ่ย “ได้ยินมาว่ายอดฝีมือวังจื่อเซียวลูกน้องของคุณชายเว่ยมีมากมาย ทุกคนล้วนมีความกล้าหาญไม่เกรงกลัวต่อศัตรู หากเชิญยอดฝีมือเหล่านี้มา…”

หนานกงมั่วเข้าใจแล้ว เอ่ยให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือต้องการให้ยอดฝีมือวังจื่อเซียวมาอยู่ตรงหน้ารับสายฟ้าแทนพวกเขา อ่า…จะบอกว่ารับสายฟ้าคงไม่เหมาะสม เวลานี้คงต้องบอกว่าคนของวังจื่อเซียวเป็นหน่วยกล้าตาย บุกไปยังกำแพงเมืองก่อน

ได้ยินเช่นนั้น หลายคนจึงใจเต้นขึ้นมา ล้อมตีเมือง โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างจินหลิง เป็นการเอาชีวิตของทหารเหล่านั้นเข้าไปทิ้ง หลายครั้งทหารยังไม่ทันได้ข้ามแม่น้ำรอบกำแพงเมืองก็ถูกทหารบนกำแพงยิงตายแล้ว

“ไม่ได้” เว่ยจวินมั่วไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ เอ่ยปฏิเสธทันที

นายทหารคนนั้นชะงัก เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ไยจึงมิได้เล่า ข้ารู้ว่าคุณชายเว่ยรักชีวิตของลูกน้อง แต่ชีวิตของคนวังจื่อเซียวคือชีวิต แล้วทหารทั่วไปมิใช่ชีวิตหรืออย่างไร”

วาจานี้เอ่ยหนักแล้ว หากไม่ทันระวังเว่ยจวินมั่วอาจจะทำให้เหล่าขุนพลที่นอกเหนือจากหนานกงชวี่ต้องโกรธแล้ว อย่างไรเสียไม่มีขุนพลผู้ใดที่ต้องการให้ทหารของตนเองตายอย่างไร้ค่า

หนานกงมั่วยื่นมือไปจับมือของเว่ยจวินมั่วเอาไว้ ดวงตาเย็นยะเยือกของเว่ยจวินมั่วอ่อนโยนขึ้นไม่เอ่ยสิ่งใด หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขุนพลท่านนี้รู้หรือไม่ว่าวังจื่อเซียวมีคนเท่าใด” ขุนพลผู้นั้นชะงัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยาบคาย “ข้าไม่รู้ ขอจวิ้นจู่ได้โปรดชี้แนะ”

หนานกงมั่วเอ่ยด้วยริยยิ้ม “องครักษ์ของวังจื่อเซียวอย่างมากก็มีเพียงหลักร้อย และที่ถูกท่านขุนพลเรียกว่ายอดฝีมือได้นั้นนอกจากจวินมั่วและฉังเฟิง ก็มีเพียงยี่สิบแปดคน และเก้าคนในนั้นไปเข้าร่วมกองทัพ ไม่ใช่คนของวังจื่อเซียวอีกแล้ว ยามนี้อยู่ในกองทัพอย่างน้อยก็คงเป็นผู้บังคับการกองพัน อีกสามคนตายในหน้าที่ หกคนอยู่คุ้มกันความปลอดภัยของเสด็จแม่และเด็กๆ อยู่ที่เฉินโจว สองคนได้รับบาดเจ็บเมื่อสองวันที่แล้ว นั่นหมายความว่ายอดฝีมือที่ท่านแม่ทัพเอ่ยถึง ต่อให้รวมจวินมั่วและจวิ้นจู่อย่างข้าก็มีเพียงสิบเอ็ดคน ประตูเมืองจินหลิงแต่ละประตูมีทหารเฝ้าประจำการไม่ต่ำกว่าสามหมื่นนาย เพียงลงมือก็มีลูกธนูนับหมื่นพุ่งเข้าหา ความหมายของท่านแม่ทัพก็คือ…ให้พวกเราสิบเอ็ดคนไปลองดูว่ามีใครเป็นอมตะหรือไม่อย่างนั้นหรือ”

ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของขุนพลผู้นั้นก็แดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ข้าไม่รู้ว่า…”

หนานกงมั่วยกมือขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านแม่ทัพเป็นขุนพลที่ห่วงใยผู้ใต้บัญชา หากวิธีของท่านแม่ทัพเป็นไปได้จริงๆ จวิ้นจู่อย่างข้าและจวินมั่วยินดีออกหน้าไปก่อน แต่ว่า…แม้จวินมั่วจะวรยุทธ์สูงส่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอยู่ยงคงกระพัน สิบกว่าคน…ต่อให้พวกเราขึ้นไปบนกำแพงได้อย่างราบรื่น และอย่างไรเล่า”

คนสิบกว่าคนคิดจะทำให้กองทัพทหารหลายหมื่นเกิดความวุ่นวายเพื่อเปิดทางให้กองกำลังด้านล่างได้โจมตีเมือง นั่นเป็นเรื่องเพ้อเจ้อชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะบอกว่าแต่ละประตูมีทหารเฝ้าอยู่ประมาณสามหมื่นนาย แต่ทหารในเมืองจินหลิงตอนนี้อย่างน้อยก็คงมีสี่ห้าแสน ต่อให้สังหารไปหนึ่งหมื่น ก็ยังสามารถเสริมกำลังอีกสองหมื่น คิดแผนการนี้ออกมาเห็นได้ว่าคงเลอะเลือนไปแล้ว

ขุนพลผู้นั้นละอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ยกมือขึ้นประสาน เอ่ย “ข้าคิดเหลวไหล ขอจวิ้นจู่และคุณชายให้อภัยด้วย” เขาเองได้ยินถึงชื่อเสียงการรบของคุณชายเว่ย รวมไปถึงข่าวเกี่ยวกับวังจื่อเซียวหลายอย่างจึงได้มีความคิดเช่นนี้ แต่ไม่คิดว่าวังจื่อเซียวที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่จะมีคนเพียงน้อยนิด

ความจริงนี่เป็นสิ่งที่กองทัพเข้าใจผิดเกี่ยวกับสำนักในยุทธภพ ในสายตาของขุนพลเหล่านี้ยอดฝีมือเพียงยี่สิบกว่าคนแน่นอนว่าไม่มีค่าให้เอ่ยถึง แต่ในยุทธภพสำนักใดที่สามารถรวมยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงได้ยี่สิบกว่าคนนั่นนับว่ายิ่งใหญ่สะท้านไปทั่วยุทธภพแล้ว อย่างไรเสียอำนาจของยุทธภพนั้น สำนักสังหารไม่จำเป็นต้องส่งคนนับหมื่นเพื่อไปสังหารคนกระมัง

หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ท่านแม่ทัพกล่าวหนักไปแล้ว ทุกคนต่างก็ทำเพื่อเรื่องสำคัญ”

เห็นนางใจกว้างเช่นนั้น ขุนพลผู้นั้นก็ยิ่งรู้สึกละอายขึ้นมา

ในสายตาของคนอื่นๆ แตกต่างกันออกไป บางคนคิดว่าเรื่องสำคัญเพียงนี้เว่ยจวินมั่วยังให้ภรรยาออกหน้า เห็นได้ว่าเชื่อฟังภรรยาเกินไป บางคนคิดว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่สมแล้วที่เป็นหลานสะใภ้ที่เยี่ยนอ๋องให้ความสำคัญ ไม่เพียงฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังจิตใจกว้างขวาง ไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนสตรีทั่วไป

เห็นว่าพวกเขาคุยกันจบแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงยกมือขึ้นเคาะโต๊ะตรงหน้าเพื่อดึงความสนใจของผู้คน ทุกคนหันมามองเยี่ยนอ๋องโดยพร้อมเพรียง ฟังเขาด้วยความเคารพ เยี่ยนอ๋องส่งเสียงหยัน “ข้ากลับไม่รู้ ยิ่งต่อสู้พวกเจ้าก็ยิ่งเหลาะแหละ เมื่อใดกัน…ทำสงครามยังต้องการให้ยอดฝีมือมาเป็นทัพหน้าหรือ หรือเราจะพักไปก่อนแล้วให้ข้าช่วยรวมยอดฝีมือในยุทธภพให้ก่อนหรือไม่”

ทุกคนทยอยก้มหน้าลง ขุนพลที่เอ่ยขึ้นมาก่อนยิ่งละอายจนหน้าแดง

เยี่ยนอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อครั้งที่ข้าติดตามเสด็จพ่อโจมตีเป่ยหยวน ต้องทำสงครามติดต่อกันแปดสิบเอ็ดวัน ก็ไม่เห็นว่าเสด็จพ่อจะร้อนใจ นี่เพิ่งกี่วัน ก่อนหน้านี้มีเมืองเผิง นั่นต่อสู้กี่วันกันเล่า”

ทุกคนเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “ท่านอ๋องสั่งสอนถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาใจร้อนเกินไปจริงๆ มองเห็นเมืองจินหลิงอยู่ตรงหน้า เพียงตีกำแพงเมืองนี้แตก สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือยศฐาบรรดาศักดิ์ เสื้อผ้าอาหารรสเลิศ ครอบครัวได้รับการแต่งตั้งจะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้เยี่ยงไร

เยี่ยนอ๋องพยักหน้าเบาๆ เอ่ย “สงบสติอารมณ์ไว้ รีบร้อนไปไย คนที่ควรร้อนใจยามนี้มิใช่พวกเรา”

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”

เยี่ยนอ๋องผ่อนคลายลง หันไปหาเซวียเจินและเฉินอวี้ทั้งสองคน เอ่ย “หลายวันมานี้ พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *